Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤศจิกายน 2531








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤศจิกายน 2531
เมื่อธนาคารทหารไทยอ้าแขนรับ 'คนนอก'อีกครั้ง             
โดย ภัชราพร ช้างแก้ว
 

 
Charts & Figures

ผังภูมิองค์งานธนาคารทหารไทย จำกัด ลงวันที่ 7 กันยายน 2531
ผังภูมิองค์งานธนาคารทหารไทย จำกัด (1 กันยายน 2531)


   
www resources

โฮมเพจ ธนาคารทหารไทย

   
search resources

ธนาคารทหารไทย
ศุภชัย พานิชภักดิ์
Banking




7 กันยายน 2531 ธนาคารทหารไทยทำการปรับโครงสร้างการบริหารครั้งใหม่ล่าสุด ทั้งที่ 2 เดือนก่อนหน้านั้นก็เพิ่งจะมีการปรับปรุงไปหยกๆ ว่ากันว่าการปรับครั้งล่าสุดทำให้โครงสร้างการบริหารพลิกผันไปจากเดิมอย่างมาก เพราะเป็นการปรับเพื่อปูทางให้ ดร. ศุภชัย พานิชภักดิ์ที่เข้ามาร่วมงานตำแหน่งกรรมการที่ปรึกษาผู้บริหาร (EXECUTIVE ADVISER) ก้าวสู่กรรมการผู้จัดการใหญ่ในอนาคต การเข้ามาในทหารไทยของดร. ศุภชัยครั้งนี้ถูกจับตามองจากหลายๆ ฝ่าย เพราะเท่ากับว่าธนาคารทหารไทยซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแหล่งรวมของผู้บริหารมืออาชีพได้ต้อนรับ "คนนอก" เข้าร่วมงานอีกวาระหนึ่ง หลังจากที่เคยรับดร. ประยูร จินดาประดิษฐ์มาแล้ว และคำถามก็คือ การเข้ามาของศุภชัยนี้ ทำไมโครงสร้างอำนาจในแบงก์จึงไม่แตกดับระส่ำระสาย?

ผังภูมิองค์งานธนาคารทหารไทย 7 กันยายน 2531 (ผังภูมิที่ 1) แสดงให้เห็นว่าดร. ศุภชัยมีตำแหน่งหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่งในธนาคาร โดยเป็นรองก็แต่ อนุตร์ อัศวานนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่เท่านั้น

ตามผังภูมิจะเห็นได้ว่าดร. ศุภชัยดำรงตำแหน่งกรรมการที่ปรึกษาผู้บริหาร ซึ่งหมายความว่าเป็นผู้ที่เข้าร่วมประชุมในคณะกรรมการธนาคาร และมีสิทธิ์มีเสียงตามตำแหน่งกรรมการโดยสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีอำนาจในการบริหารงานนอกเหนือไปจากการให้คำปรึกษา รวมทั้งยังมีหุ้นธนาคารอีกจำนวนหนึ่งที่ได้รับโอนมาให้อีกด้วย

ส่วนงานที่ดร. ศุภชัยรับผิดชอบก็คืองานส่วนใหญ่ที่เคยอยู่ในความดูแลของกรรมการผู้จัดการใหญ่ (ตามการปรับโครงสร้างเมื่อ 1 กรกฎาคม 2531, โปรดดูผังภูมิที่ 2) รวมทั้งมีการงโอนฝ่ายตรวจสอบและฝ่ายคอมพิวเตอร์มาจากสายงานในความรับผิดชอบของรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ให้ดูแลควบคุมเพิ่มขึ้นอีกด้วย (โปรดดูผังภูมิที่ 1)

ตำแหน่งสำคัญอีกตำแหน่งที่ดร. ศุภชัยเข้าไปนั่งเป็นประธานคือคณะอนุกรรมการสินเชื่อ โดยมีผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ทั้ง 4 คนเข้าร่วมเป็นกรรมการและผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อเป็นเลขาฯ

อนุกรรมการชุดนี้ทำหน้าที่กำหนดยุทธศาสตร์หรือทิศทางในการปล่อยสินเชื่อ วิเคราะห์สินเชื่อ รวมถึงการพิจารณาอนุมัติวงเงินสินเชื่อที่มากกว่าการอนุมัติในระดับผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และโดยส่วนตัวของดร. ศุภชัยเองนั้นก็มีอำนาจอนุมัติวงเงินสินเชื่อจำนวนหนึ่งเหมือนกับผู้บริหารระดับสูงคนอื่นๆ แต่เป็นวงเงินที่มากกว่าผู้บริหารทุกคน ยกเว้นกรรมการผู้จัดการใหญ่

เป็นที่เห็นชัดว่างานของดร. ศุภชัยนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นการทำเรื่องนโยบายมากกว่าที่จะมาทำด้านปฏิบัติการ (OPERATION) ซึ่งก็เป็นไปตามความถนัดและประสบการณ์ดังที่ดร. ศุภชัยกล่าวไว้เองว่า "ผมคิดว่างานที่จะทำนั้นส่วนใหญ่จะเป็นงานนโยบาย งาน STRATEGY ผมคิดว่าต้องมีโอกาสที่จะช่วยบอร์ดกำหนดทิศทางด้วย"

บทบาทในแบงก์ของดร. ศุภชัยเช่นนี้สะท้อนชัดเจนว่าหลังหมดยุคอนุตร์ ศุภชัยนี่แหละคือ กรรมการผู้จัดการใหญ่คนต่อไป!

อย่างไรก็ดี ดร. ศุภชัยกล่าวถึงการเข้ามาดำรงตำแหน่งที่ธนาคารทหารไทยของตัวเองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ก่อความเดือดร้อนแก่ใคร แม้จะได้รับตำแหน่งและการจัดสรรอำนาจหน้าที่มากมายก็ตาม…

เขาพูดว่า "ไม่ต้องเดือดร้อนใครหรอก เพราะแบงก์ทหารไทยในระยะ 2-3 ปีหลังนี้มีการเจริญเติบโตค่อนข้างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นในสายงานที่แบ่งไว้เดิมนี่ ผมเชื่อว่ามี OVERLOAD อยู่ และที่ผมเข้ามานี่ไม่ได้แย่งงานใคร ส่วนใหญ่จะแย่งงานกรรมการผู้จัดการใหย่กับงานที่ไปฝากไว้ตามสายงานต่างๆ ที่ควรจะมา REORGANIZE เสียใหม่ เพราะฉะนั้นเท่ากับเป็นการช่วยลด LOAD และทำให้งานแต่ละสายกระชับขึ้นมากกว่า"

แท้ที่จริงก็คือผังภูมิ 7 กันยายน 2531 เป็นผังภูมที่ดร. ศุภชัย และอนุตร์ อัศวานนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ร่วมกันจัดสรรแบ่งปันมากับมือของคนทั้งสองนั่นเอง!

เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปทั้งคนภายในธนาคารทหารไทย และคนภายนอก ว่าเมื่อ 4-5 ปีที่แล้วสมัยที่ศาสตราจารย์ประยูร จินดาประดิษฐ์ ยังดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคารนั้น ผู้บริหารระดับสูงของธนาคารได้พากเพียรพยายามจีบ ดร. ศุภชัย ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงินธนาคารแห่งประเทศไทยมาร่วมงานด้วย

ดร. ศุภชัยก็ใคร่ที่จะลาออกจากธนาคารแห่งประเทศไทยอยู่แล้ว เพราะมีความเห็นที่ไม่สอดคล้องกับผู้บังคับบัญชาในหลายๆ เรื่อง และจะว่าไป ในวัยเพียง 30 กว่าปี บวกกับความฉลาดปราดเปรื่องรอบรู้ของตัวดร. ศุภชัยย่อมหวังที่จะมีชีวิตการทำงานที่รุ่งโรจน์มากกว่าจมปลักอยู่กับหน่วยงานที่ทำอย่างไรๆ ลูกหม้อก้นกุฏิก็ไม่ได้กินตำแหน่งท้อป แมเนจเม้นท์สักที

ทั้งนี้ตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยนั้นเป็นที่รู้ๆ กันอยู่ว่าเป็นตำแหน่งที่มักจะมีการเมืองเข้ามาแทรกตลอดมา ในบรรดาผู้ว่าการฯ รวม 12 คนที่ผ่านมานั้น มีถึง 5 คนที่ลาออกและถูกปลดออกจากตำแหน่ง เหตุเพราะมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับกระทรวงการคลังในเรื่องความเป็นอิสระในการดำเนินนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย

สำหรับดร. ศุภชัยการลาออกจากธนาคารแห่งประเทศไทยไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะในใจนั้นไม่เคยคิดทำงานอย่างอื่นที่ไม่ใช่ราชการ แต่ประจวบเหมาะกับที่ว่านอกจากธนาคารทหารไทยจะส่งคนมาทาบทามแล้ว ยังมีพรรคการเมืองอีกพรรคหนึ่งส่งคนมาติดต่อให้ลงสมัครรับเลือกตั้งด้วย

หากดร. ศุภชัยเลือกธนาคารทหารไทย ย่อมเป็นที่แน่นอนว่าจะต้องเข้าไปอยู่ในอันดับ 3 หรือ 4 ของธนาคาร ด้วยตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่

เมื่อพิจารณาเบ็ดเสร็จสะระตะแล้ว ปรากฏว่าดร. ศุภชัยเลือกเขียนทางเดินชีวิตบนถนนการเมือง และเขาก็วาดสีสันของเส้นทางชีวิตการทำงานได้อย่างเยี่ยมยอด เมื่อเลือกตั้งครั้งเดียวก็ชนะและได้เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง

นับว่าเขาโชคดีที่การตัดสินใจทางการเมืองเพียงครั้งเดียวที่บรรลุจุดสุดยอด!

กระนั้นชีวิตการเมืองของดร. ศุภชัยก็สั้นมากตามอายุรัฐบาล เมื่อไม่ได้รับเลือกตั้งในสมัยต่อมาและพลาดจากตำแหน่งทางการเมืองที่ปรารถนา ดร. ศุภชัยจึงหันมาพิจารณาตำแหน่งในธนาคารทหารไทยที่ยังรอคอยต้อนรับอยู่ตลอดมา

"คุณชวลิต (บิ๊กจิ๋ว) และคุณอนุตร์ ยอมรับในข้อเสนอและเงื่อนไขของผม" ศุภชัยกล่าวที่มาของการเข้ามาเป็นกรรมการและสต๊าฟในแบงก์

ข้อเสนอและเงื่อนไขของศุภชัยคืออะไร? หนึ่ง-เขาต้องการเป็นกรรมการในบอร์ดใหญ่เพื่อมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางก้าวเดินของแบงก์ สอง-เขาจะอยู่กับแบงก์ไม่น้อยกว่า 4 ปี และเป้าหมายสูงสุดคือ กรรมการผู้จัดการใหญ่หลังอนุตร์เกษียณ

ศุภชัยเข้ามาทำงานในธนาคารทหารไทยครั้งนี้มีเงื่อนไขทางภาวะวิสัยที่ดีเอามากๆ หากจะเทียบกับเมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว ประการแรกช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ธนาคารทหารไทยกำลังมีปัญหาลึกๆ ในเรื่องขาดแคลนผู้บริหารระดับสูง ทั้งนี้มือดีๆ ที่มีอยู่ก็ยังมีบารมีและอาวุโสไม่มากพอ

ประการต่อมาธนาคารทหารไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวของการเติบโตชนิดรั้งไม่อยู่ การจะรักษาอันดับและก้าวไปข้างหน้าได้มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับผู้บริหารเป็นสำคัญ สถานการณ์เช่นนี้จึงเท่ากับเปิดโอกาสให้ดร. ศุภชัยได้แสดงฝีไม้ลายมือได้เต็มที่

ดังนั้นจึงไม่น่าประหลาดใจที่การปรับผังภูมิโครงสร้างการบริหารงานกันใหม่อีกครั้งก็เพื่อรองรับดร. ศุภชัยโดยตรง ตำแหน่งงาน อำนาจตามสายงาน กำลังคน การถือหุ้น และอื่นๆ ที่ปรากฏก็ล้วนแต่กลั่นกรองออกมาจากการเจรจาต่อรองของดร. ศุภชัยกับผู้บริหารชั้นสูงนั่นเอง

หลายคนอาจตั้งข้อสงสัยว่าถ้าดร. ศุภชัยถึงกับสามารถมีส่วนกำหนดผังภูมิการบริหารในส่วนข้างบนได้เช่นนี้ ก็เท่ากับมีเงื่อนไขต่อรองสูงทีเดียว ถ้าเช่นนั้นทำไมดร. ศุภชัยจึงไม่เข้ามาดำรงตำแหน่งกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ที่ว่างอยู่ตั้งแต่ครั้งที่อนุตร์ละตำแหน่งนี้เพื่อขึ้นไปสู่ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่

ตำแหน่งกรรมการรองผู้จัดการใหญ่มีความหมายเป็นนัยว่าผู้ที่อยู่ในตำแหน่งนี้ก็คือผู้ที่จ่อหัวคิวกรรมการผู้จัดการใหญ่คนต่อไปนั่นเอง

แต่คำตอบง่ายๆ ทว่าชัดเจนที่สุดที่ "ผู้จัดการ" ได้ฟังมาก็คือการอยู่ในตำแหน่งกรรมการรองฯ นั้น "ไม่มีประโยชน์อะไร มันเป็นงานบริหารประจำวันที่น่าเบื่อหน่าย อีกอย่างหนึ่งถึงแม้จะไม่ได้ควบคุมดูแลสายงานอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบโดยตรง แต่ก็จะได้ดูแลในทางอ้อมอยู่แล้ว ในฐานะที่ผมเป็นกรรมการธนาคารและกรรมการบริหารด้วยผู้หนึ่ง" ดร. ศุภชัยกล่าวถึงเหตุผลที่เขาไม่สนใจตำแหน่งกรรมการรองผู้จัดการใหญ่

อย่างไรก็ดีประเด็นที่สำคัญกว่าในอีกแง่มุมมองหนึ่งก็คือการเข้ามาสวมตำแหน่งกรรมการรองฯ ออกจะเป็นการ "โจ่งแจ้ง" มากเกินไปในการเหยียบหัวคนขึ้นไป ซึ่งส่งผลสะเทือนต่อการบริหารและขวัญของผู้ใหญ่บางคนในแบงก์ ทางเลี่ยงที่ออกมาเป็นกรรมการที่ปรึกษาผู้บริหารดูสวยกว่า และถึงอย่างไรก็ได้รับผิดชอบสายงานด้านนโยบายทั้งหมดที่ตัวเองคาดหมายแล้ว

แม้จะอยู่ภายใต้ระบบโครงสร้างอำนาจที่บรรดาเหล่าขุนทหารกำกับอยู่ในแบงก์ก็ตาม แต่เรื่องศักดิ์ศรีและเกียรติยศแล้ว มันห้ามกันไม่ได้ที่จะปล่อยให้มันเกาะกุมอยู่ในจิตสำนึกของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกหม้อ อย่างอนุชาติ ชัยประภา!

