นู สกิน ฉีดยาแรงกระตุ้น Sales force ด้วยโปรแกรมคำนวณสูตรใหม่ช่วยขยับผลตอบแทนเพิ่มขึ้น 1-2% จ่อคิวเปิดตัว 1 ก.ค.นี้ ขณะที่การออกสินค้าใหม่ชูนโยบายเดียวกันทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยลอนช์ 'ทรูเฟซ เอสเซ็นซ์ อัลตร้า'ผลิตภัณฑ์กลุ่มแอนตี้ เอจจิ้งเป็นเรือธงเหมือนกัน 6 ประเทศ พร้อมวางเป้าหมายขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของโลกในสินค้ากลุ่มแอนตี้ เอจจิ้ง การรุกเข้มในครั้งนี้ นู สกินต้องการชิงคนเพิ่มขึ้นในแต่ละเดือนเฉลี่ย 10% เพื่อรายได้ทั้งปีเติบโตที่ 15%
ศึกชิงคนในธุรกิจขายตรงโดยเฉพาะระบบขายตรงแบบหลายชั้น (MLM) ร้อนแรงคึกคักขึ้นทุกขณะ เรียกได้ว่าครึกครื้นมากสุดในรอบ 3 ปี เพราะตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ผู้เล่นทั้งรายเล็กรายใหญ่ต่างระดมกำลังออกมากระตุ้นนักขายหน้าเก่า พร้อมขยายฐานสร้างสมาชิกใหม่กันอย่างอุตลุด หลังอัตราคนว่างงานเพิ่มขึ้นและผู้บริโภคต้องการหารายได้เสริมในยุคเศรษฐกิจเช่นนี้ โดยเฉพาะผู้เล่นระดับแถวหน้าตั้งแต่ แอมเวย์, กิฟฟารีน, อาวียองซ์, ออริเฟลม ที่นำเรื่องผลตอบแทน อาทิ เงินสด ทองคำ ทริปท่องเที่ยวมาเป็นเครื่องมือดึงดูดเข้าสู่เครือข่าย
นู สกิน ผู้เล่นอันดับ 3 ของธุรกิจขายตรงบ้านเรา ก็เป็นอีกรายหนึ่งที่โดดเข้าไปตะลุมบอนในสมรภูมินี้ด้วยวิธีการที่ไม่แตกต่างกัน นั่นคือ การงัดกลยุทธ์อินเซนทีฟออกมากระตุ้นสมาชิกทั้งรายเก่ารายใหม่ เพื่อให้บรรลุยอดขายซึ่งปีนี้กำหนดตัวเลขการเติบโตไว้ที่ 15%
เราเตรียมนำโปรแกรมการคำนวณผลตอบแทนสูตรใหม่มาใช้ในเดือนกรกฎาคมนี้ โดยเป็นโปรแกรมที่เน้นการดึงสมาชิกรายใหม่ควบคู่กับการกระตุ้นสมาชิกเดิมให้สร้างยอดขาย' เป็นคำกล่าวของ เมลิซ่า ทันโทโกะ ประธานนู สกิน ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ล่าสุดโปรแกรมการคิดคำนวณค่าผลตอบแทนสูตรใหม่ หรือที่เรียกว่า 'เวลท์ แมกซิไมเออร์' นับเป็นสูตรล่าสุดที่จะช่วยเพิ่มผลตอบแทนให้กับนักธุรกิจขึ้นอีก 1-2% หลังจากที่นู สกินให้ผลตอบแทนกับนักขายในสัดส่วน 43% จากยอดขาย 100% มาประมาณ 3 ปี นับเป็นค่าตอบแทนสูงสุดเป็นอันดับ 1 เมื่อเทียบกับผู้เล่นขายตรงแบรนด์อื่น และนี่เป็นอีก 1 ไฮไลต์ที่นู สกินนำมาเป็นเครื่องมือจูงใจนักขายทั้งหลาย
