Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤศจิกายน 2531








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤศจิกายน 2531
ระบบการวางแผนเศรษฐกิจญี่ปุ่น กรณีศึกษาการปรับตัวของกลไกรัฐที่ชื่อMITI             
โดย สุรพล ธรรมร่มดี
 


   
search resources

Ministry of International Trade and Industry - MITI
Economics
Japan
Political and Government




การจำเริญเติบโตของสังคมญี่ปุ่นในทศวรรษที่ 1950 และ 1960 ได้กลายเป็น "สิ่งมหัศจรรย์" ทางเศรษฐกิจในความรู้สึกนึกคิดของผู้คนทั่วไป แต่สิ่งเหล่านี้ย่อมไม่ใช่เรื่องโชคหรือสิ่งนอกเหนือกฎเกณฑ์ที่ควรเป็นไป

ความเป็นจริงที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จอันนี้ ก็คือ การทำงานอย่างสอดประสานของ "ระบบสถาบัน" ในสังคมที่มี "กลไกราชการ" เป็นตัวกำหนดผลักดัน

กระบวนการตัดสินใจในการผลักดันนโยบาย โดยเฉพาะนโยบายอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นถูกกำหนดโดยกลไกราชการเป็นด้านหลักในขณะนั้นรัฐสภาของญี่ปุ่นแทบไม่มีบทบาทอย่างใด นอกจากนี้ยังมีกลุ่มสถาบันเอกชนอื่นๆ ร่วมด้วย รวมเป็น 6 องค์กรสำคัญ ได้แก่

หนึ่ง-กรมกองด้านอุตสาหกรรมในกระทรวงเศรษฐกิจต่างๆ ของรัฐบาลโดยเฉพาะ "MITI" (MINISTRY OF INTERNATIONAL TRADE AND INDUSTRY) สอง-กรมกองของ "MITI" ที่ทำหน้าที่ประสานงานกรมกองข้างต้น สาม-กลุ่มสมาคมอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ (GYOKAI DANTAI) สี่-คณะกรรมการพิจารณาปัญหาเศรษฐกิจ (DELIBERATION COUNCIL) ประเภทต่างๆ ซึ่งเป็นหน่วยงานกึ่งกลางระหว่างภาครัฐบาลกับภาคเอกชน ห้า-กลุ่มนักบริหารธุรกิจเอกชนระดับสูง (ZAIKAI) ซึ่งทำหน้าที่เป็นปากเสียงให้กับบรรษัทขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น หก-กลุ่มทุนธนาคารที่ป้อนเงินทุนให้กับอุตสาหกรรม

กลุ่มทั้ง 6 นี้จะเข้ามีส่วนในการผลักนโยบาย ปรับแต่งจนลงตัวในจำนวนนี้มีอยู่ 3 องค์กรที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในระบบวางแผนเศรษฐกิจญี่ปุ่น นั่นคือ

หนึ่ง-กรมกองด้านอุตสาหกรรมและกรมกองประสานงานของ "MITI"

หน่วยงานงานแรกเป็นกรมกองที่ดูแลอุตสาหกรรมแต่ละประเภทมีอยู่ในกระทรวง MITI ด้วยกัน 9 กรม ในจำนวนนี้มีกรมอุตสาหกรรมหนัก กรมอุตสาหกรรมเคมี กรมสิ่งทอและสินค้าเบ็ดเตล็ด กรมถ่านหินและเหมืองแร่ และกรมสาธารณูปโภค ทั้ง 5 กรมนี้เป็นอุตสาหกรรม ยุทธศาสตร์ในโครงสร้างอุตสาหกรรมญี่ปุ่นแห่งทศวรรษ 1950-1960

หน่วยงานที่สอง เป็นกรมประสานงานมีทั้งสิ้น 4 กรมคือ กรมการค้าระหว่างประเทศ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กรมวิสาหกิจและกรมป้องกันมลภาวะ

นอกจากนี้ในกระทรวงอื่นที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมประเภทอื่นๆ เช่น กรมอุตสาหกรรมของกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง กรมอุตสาหกรรมต่อเรือแห่งกระทรวงคมนาคม เป็นต้น

หน้าที่ของกรมกองเหล่านี้ทั้งหมดมี 4 ประการ คือ

หนึ่ง-ออกกฎหมายเกี่ยวกับอุตสาหกรรมสาขาหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น กฎหมายอุตสาหกรรมปิโตรเลียม กฎหมายส่งเสริมอุตสาหกรรมเครื่องจักร เป็นต้น

สอง-ออกมาตรการด้านภาษี เช่น มาตรการพิเศษในการเก็บภาษีให้อภิสิทธิ์และผลประโยชน์แก่อุตสาหกรรมที่มุ่งส่งเสริม การเปลี่ยนแปลงอัตรากำแพงภาษี นโยบายให้นำเข้าโดยเสรี นโยบายการลงทุนจากต่างประเทศโดยเสรี

สาม-อนุมัติการทำสัญญาเกี่ยวกับการซื้อเทคโนโลยีระหว่างบริษัทญี่ปุ่นกับบริษัทต่างชาติและการร่วมทุน ตลอดจนการอนุมัติเป็นกรณีเฉพาะสำหรับอุตสาหกรรมบางประเภทด้วย เช่นอุตสาหกรรมผลิตไฟฟ้า