ในผังภูมิ 7 กันยายน 2531 ยังมีตำแหน่งบริหารระดับสูงอีกตำแหน่งหนึ่งที่มีความสำคัญทั้งในแง่ของตำแหน่งและบุคลากรที่ดำรงตำแหน่ง นั่นคืออนุชาติ ชัยประภา ซึ่งร่วมงานกับธนาคารทหารไทยมาตั้งแต่ก่อนที่ธนาคารจะเปิดทำการ และเพิ่งเลื่อนขึ้นรับตำแหน่งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่เมื่อต้นปี 2530

อนุชาติรับผิดชอบสายงานที่อยู่ในความควบคุมของผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ 1 และ 2 รวมทั้งดูแลสำนักงานจัดการทรัพย์สิน กับงานสำคัญที่ได้รับมอบหมายอีกชิ้นหนึ่งคือดูแลงานก่อสร้างสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของธนาคารที่ข้างสวนจัตุจักร

สายงานส่วนใหญ่ที่อนุชาติดูแลจะเป็นสายงานประเภทที่เรียกว่างานโอเปอเรชั่นหรืองานที่เจ้าตัวเรียกว่างานธุรการ คือผ่านงานมาแล้วแทบจะทุกฝ่ายทุกแผนกในธนาคาร รู้เรื่องกฎระเบียบการปฏิบัติงานต่างๆ ของธนาคารทั้งหมด บทบาทหน้าที่ของอนุชาติอาจเทียบเคียงได้กับดำรง กฤษณามระ กรรมการผู้อำนวยการธนาคารกรุงเทพ คืออยู่ในตำแหน่งที่หลายคนเรียกว่า "แม่บ้าน" ของธนาคารนั่นเอง

แต่อนุชาติยังไม่อาจเทียบเคียงกับดำรงได้อย่างสนิทนัก ทั้งนี้เพราะดำรงเป็นกรรมการของธนาคารกรุงเทพด้วยและมีศักดิ์ศรีที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากรรมการผู้จัดการธนาคารชาตรี โสภณพนิชเลย ส่วนอนุชาตินั้นยังไม่ได้เป็นกรรมการธนาคาร และมีศักดิ์ศรีบารมีห่างจากอนุตร์อีกมาก

อนุชาติเข้าทำงานที่ธนาคารทหารไทยครั้งแรกในตำแหน่งเลขาผู้จัดการใหญ่คือโชติ คุณะเกษม โดยผ่านความสัมพันธ์ทางพ่อคือข้าหลวงชวน ชัยประภา ที่รู้จักสนิทสนมกับโชติเป็นอย่างดี ความสัมพันธ์ในรุ่นพ่อได้ถ่ายทอดลงมาถึงรุ่นลูกด้วย อนุชาติทำหน้าที่เป็นเลขาต่อเนื่องมาในสมัยสุขุม นวพันธ์ แล้วย้ายมาอยู่กองบัญชี ก่อนที่จะสับเปลี่ยนตำแหน่งต่างๆ ไปทั่วแบงก์

ความสัมพันธ์เป็นอันดีกับผู้บริหารระดับสูงของแบงก์ทำให้อนุชาติมีหน้าที่ซึ่งต่างไปจากพนักงานแบงก์ทั่วไป กอปรกับเป็นผู้ถือหุ้นรายบุคคลจำนวนมากที่สุดผู้หนึ่ง อนุชาติจึงได้เข้าร่วมประชุมในคณะกรรมการธนาคารทั้งที่ไม่ได้เป็นกรรมการแต่อย่างใด

อนุชาติรับหน้าที่เป็นผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการธนาคาร บันทึกการประชุมและเขียนรายงานการประชุมนับแต่เปิดแบงก์เรื่อยมา น่าประหลาดใจมากที่เขาไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการด้วยสักคน ทั้งที่ทำหน้าที่เสมือนเลขาฯ มาเป็นเวลาถึง 30 ปีเต็มแล้ว

มูลเหตุที่อนุชาติไม่ได้รับแต่งตั้งเข้าเป็นกรรมการ และดูเหมือนตัวเขาเองก็ไม่ได้กระตือรือร้นที่จะเป็นด้วยเลยนั้น เนื่องมาจากว่าธนาคารทหารไทยมีโครงสร้างกรรมการที่ต่างไปจากธนาคารอื่นๆ คือมีการระบุสัดส่วนกรรมการที่เป็นทหารและพลเรือนไว้อย่างชัดเจน

แม้โครงสร้างนี้จะเปลี่ยนแปลงได้ซึ่งอนุชาติก็รู้ดีและเคยมีผู้ดำริแก้ไข แต่มันก็ไม่เกิดผลอะไรขึ้นมา ทั้งนี้เพราะการปรับให้ผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เป็นรายบุคคลเข้ามานั่งเป็นกรรมการด้วยนั้น สอบถามกันไปก็ปรากฏว่าผู้ถือหุ้นรายนั้นเข้าไปร่วมในคณะกรรมการอยู่แล้ว ซึ่งก็คืออนุชาตินั่นเอง

จำนวนหุ้นธนาคารทหารไทยที่อนุชาติเก็บสะสมมาแต่ต้นจนปัจจุบันมีอยู่รวม 60,000 กว่าหุ้นหรือคิดเป็น 0.41% จัดอยู่ในอันดับผู้ถือหุ้นมากที่สุดเป็นรายที่ 18 แต่เป็นผู้ถือหุ้นรายบุคคลมากที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งก็เท่ากับว่าอนุชาติจะได้รับเงินปันผลคิดเฉลี่ยในแต่ละเดือนเป็นเลขหกหลักขึ้นไป

ในวัย 56 ปีของอนุชาติทุกวันนี้ เขาสามารถกล่าวแก่ "ผู้จัดการ" อย่างเบิกบานว่า "ผมสบายน่ะมันสบายเสียแล้ว ตอนนี้ผมมุไปเพื่ออะไร ไม่มีแล้ว ผมไปเรื่อยของผมนี่ ผมสบายที่สุดแล้วในเวลานี้"

แน่นอนอนุชาติบรรลุจุดสุดยอดในฐานะแล้ว…แต่เกียรติยศหละ เขายังไปไม่ถึง เหตุนี้ "ผู้จัดการ" จึงต้องพิจารณาคำพูดประโยคนี้ของอนุชาติอย่างลึกซึ้ง ทั้งนี้เพราะโดยสามัญสำนึกทั่วไปแล้ว บุคคลที่ร่วมหัวจมท้ายกอดคอทำงานกับธนาคารมาตั้งแต่ก่อนจะเปิดทำการจนบัดนี้มีตำแหน่งที่เหลืออีกไม่กี่ก้าวก็จะขึ้นสู่ท้อป แมเนจเม้นท์แล้วนั้น ไฉนจึงจะละความทะเยอทะยานใฝ่ฝันลงได้ง่ายๆ ทั้งที่ยังมีเวลาการทำงานเหลืออยู่อีกเป็นนาน

ในบ่ายวันหนึ่งที่นั่งคุยกับ "ผู้จัดการ" อนุชาติกล่าววิจารณ์ตนเองไว้อย่างน่าฟังว่า "ถ้าถามเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผมจะเป็น (หมายถึงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่) แต่ตอนนี้ชักไม่แน่ใจ เพราะผมคิดว่าตัวเองนี่ล้าไปเยอะ"