ย้อนกลับไปดูการจัดระเบียบเรื่องผลตอบแทนของนู สกิน ในช่วงระยะเวลา 25 ปีที่ทำธุรกิจในเมืองไทย ค่ายนี้ ภคพรรณ ลีวุฒินันท์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัทนูสกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เล่าว่า ค่าคอมมิชชั่นของนู สกิน เริ่มต้นเฉลี่ยที่ 35% เมื่อธุรกิจมีการขยายตัวก็ทำการปรับสัดส่วนเพิ่มขึ้นหลายครั้งตามขนาดขององค์กรและสมาชิก เช่น เพิ่มเป็น 38%, 40% จนปัจจุบันขยับขึ้นมาอยู่ที่ 43% มากสุดเมื่อเทียบกับค่าคอมมิชชั่นของค่ายอื่น และยังมากที่สุดเมื่อเทียบกับนู สกินในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จำนวน 6 ประเทศ โดยมั่นใจว่าอนาคตการให้ผลตอบแทนดังกล่าวอาจมีการขยับขึ้นเป็น 50% เพราะนู สกินในบางประเทศมีการให้ผลตอบแทนสูงสุดถึง 60%แล้ว ทั้งนี้นโยบายดังกล่าวถือว่าสอดคล้องและเป็นไปตาม Message ที่ได้รับจากบริษัทแม่นู สกิน คือ การเน้นเรื่องผลประโยชน์ตอบแทนเพื่อจูงใจให้คนมาทำธุรกิจขายตรงมากขึ้น
สำหรับโปรแกรมดังกล่าว จะเห็นว่าทางผู้บริหารนู สกินเลือกเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 1กรกฎาคมนี้ เนื่องจากเวลาในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ถือเป็นช่วงไฮซีซั่นในการสร้างยอดขายและขยายฐานสมาชิกของธุรกิจขายตรงที่ปัจจุบันมีมูลค่ารวมกว่า 43,000 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของผู้เล่นรายนี้ช่วงเวลาดังกล่าวจะทำรายได้หลักคิดเป็นสัดส่วนราว 60-70% ดังนั้นงบการตลาดทั้งปี 130 ล้านบาท จึงถูกจัดสรรให้มาใช้ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ราว 80 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 60%
หลังจากเปิดตัวและนำโปรแกรมดังกล่าวมาใช้ ทางนู สกินมั่นใจว่าจะช่วยเพิ่มสมาชิกใหม่ในแต่ละเดือนเฉลี่ยที่ 10% เพราะในช่วง 3 เดือนแรกที่ผ่านมา พบว่า มีผู้สนใจเข้าเป็นสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้น 20% หรือเฉลี่ยเดือนละ 2,000-3,000 คน มากกว่าปรกติ (เมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกัน) ที่จะมีประมาณ 2,000 คนต่อเดือน ทำให้จบไตรมาสแรกนู สกินมีสมาชิกเพิ่มขึ้นกว่า 8,000 คน ทำให้สมาชิกทั้งหมดตอนนี้จึงมีตัวเลขอยู่ที่ 2.3 แสนคน โดยการเติบโตของสมาชิกใหม่ที่เพิ่มขึ้นถือเป็นไปในทิศทางเดียวกับนู สกิน ทั้ง 6 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 25%
นอกจากค่าคอมมิชชั่นที่นู สกินเตรียมจัดเป็นยาแรงดึงสมาชิกใหม่แล้ว การกระทุ้งยอดขายจากสมาชิกเก่า จะพบว่า โปรแกรมการให้รางวัลในรูปแบบอื่นๆก็จะถูกนำมาใช้มากขึ้นและถี่ขึ้นด้วย ทั้งนี้ภคพรรณ บอกว่า ในปีนี้บริษัทจัดแผนอินเซนทีฟมากกว่าปีก่อนโดยมีกว่า 10 โปรแกรม ซึ่งโปรแกรมดังกล่าวมีให้เลือกทั้งที่เป็นแบบโลคัล โปรแกรม และรีจีนัล โปรแกรม ที่มีการคิดพัฒนาร่วมกันระหว่าง 6 ประเทศ โดยมีเป้าหมายให้นู สกินในภูมิภาคนี้เติบโตและขยายฐานไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งปัจจุบันฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซียเป็นประเทศที่มียอดเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก รองลงมาคือไทย มีการเติบโตเฉลี่ย 5-6% ส่วนสิงคโปร์และบรูไนเติบโตน้อยที่สุด