สี่-จัดสรรเงินทุนจากสถาบันการเงินของรัฐบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากธนาคารพัฒนาญี่ปุ่น (JAPAN DEVELOPMENT BANK)

สอง-กลุ่มสมาคมอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ เช่น สหพันะเหล็กแห่งญี่ปุ่น สมาคมอุตสาหกรรมรถยนต์ สมาคมอุตสาหกรรมต่อเรือ ฯลฯ กลุ่มเหล่านี้ทำตนเป็นผู้ชักจูงและโน้มน้าวให้กรมกองด้านอุตสาหกรรมต่างๆ ดำเนินนโยบายให้เป็นประโยชน์ต่อกลุ่มของตนมากที่สุด

สาม-คณะกรรมการพิจารณาปัญหาเศรษฐกิจ ประกอบขึ้นมาจากผู้มีประสบการณ์ในวงการต่างๆ เช่น ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ตัวแทนจากกลุ่มเอกชนขนาดใหญ่ ตัวแทนจากสหภาพแรงงาน นักวิชาการตัวแทนจากกลุ่มผู้บริโภค ฯลฯ เข้ามาแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและความต้องการของกลุ่มตนเพื่อการกำหนดนโยบายอุตสาหกรรม

ในขั้นตอนของการวางแผนเศรษฐกิจ องค์กรเหล่านี้จะเข้าร่วมโดยผ่าน "กลไกรัฐ" เป็นขั้นตอนดังนี้ คือ ขั้นแรก รัฐบาลจะมอบหมายให้คณะกรรมการพิจารณาปัญหาเศรษฐกิจรับไปดำเนินการสร้างแผน ขั้นที่สอง คณะกรรมการนี้จะดำเนินการจัดตั้งอนุกรรมการทำหน้าที่รวบรวมประเด็นปัญหา และนำเสนอนโยบายภายใต้การประสานงานของคณะกรรมการ ขั้นที่สาม นำเสนอนโยบายต่อรัฐบาลให้ตัดสินใจบังคับใช้ต่อไป

การผ่านขั้นตอนจากกลไกรัฐไปสู่ความร่วมมือกับภาคเอกชนนั้น สะท้อนลักษณะพิเศษของการวางแผนเศรษฐกิจญี่ปุ่นตรงที่มุ่งให้กลุ่มฝ่ายต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการประสานประโยชน์และสร้างความเห็นพ้อง (CONSENSUS) ให้เกิดขึ้นแก่คนทั้งประเทศ

แผนเศรษฐกิจที่ได้มาถือว่าเป็น "สัญญาประชาคม" ที่ภาครัฐบาลต้องถือเป็นพันธะที่จะต้องดำเนินการให้บรรลุ ขณะเดียวกันภาคเอกชนก็ถือแผนนี้เป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับการตัดสินใจดำเนินธุรกิจในระยะยาวของตน

หลังจากที่สังคมญี่ปุ่นผ่านยุคทองไปแล้ว หลังทศวรรษ 1970 และ 1980 เป็นช่วงที่ปัญหาทางสังคมอันเป็นผลจากการพัฒนาเศรษฐกิจกำลังรุมเร้าอย่างหนัก ในรายงานของคณะกรรมการพิจารณาปัญหาโครงสร้างอุตสาหกรรมได้เสนอว่า

"นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ประเทศของเราได้ผลักดันเศรษฐกิจภายใต้การนำของวิสาหกิจเอกชนที่ยึดหลักเศรษฐกิจตลาดมาโดยตลอด วิสาหกิจเอกชนที่เปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตและมีความกระตือรือร้นในการไล่กวดประเทศตะวันตกที่พัฒนาแล้ว ในปัจจุบันได้บรรลุเป้าหมายของตนในส่วนที่เกี่ยวกับความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศด้านอุตสาหกรรมแล้ว… แต่ในขณะเดียวกันผลของความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเหล่านี้ก็ทำให้สังคมของเราต้องเผชิญกับปัญหาเมือง ที่ดิน ที่อยู่อาศัย มลภาวะ ความจำกัดด้านพลังงานทรัพยากรธรรมชาติและแรงงาน เป็นต้น

ปัญหาเหล่านี้ไม่เคยมีมาก่อนและเป็นปัญหาที่ไม่อาจแก้ไขด้วยมาตรการแบบ CATCH UP เหมือนอย่างสมัยก่อน…แนวมองระยะยาวเกี่ยวกับโครงสร้างอุตสาหกรรมจึงอยู่ที่การเสนอแนวมองอันหนึ่งให้แก่พวกเราว่า อุตสาหกรรมของประเทศเราควรจะทำอย่างไรจึงจะตอบสนองความต้องการของสังคมและความต้องการของประชาชนได้"

ด้วยแนวมองอันนี้ทำให้ "MITI" ขยับตัวปรับกลไกโดยลดทอนบทบาทของกรมกองด้านอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ ลงบ้าง และเพิ่มบทบาทให้กรมกองด้านประสานงานมากขึ้น เพื่อเข้าให้ถึงการดำเนินการต่อปัญหายิ่งขึ้น

ขณะเดียวกันการปรับตัวเหล่านี้ ก็ควบคู่กันไปกับการปรับบทบาทของพรรคการเมืองในระบบรัฐบาลญี่ปุ่นให้มีโอกาสกำหนดนโยบายด้านอุตสาหกรรมมากขึ้น โดยเฉพาะบทบาทของ ส.ส.

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us