เขากล่าวถึงตัวเองพร้อมกับที่กล่าววิจารณ์ทิศทางของแบงก์ว่า "แบงก์ในยุคนี้กับเมื่อยุค 10 ปีที่แล้วนั้นต่างกัน ตรงที่ต่างกันก็คือแบงก์นี่มันขึ้นมาถึงอีกจุดหนึ่ง แต่ก่อนนี้ผมมองว่าแบงก์ทหารไทยทำโดเมสติค แต่เดี๋ยวนี้แบงก์ทุกแบงก์ กำไรจะไปอยู่ที่อินเตอร์เนชั่นแนล แบงกิ้ง"

ทิศทางที่มุ่งไปสู่อินเตอร์เนชั่นแนลแบงกิ้งนับเป็นเป้าหมายอันหนึ่งในการขยายตัวของธนาคารทหารไทย ส่วนหนึ่งดังจะเห็นจากธนาคารได้ก่อตั้งและเข้าเป็นผู้ถือหุ้นส่วนข้างมากที่สุดในบริษัท ทีเอ็มบีไฟแนนซ์ (ฮ่องกง) จำกัด เมื่อต้นปี 2530 และธนาคารกำลังศึกษาความเป็นไปได้ที่จะเปิดสาขาในต่างประเทศ โดยเฉพาะแถบฝั่งตะวันตกของสหรัฐฯ ด้วย นอกจากนี้ยังกำลังมุ่งตระเตรียมกำลังคนในธุรกิจ PROJECT FINANCE เพื่อหารายได้จาก FEE-BASE อีกด้วย

ในเมื่อทิศทางที่ธนาคารกำลังมุ่งไปสู่นี้เป็นสิ่งที่อนุชาติไม่คุ้นเคยมาก่อนตลอดระยะ 30 กว่าปีของการทำงานในทหารไทย นี่ก็นับเป็นข้ออ่อนที่สำคัญที่ตัวเขาได้ตระหนักเป็นอย่างดี เขากล่าวว่า "เราไม่ได้เตรียมตัวมาต่างหาก และข้อสำคัญถ้าเผื่อเราให้ตรงนั้นกับคนที่พร้อมกว่าก็คงจะดี แล้วเราอยู่ช่วยนี่ เขาไม่พะวักพะวงในโดเมสติค แล้วเขาจะไปได้เร็ว"

อย่างไรก็ดีข้ออ่อนนี้ไม่ได้มีความสำคัญแต่อย่างใด เพราะหากแบงก์สามารถหาผู้มีฝีมือมาบริหารดูแลกิจการต่างประเทศได้ ปัญหานี้ก็จะไม่เป็นข้ออ่อนสำหรับอนุชาติเลย ตรงกันข้ามอนุชาติกลับมีความเหมาะสมหลายประการที่จะขึ้นสู่ตำแหน่งท้อป แมเนจเม้นท์

เขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้งธนาคารตั้งแต่ก่อนเปิดทำการ เรียกได้ว่าเป็นลูกหม้อธนาคารมีความสัมพันธ์กับผู้บริหารระดับสูงของธนาคาร รุ่นแล้วรุ่นเล่า รู้งานโอเปอเรชั่น การดำเนินงานทุกแง่มุมของธนาคาร และที่สำคัญเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังที่มีส่วนในความสำเร็จของการเติบโตของธนาคารในสมัยที่ศาสตราจารย์ประยูร จินดาประดิษฐ์ เข้ามาเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ (2524-2530)

ทั้งนี้อนุชาติคือผู้ที่ติดต่อประสานให้สุขุม นวพันธ์ได้พบกับประยูร และเจรจาติดต่อขอให้เข้ามาร่วมงานกับธนาคารเป็นครั้งที่สอง จากจุดนี้เอง ศาสตราจารย์ประยูรก็แสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์โดยผลักดันให้ธนาคารมีอัตราการเติบโตชนิดที่เรียกว่าเป็นการก้าวกระโดดทีเดียว

จึงนับได้ว่าอนุชาติเป็นผู้ที่ทำคุณความดีอย่างสำคัญผู้หนึ่งให้แก่ธนาคาร จนเมื่อศาสตราจารย์ประยูรเกษียณก็ได้กล่าวความข้อนี้ให้เป็นที่ทราบโดยทั่วไปแก่พนักงาน

สำหรับคนที่ทะเยอทะยานและยังมีเวลาเหลืออยู่อย่างอนุชาตินั้น ทำไมเขาจึงไม่ได้รับความสนใจจากคณะกรรมการธนาคาร แต่ตรงกันข้ามผู้ที่ได้รับความสนใจ ถูกตื๊อถูกจีบจากธนาคารกลับกลายเป็นคนนอก ซึ่งอาจกล่าวได้ว่ายังไม่เคยผ่านงานธนาคารพาณิชย์มาเลย หนำซ้ำยังทำงานเป็นข้าราชการมาตลอด ไม่มีประสบการณ์ระดับนายธนาคารอย่างทีอนุชาติมี

ว่ากันว่าในวงในของสำนักงานใหญ่ธนาคารทหารไทยที่หัวมุมถนนพญาไท ซึ่งมีรวมทั้งสิ้น 15 ชั้น และมีลิฟท์ใช้โดยสารขึ้นลงรวม 5 ตัวนั้น พนักงานธนาคารจะไม่ได้เห็นกรรมการผู้จัดการใหญ่และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่โดยสารลิฟท์ตัวเดียวกัน เรียกว่าหากมีคนหนึ่งอยู่ในลิฟท์นั้น อีกคนหนึ่งก็จะไม่เข้าไปในลิฟท์นั้นทีเดียว

นอกจากนี้กรรมการผู้จัดการใหญ่เคยให้สัมภาษณ์นิตยสารฉบับหนึ่งซึ่งสะท้อนให้เห็นทัศนะที่มีต่อลูกน้องเป็นอย่างดี อนุตร์กล่าวว่า "ผมคิดว่าลูกหม้อก็คงจะมีโอกาส (หมายถึงก้าวขึ้นมาเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ของธนาคาร-ผู้จัดการ) ถ้าหากตัวเองมีการพัฒนาสามารถที่จะรับภาระของธนาคารได้ แต่ถ้าถามผม ผมคิดว่าการทำธนาคารจำเป็นจะต้องใช้มืออาชีพจริงๆ เรื่องวิชาการก็สำคัญเช่นกัน"

สิ่งที่อนุตร์ให้ความสำคัญอย่างยิ่งก็คือ "ความมีฝีมือ" ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อเขาเข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่นั้น เขาก็ได้แต่งตั้งให้สมชาติ อินทรทูต ผู้จัดการฝ่ายสาขาขึ้นดำรงตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่เป็นคนที่ 3 ทั้งนี้เพราะสมชาติสามารถพิสูจน์ให้อนุตร์เห็นได้ว่าเขาเป็น "คนมีฝีมือ"

แม้ว่าสมชาติจะเข้ามาทำงานในแบงก์ได้ 10 กว่าปี แต่เขาได้รับการเลื่อนขั้นตำแหน่งอย่างรวดเร็วมากเมื่อเทียบกับเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ในวัยเดียวกัน ถึงขนาดที่ว่าโกวิท จิระธันห์ อดีตผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ได้รับการต่ออายุให้เกษียณช้าลงอีก 1 ปีเพื่อรอให้ผู้จัดการฝ่ายสาขาในเวลานั้นมีประสบการณ์มากขึ้นอีกหน่อยก่อนที่จะมาสวมตำแหน่งนี้