ฉะนั้น การลอนช์ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ทางนู สกินในภูมิภาคนี้มีนโยบายเปิดตัวเพียงรายการเดียวในปีนี้ คือ 'ทรูเฟซ เอสเซ็นซ์ อัลตร้า' ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์กลุ่มแอนตี้เอจจิ้ง จึงเริ่มทยอยออกสู่ตลาดทั้ง 4 ประเทศรวมทั้งไทย ขณะที่สิงคโปร์และบรูไน 2 ประเทศที่สร้างยอดขายได้น้อยสุดยังอยู่ในระหว่างการเตรียมแผนเปิดตัวในอนาคต
'การออกสินค้าจำนวนมากไม่ใช่วิธีที่ดีเสมอไป จากการวางแผนร่วมกันของนู สกิน 6 ประเทศ ในปีนี้เราจึงลอนช์สินค้าใหม่เพียง 1 รายการเป็นเรือธง โดยปีที่ผ่านมามีการออกสินค้าใหม่เพียง 2 รายการ' ภคพรรณ กล่าว
สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ที่นู สกินนำมาเป็นหมัดเด็ดในครั้งนี้ คือ ทรูเฟซ เอสเซ็นซ์ อัลตร้า ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มแอนตี้เอจจิ้ง โดยเป็นสินค้าที่ออกมาตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคนี้ที่มีพฤติกรรมให้ความสำคัญเรื่องการดูแลผิวพรรณมากขึ้น ซึ่งจากตัวเลขยอดขาย 1 แสนกระปุกในสหรัฐอเมริกาหลังจากเปิดขายมากว่า 1 ปี ทำให้ผู้บริหารค่ายนี้มั่นใจว่าการตอบรับในไทยก็จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพราะหลังจากทดลองขายไปเพียง 1 เดือน สินค้าใหม่ดังกล่าวก็ทำยอดขายได้สูงถึง 10 ล้านบาท แน่นอนว่านู สกินย่อมมองไปไกลกว่าการเพิ่มยอดขายที่หวังจากสินค้าใหม่ตัวนี้เดือนละ 10% โดยเป้าหมายที่แท้จริง คือ การขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของโลกในสินค้ากลุ่มแอนตี้เอจจิ้ง และจากการที่นู สกินรุกเข้มในสินค้ากลุ่มนี้มาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้กว่า 70% จากรายได้รวมนู สกิน มาจากสินค้าประเภทแอนตี้ เอจจิ้งทั้งในกลุ่มสกินแคร์และอาหารเสริมรวมกัน จึงไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อมสำหรับเป้าหมายดังกล่าว
และนี่คือการรุกอย่างเต็มที่อีกครั้งของนู สกิน ในยุคที่เป็นขาขึ้นของวงการขายตรง แม้จะเป็นเพียงเบอร์ 3 ของตลาดขายตรงบ้านเรา แต่เป้าหมายการขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในตลาดโลกของสินค้ากลุ่มแอนตี้ เอจจิ้งก็มีความน่าสนใจไม่น้อย แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น คงต้องติดตามกันก่อนว่าในปีนี้นู สกินจะสามารถขยับการเติบโตได้ 15% จากยอดขาย 1,300 ล้านบาทตามแผนหรือไม่
|