กรณีของสมชาติสะท้อนให้เห็นอย่างเด่นชัดว่าเขาไต่เต้าได้รวดเร็วเป็นเพราะฝีมือของตัวเอง และการสนับสนุนจากอนุตร์ แต่กับอนุชาตินั้น ว่ากันว่าฝีมือของท่านรองฯ ยังไม่ได้รับการยอมรับจากอนุตร์ อีกทั้งในแง่ของบารมีความสามารถก็ยังมีไม่มากพอ ดังนั้นเมื่ออนุตร์ละจากตำแหน่งกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ เขาจึงยังไม่ยอมแต่งตั้งใครขึ้นมาครองตำแหน่งนี้ หรือนัยหนึ่งก็คือยังไม่เห็นใครที่มีความสามารถและบารมีสูงมากพอนั่นเอง

แต่กับดร. ศุภชัย ผู้ซึ่งมีความสามารถโดดเด่นเป็นที่ยอมรับทั่วไปแล้วนั้น อนุตร์ไม่ได้อิดเอื้อนที่จะมอบตำแหน่งกรรมการและแบ่งสรรอำนาจต่างๆ ให้เลยในทันทีที่มีการเจรจาร่วมงานกัน

เศรษฐศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยอีราสมัส ประเทศเนเธอร์แลนด์ผู้นี้ แม้จะไม่ได้จบวิชาการเงินการคลังโดยตรง แต่ทว่ามีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านนี้เป็นอย่างดี นอกเหนือจากประสบการณ์อันอุดมจากธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นเวลานานถึง 12 ปีเต็มแล้ว การดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังยังเปิดโอกาสให้ดร. ศุภชัยใช้ความรู้ความสามารถบริหารงานการคลังของประเทศได้อย่างเต็มที่ กับทั้งเป็นการเพิ่มพูนบารมีของเขาให้โดดเด่นเอามากๆ ด้วย

เมื่อหยิบภาพของคนทั้งสองขึ้นมาเปรียบเทียบกันแล้ว จะเห็นได้ว่าดร. ศุภชัยมีความ "เหนือ" กว่าอนุชาติอย่างที่ "ผู้จัดการ" ไม่ต้องแจกแจงรายละเอียดให้มาไปกว่านี้เป็นการเปลืองกระดาษเสียเปล่า แต่ "ผู้จัดการ" ขอชี้แจงว่าทัศนะเช่นนี้เป็นการขัดแย้งกับความเห็นของคนวงในธนาคารทหารไทย

จากการพูดคุยกับผู้บริหารระดับสูงบางคนทำให้ "ผู้จัดการ" ได้รับทราบทัศนะของพวกเขาว่าจริงๆ แล้วนั้น พวกเขาให้ความสำคัญกับเรื่องข้อเด่นของผู้บังคับบัญชามากกว่าที่จะเอ่ยถึงเรื่องข้อด้อย และเนื่องจากน้อยคนจะมีคุณสมบัติพร้อมในทุกๆ ด้าน ดังนั้นการที่ผู้บริหารแต่ละคนมีข้อเด่นต่างๆ กันไปตามสายงานที่รับผิดชอบและข้อด้อยของแต่ละคนไม่สร้างปัญหาแก่ส่วนรวมแล้ว พวกเขาก็สามารถสร้างทีมเวิร์คที่มีประสิทธิภาพขึ้นมาได้

อรรคเดช พีชผล ผู้จัดการฝ่ายอาวุโสฝ่ายวางแผนและพัฒนาซึ่งเข้ามาร่วมงานกับทหารไทยเกือบ 13 ปีแล้วนั้นกล่าวถึงผู้บังคับบัญชาของเขาว่า "สไตล์การทำงานของอาจารย์ยูรนั้น ท่านก็มีลักษณะครูบาอาจารย์รอบรู้กว้างขวาง บริหารงานในลักษณะแผ่พระคุณให้ ส่วนคุณอนุตร์ถือว่าเป็นลูกหม้อในงานธนาคาร เป็นมืออาชีพมาแต่ต้น กว้างขวางในหมู่นักธุรกิจพ่อค้า

ทางดร. ศุภชัย ดูจากประวัติด้านการศึกษา ความรู้ แบคกราวน์ การที่ท่านเลือกตั้งครั้งเดียวเป็นรัฐมนตรีนี่ไม่ต้องพูดอะไรมาก ฉะนั้นท่านมีภูมิทางด้านแบงก์ชาติ กระทรวงการคลังมา นี่คงเป็นจุดเด่นขึ้นมา ส่วนคุณอนุชาตินั้นมีงานทางด้านโอเปอเรชั่นเป็นจุดเด่นสำคัญ ทั้งสี่ท่านก็เก่งทั้งนั้น ทุกคนมีจุดเด่น แต่จะให้เด่นทุกด้านคงไม่ได้"

ส่วนดร. ทรง ลำไย อดีตคณบดีวิทยาลัยอัสสัมชัญบริหารธุรกิจ (เอแบค) ซึ่งละการสอนและหันมาเอาดีในทางแบงเกอร์ ปัจจุบันเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารทหารไทยคนที่ 4 และมีอาวุโสน้อยที่สุดในหมู่ผู้บริหารระดับสูงของธนาคาร ได้ให้ข้อคิดเห็นที่น่าสนใจอันทำให้เห็นเสมือนประหนึ่งว่าไม่ได้เกิดความขัดแย้งเรื่องจ่อหัวคิวตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ เพราะผู้บริหารแต่ละคนถูกจัดวางบทบาทหน้าที่ในตำแหน่งที่เหมาะสมแล้ว

การที่ผู้บริหารระดับสูงมีข้อเด่นกันคนละด้าน เมื่อมารวมกันแล้วจึงทำให้เกิดระบบการบริหารงานที่สมบูรณ์ ถึงขนาดที่เป็น "คอมบิเนชั่นที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา" ดร. ทนงกล่าวโต้กระแสข่าวที่ถูกกล่าวถึงด้วยทฤษฎีการจัดการสมัยใหม่

เขาพยายามชี้ให้เห็นว่าในสมัยก่อนสไตล์การทำงานของศาสตราจารย์ประยูร จินดาประดิษฐ์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่กับอนุตร์ อัศวานนท์สมัยที่เป็นกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ว่าไม่ใช่ลักษณะ CO-PRESIDENT แต่เป็นแบบทีมเวิร์คมากกว่าโดยมีอนุชาติ ชัยประภา รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ร่วมด้วยอีกคนหนึ่ง

ดร. ทนงขยายข้อเด่นของทีมเวิร์คชุดเดิมว่า "ผมมองอดีตการเติบโตสมัยอาจารย์ประยูร มันโต ด้วยผู้บริหาร 3 คนคือมีอาจารย์ประยูรในฐานะนักวิชาการ ฐานะศิษย์เก่าแบงก์ชาติ รู้กฎระเบียบธนาคารพาณิชย์ดีมาก เป็นผู้ตรวจการธนาคารพาณิชย์มาก่อน มีประสบการณ์แบงก์ ประสบการณ์ในการเป็นอาจารย์ มีเมตตา มีคุณธรรม และความเป็นผู้นำของธนาคาร สร้างธนาคารให้เป็นที่รู้จักและสร้างแนวคิดที่ว่าผมเป็นแค่ลูกจ้างมืออาชีพ ลงได้ขึ้นได้ นั่นคือสิ่งที่ท่านตั้งหลักการของการบริหารไว้

คนที่สอง กรรมการรองผู้จัดการ อยู่มานานตั้งแต่แบงก์เปิดได้ปีสองปี เป็นมืออาชีพ ผมมองว่าท่านมีเซนส์ของความเป็นนักธุรกิจ เป็นคนที่พยายามมาก ดูที่ประวัติการศึกษาท่านไม่ได้จบด็อกเตอร์แต่ท่านมีเซนส์ของนักธุรกิจ ฉะนั้นท่านเป็นมือสองที่บุกเบิกธุรกิจแทน รับมอบหมายจากอาจารย์ประยูรขยายงานทุกๆ ด้านที่อาจารย์ประยูรต้องการให้เกิดขึ้น นี่คือมือที่บุกธุรกิจ

เรามีมือที่สามคือคุณอนุชาติ ชัยประภา ท่านเป็นผู้ที่ผมมองว่าเป็นแม่บ้าน คุณสมบัติท่านเป็นผู้ที่อยู่กับแบงก์ตั้งแต่เมื่อแบงก์เริ่มต้น ท่านรู้หมดว่าแบงก์นี่อะไรอยู่ที่ไหน ท่านจะมองเห็นปัญหา เห็นข้อดี ข้อเสียอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่คนมองแต่บุกมองแต่ข้อดี ท่านก็จะมองว่าแล้วมีข้อเสียอะไรจะต้องแก้ไขทั้งภายในภายนอก ทั้งกฎระเบียบทั้งสัญญาทุกอย่าง นี่คือสมบัติล้ำค่าขององค์กร"

เมื่อศาสตราจารย์ประยูรลาออกจากธนาคาร ขอเป็นเพียงกรรมการที่ปรึกษา ก็เท่ากับว่าขาดมือสำคัญอันดับหนึ่งไป แต่ดร. ทนงกลับมองว่าเมื่อได้ดร. ศุภชัยเข้ามา คอมบิเนชั่นเดิมก็ก่อตัวขึ้นใหม่อีก

"เมื่ออาจารย์ประยูรออกไป เอาละในฐานะศิษย์เก่า และในฐานะนักวิชาการ ผมไม่แน่ใจว่าคณะกรรมการธนาคารคิดถึงคอมบิเนชั่นนี้หรือเปล่า การที่มีคุณอนุตร์ คุณอนุชาติ และดร. ศุภชัย คอมบิเนชั่นมันก็เกิดอีก

คนหนึ่งเซนส์ทางธุรกิจ มองอะไรไกลในแง่ของทางธุรกิจ คนหนึ่งก็ทางวิชาการและศิษย์เก่าแบงก์ชาติ อีกคนหนึ่งก็แม่บ้าน ฉะนั้นคอมบิเนชั่นนี่ก็ยังอยู่ได้

ผมคิดว่านี่คือจุดที่ทางกรรมการธนาคารมองคือ เรามีจุดโหว่ทางด้านวิชาการ และทางด้านบุคคลที่สังคมภายนอกจะยอมรับและการเป็นศิษย์เก่าของธนาคารชาติ คือคล้ายเป็นตัวแทนของอาจารย์ประยูรในแง่ที่จะช่วยสร้างให้เกิดคอมบิเนชั่นอย่างเก่านี้มาแบงก์นี้จะแข็งเมื่อคอมบิเนชั่นอยู่"

ส่วนปัญหาที่ว่าถ้าเกิดขาดมือบริหารคนใดคนหนึ่งไปอีกจะทำอย่างไร ดร. ทนงตอบอย่างน่ารักว่า "ผมไม่รู้" แน่นอนว่าดร. ทนงคงไม่สามารถให้คำตอบได้ เพราะเรื่องทั้งหมดอยู่ที่กรรมการธนาคารที่มีหน้าที่สอดส่ายสายตา ควานหาผู้บริหารมืออาชีพเข้ามานั่งแป้นในธนาคารต่อๆ ไป

ทำไมทัศนะของคนภายนอก (ธนาคารกับคนภายในธนาคาร) จึงดูแตกต่างกันมากมายนัก ขณะที่คนภายนอกมองว่าการเชิญดร. ศุภชัยเข้ามาร่วมงานในฐานะตำแหน่งที่สูงส่งเช่นนี้ย่อมก่อให้เกิดผลกระทบต่อโครงสร้างการบริหารภายในแบงก์ ต่อทิศทางการเติบโตของแบงก์ และที่สำคัญต่อคนแบงก์เองที่น่าจะเกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเมื่อถูก "คนนอก" ก้าวข้ามหน้าข้ามตามาอยู่ในระดับที่สูงกว่า

ส่วนทัศนะของภายในนั้นกลับมองว่าเป็นเรื่องดีอย่างยิ่งที่แบงก์จะได้คนดีมีฝีมือมาร่วมบริหารงาน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่แบงก์จะต้องรักษาอัตราการเติบโตที่ก้าวพรวดพราดขึ้นมาสู่อันดับ 5 ของธนาคารพาณิชย์ทั่วประเทศ

ผู้บริหารระดับสูงคนหนึ่งเปิดเผยว่าที่แท้ก็เป็นฝีมือของกรรมการธนาคารที่คอยสอดส่องมองหาคนดีมีฝีมือเข้ามาร่วมบริหารงานธนาคาร เขากล่าวว่า "พวกกรรมการธนาคารจะคอยมองดู ซึ่งพวกเขามองอะไรระยะยาวมาก ต้องการสร้างคนดีมีฝีมือขึ้นมาเรื่อยๆ คนข้างในก็มีฝีมือ แต่ทำอย่างไรให้ได้คนข้างนอกเข้ามาอีก คนที่คอนทริบิวท์ให้ธนาคารได้…แบงก์นี้เป็นแบงก์ที่ทุกคนมองคนข้างนอกตลอดเวลาว่าใครดีที่จะมาอยู่แบงก์นี้ มีใครที่จะเพิ่มได้อีก"

สมชาติ อินทรทูต, อรรคเดช พีชผล, สุทัย อุนนานนท์ (ผู้จัดการฝ่ายอาวุโสฝ่ายการต่างประเทศ ซึ่งเพิ่งเข้าร่วมงานกับธนาคารทหารไทยได้ 2 ปีกว่า), ดร. ทะนง ลำไย และล่าสุดดร. ศุภชัย พานิชภักดิ์ จึงล้วนแต่เป็นคนนอกที่อยู่ในสายตาของกรรมการธนาคารมาก่อนทั้งสิ้น

กรรมการธนาคารก็คือที่ประชุมของผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารนั่นเอง โดยที่ทหารไทยมีโครงสร้างกรรมการที่ต่างไปจากที่อื่นคือจะมีกรรมการที่มาจากฝ่ายทหารรวม 13 คนและมาจากพลเรือน 2 คน

กรรมการธนาคารชุดแรกๆ ไม่ได้มีส่วนร่วมในการบริหารและการกำหนดทิศทางของธนาคารแต่อย่างใด จนมาในสมัยกรรมการชุดหลังๆ นับแต่เมื่อพลเอกจิตติ นาวีเสถียร เข้านั่งเป็นประธานในราวปี 2523 เรื่อยมาก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการมีส่วนร่วมของกรรมการธนาคารเสียใหม่ โดยตัวประธานเองได้มานั่งทำงานที่ธนาคารแทบทุกวันเพื่อพิจารณาคำขออนุมัติต่างๆ จากผู้จัดการใหญ่

หลังจากพลเอกจิตติเสียชีวิตในปี 2525 พลเอกประยุทธ จารุมณีก็เข้ามารับช่วงงานต่อ รวมทั้งสืบทอดวัฒนธรรมการทำงานของพลเอกจิตติไว้ด้วย นอกจากนี้พลเอกประยุทะยังได้แสดงบทบาทที่สำคัญคือการออกเยี่ยมเยียนพนักงานสาขาเพื่อลดช่องว่างระหว่างพนักงานธนาคารและผู้บริหารระดับต่างๆ กับทั้งยังเป็นตัวเชื่อมประสานระหว่าง กลุ่มนายธนาคารมืออาชีพที่ต้องการขยายฐานธนาคารกับกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่คือ ทหารซึ่งอาจเกรงว่าการขยายฐานอาจกระทบกระเทือนอำนาจของกลุ่มตน (โปรดดูรายละเอียดเรื่อง "ธนาคารทหารไทย : ยุคเติบใหญ่อย่างก้าวร้าว" ใน "ผู้จัดการ" ปีที่ 3 ฉบับที่ 25 กันยายน-ตุลาคม 2528)

นับได้ว่าการเปลี่ยนแปลงบทบาทของกรรมการธนาคารดังกล่าวมีส่วนสำคัญต่อการเติบโตของธนาคารไม่น้อย และย่อมเป็นการแน่นอนว่าผู้ที่ขึ้นสู่ท้อป แมเนจเม้นท์หรือตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ได้นั้นต้องเป็นคนที่ผ่านการเห็นชอบจากกรรมการธนาคารแล้ว

กล่าวให้ชัดๆ ก็คือเป็นบุคคลที่กรรมการธนาคารเลือกสรรขึ้นมาแล้ว และการกำหนดของกรรมการธนาคารนี้จะไม่ทำให้พนักงานในหน่วยงานระดับล่างรวนหรือกระทบกระเทือนเป็นอันขาด เหตุผลที่ฟังดูไม่ง่ายนักก็คือธนาคารทหารไทยมีวัฒนธรรมการบริหารที่พิเศษเฉพาะอย่างหนึ่ง คือเรื่องความมีวินัยและการทำงานเป็นทีมเวิร์ค…และจุดนี้กระมังที่การเข้ามาของศุภชัยจึงไม่เกิดปัญหาการปะทะกันอย่างเปิดเผยและรุนแรงกับผู้อยู่ก่อน

ดร. ศุภชัยก็กล่าวชื่นชมคุฯสมบัติข้อนี้ของธนาคารว่า "แบงก์นี้มีวินัยดีมากด้วยความที่เป็นระบบทหารเป็นระบบที่มีวินัยดีมาก ซึ่งอันนี้ผมคิดว่าสำหรับสถาบันการเงินนั้นจำเป็น วินัยกับความซื่อสัตย์นี่อาจจะจำเป็นกว่าความรู้ความสามารถด้วยซ้ำ ทั้งสามอย่างนี้ต้องประกอบกัน…อาจกล่าวได้ว่า วัฒนธรรมองค์กรของที่นี่ไม่หลวมเหมือนอย่างที่อื่น ค่อนข้างแน่นหนา คือทุกอย่างชัดเจนหมด"

ความแข็งแกร่งในจุดนี้ ได้รับการเสริมขึ้นอีกจาก ดร. ทะนง ที่เน้นว่า "แบงก์นี้เป็นแบงก์เปิดเป็นแบงก์ของมืออาชีพ ทุกคนอาศัยชีวิตอยู่กับแบงก์ ไม่ใช่ผู้ถือหุ้นใหญ่แต่เป็นลูกจ้างมืออาชีพ ฉะนั้นเวลาเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรก็แล้วแต่สำหรับธนาคาร องค์กรระดับล่างลงมาเขาจะเป็นองค์กรที่มีลักษณะเป็นทีมเวิร์คค่อนข้างจะแข็ง เขาจะให้เวลาผู้ที่มาใหม่ และถ้าผู้นั้นสามารถทำงานให้องค์กรได้เขาก็จะยอมรับ ซึ่งโอกาสที่จะสร้างปฏิกิริยาแบบคัดค้านเดินขบวนอะไรนี่ ผมไม่เคยรู้สึกเลย ผมเข้ามาอยู่ในแบงก์นี้ไม่เคยรู้สึกเลย และดร. ศุภชัยก็ไม่รู้สึก"

ดร. ทนงอ้างว่าในวันที่ธนาคารเลี้ยงต้อนรับดร. ศุภชัยนั้น ดร. ศุภชัยพูดอยู่ประโยคหนึ่งว่า "ถ้าผมรู้ว่าแบงก์ทหารไทยต้อนรับผมอย่างนี้นะ ผมคงจะมาตั้งแต่เมื่อ 5 ปีที่แล้ว" ทั้งนี้เพราะ "แบงก์นี้เป็นแบงก์ที่ทุกคนรู้หน้าที่และความรับผิดชอบของตนเองและมันมีทีมเวิร์ค" นั่นเอง

ดังนั้นหลังจากที่มีเสียงบ่นๆ ว่า "อึดอัด" เล็ดลอดออกมาจากระดับสูงของธนาคารในช่วงสัปดาห์แรกๆ ที่ดร. ศุภชัยเข้าไปร่วมงานด้วยนั้น ในไม่กี่สัปดาห์ให้หลังก็กลับมีเสียงพูดอย่างโล่งใจว่า "ไม่มีอะไร มันก็มีความสงสัยเท่านั้นเอง ผ่านไปเดือนหนึ่ง โอ้โฮ มันนิ่มนวลเป็นบ้าเลย"

ความมีวินัยและการทำงานเป็นทีมเวิร์คของธนาคารทหารไทยจัดเป็นวัฒนธรรมองค์กรเฉพาะที่แตกต่างจากธนาคารอื่นๆ และนี่คือเหตุผลต่อปัญหาที่ว่าทำไมหน่วยงานระดับรองลงไป จึงไม่ระส่ำระสายเหมือนอย่างที่ครั้งหนึ่งที่มีผู้ใหญ่บางคนแสดงความไม่พอใจการรับดร. อำนวย วีรวรรณ เข้ามาร่วมงานในตำแหน่งบริหารระดับสูง "คุณดำรงเคยซึมไปพักใหญ่เชียวแหละตอนนั้น" คนในแบงก์ย้อนอดีตให้ฟัง

อย่างไรก็ดีการเข้าร่วมงานของ ดร. อำนวยในเวลานั้นก็ต่างจากดร. ศุภชัยครั้งนี้ด้วย กล่าวคือเมือมีความไม่พอใจของผู้ใหญ่บางคนปะทุขึ้นนั้น ดร. อำนวยได้รับตำแหน่งที่ปรึกษาซึ่งมีอำนาจจำกัดจำเขี่ยมากขณะที่ดร. ศุภชัยในธนาคารทหารไทยปัจจุบันมีอำนาจตามสายงานที่ควบคุมอย่างบริบูรณ์และมีในทันทีที่ประกาศแต่งตั้ง

อย่างไรก็ดียังมีปมประเด็นอีกอันหนึ่งที่ช่วยอธิบายได้ว่าทำไมความเห็นของคนภายในกับคนภายนอกจึงแตกต่างกัน นั่นคือข้อที่ว่าธนาคารทหารไทยคุ้นเคยกับการบริหารงานด้วยมืออาชีพจากภายนอกพอควร

ในบรรดาผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการธนาคารทหารไทยนั้น ทุกคนล้วนแต่เป็นคนนอกทั้งสิ้นหรือนัยหนึ่งคือไม่ได้ไต่เต้าขึ้นมาจากพนักงานธนาคาร ไม่เว้นแม้แต่อนุตร์ อัศวานนท์ กรรมการผู้จัดการคนปัจจุบันที่เข้ามาร่วมงานกับธนาคารหลังจากเปิดดำเนินการได้ 2 ปีในตำแหน่งหัวหน้ากองการค้าและตลาด

ความจริงข้อนี้ทำให้ "ผู้จัดการ" หวนนึกถึงคำพูดของรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ซึ่งจัดว่าเป็นลูกหม้ออย่างแท้จริงของธนาคารที่กล่าวว่า "ผมถึงบอกหลายๆ คนมาแล้ว ไม่เคยมีผู้จัดการใหญ่ของแบงก์คนไหนที่ไต่ขึ้นมาจากพนักงาน"

จึงอาจกล่าวได้ว่าธนาคารทหารไทยนับเป็นแหล่งของผู้บริหารมืออาชีพจริงๆ ยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับธนาคารอื่นๆ แล้ว ไม่ว่าจะเป็นธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย ยิ่งทำให้เห็นคุณลักษณะเด่นข้อนี้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ธนาคารกรุงเทพและธนาคารกสิกรไทยนั้น แม้จะเป็นธนาคารใหญ่ติดอันดับโลก แต่ทว่ายังมีระบบการตัดสินใจและการบริหารที่เป็นกึ่งระบบครอบครัว ทั้งนี้แทบจะเป็นการปิดป้ายไว้ได้เลยว่า ท้อป แมเนจเม้นท์ของธนาคารจะต้องเป็นคนในตระกูลโสภณพนิชและล่ำซำเท่านั้น

แม้ธนาคารทั้งสองจะมีผู้บริหารมืออาชีพมากมายเพียงใด แต่พวกเขาย่อมรู้ดีว่าตำแหน่งสูงสุดในชีวิตธนาคาร หากพวกเขาปรารถนาจะอยู่จนเกษียณอายุ เป็นได้ก็เพียงกรรมการเท่านั้น

การที่ธนาคารทหารไทยได้ดร. ศุภชัยเข้ามาร่วมงานด้วยนั้นนับเป็นฝีมือการคัดสรรที่อยู่ในขั้นใช้ได้ทีเดียวของกรรมการธนาคารเพราะในเบื้องต้นนี้ก็พอจะเห็นเป็นเลาๆ แล้วว่าโฉมหน้าธนาคารภายใต้การบริหารของดร. ศุภชัยจะมีหน้าตาอย่างไร?

ธนาคารทหารไทยจะมีศักราชใหม่ด้วยการมุ่งสู่กิจการด้านต่างประเทศเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ดร. ศุภชัยเคยกล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า "ทิศทางการเติบโตของแบงก์ต้องมุ่งไปในทางเดียวกับทิศทางการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ" หรือกล่าวให้ชัดลงไปอีกก็คือ ธนาคารต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องการค้าต่างประเทศ เรื่อง TRADE FINANCE ที่ปัจจุบันยังทำน้อยอยู่ โครงการด้านโครงสร้างที่สำคัญๆ รวมทั้งธุรกิจที่โยงกับเรื่องอุตสาหกรรมการเกษตรด้วย

กลยุทธ์ดั้งเดิมของธนาคารที่ว่าไม่เสี่ยงมากและก็ไม่ได้เอามากนั้นคงจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ดร. ศุภชัยกล่าวและขยายความว่า "ต่อไปนี้เราต้องวางตัวของเรากับแนวโน้มให้ได้ ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ธนาคารของเรามีความเสี่ยงมากขึ้น ทั้งนี้ธนาคารทุกแห่งต้องรับความเสี่ยงอยู่แล้ว แต่มันเป็นความเสี่ยงที่เราคำนวณได้" เขาพูดถึงมิติที่สำคัญในกระบวนการตัดสินใจทางนโยบายของแบงก์ในอนาคตใกล้ "ผู้จัดการ" ฟัง

อย่างไรก็ดี กว่าจะได้เห็นโฉมหน้าใหม่ของธนาคารทหารไทยภายใต้การบริหารของดร. ศุภชัยนั้นก็คงต้องทอดระยะเวลาไปอีกสักพักหนึ่ง แต่จะนานสักเพียงใด ยังไม่มีใครสามารถรู้ได้และหากมีปัจจัยภายนอกที่ทำให้ดร. ศุภชัยต้องออกจากธนาคารไป อะไรจะเกิดขึ้น

ทั้งนี้ดร. ศุภชัยอาจจะไปลงสมัครรับเลือกตั้งในคราวหน้าอีกก็เป็นได้ และในเมื่ออนุตร์ อัศวานนท์ ก็จะถึงกำหนดเกษียณอายุลงในปี 2532 ถึงจะต่ออายุอีก 1 ปีก็ยังเป็นเวลาที่ไม่มากพอที่จะหาคนสืบทอดตำแหน่งแทนได้ เมื่อถึงเวลานั้นธนาคารทหารไทยจะตกอยู่ในภาวะไร้ผู้นำหรือไม่

คำตอบคือเป็นไปได้ เพราะแม้ในทีมเวิร์คระดับสูงของธนาคารจะยังมี "แม่บ้าน" เหลืออีก 1 คนที่มีอายุการทำงานเหลืออยู่ 4 ปี แต่หากรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ผู้นี้ขึ้นดำรงตำแหน่ง โฉมหน้าของธนาคารต้องหันเหไปในอีกทางหนึ่ง

ด้วยความสามารถและประสบการณ์เฉพาะตัวของอนุชาติที่คลุกคลีอยู่กับงานธนาคารในประเทศตลอดมาทำให้เขาจำเป็นต้องมีมาร์เก็ตติ้ง อาร์มส์หลายคน โดยเฉพาะในด้านของกิจการต่างประเทศ และยังต้องหาผู้มีความสามารถที่จะมาสวมบทบาทบางด้านของตำแหน่งบริหารที่อนุชาติไม่คุ้นเคยมาก่อนด้วย

ส่วนมือบริหารในระดับผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ คนที่ 1 และ 2 ก็จะเกษียณไล่เลี่ยกันในช่วง 3-4 ปีข้างหน้า คนอื่นๆ แม้จะมีความสามารถมากแต่ยังจะต้องใช้เวลาสะสมบารมีอีกนาน

อย่างไรก็ตามหากจะมองกันในอนาคตช่วงใกล้ๆ นี่แล้ว คงต้องถึงว่าดร. ศุภชัยเป็นทางเลือกใหม่ของธนาคาร จริงๆ แล้วแม้กรรมการธนาคารจะพยายามสอดส่องหาคนดีมีฝีมือเข้ามาร่วมงานซึ่งด้านหนึ่งก็นับเป็นฝีมือของกรรมการฯ ที่ล้านแต่คัดเอาผู้มีวิทยายุทธ์แกร่งกล้าเข้ามาเป็นพวกได้มากมาย ทำให้หลายคนพูดว่าธนาคารทหารไทยเป็นแหล่งของนักบริหารมืออาชีพ แต่อีกด้านก็เป็นการสะท้อนความล้มเหลวของธนาคารในการที่จะผลิตคนที่มีความสามารถโดดเด่นได้ด้วยตนเอง

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us