Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน9 เมษายน 2552
กนง.หั่นดอกเบี้ย0.25% แบงก์จ่อคิวลดตามภายใน1-2วัน             
 


   
www resources

โฮมเพจ ธนาคารแห่งประเทศไทย

   
search resources

ธนาคารแห่งประเทศไทย
ดวงมณี วงศ์ประทีป
Interest Rate




กนง.ประกาศลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% หวังกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้าต่อไป ชี้ในช่วง 1-2 วันนี้ได้เห็นแบงก์ปรับลดดอกเบี้ยตาม เผยในอนาคตยังมีช่องให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้อีก ขณะที่การชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงบั่นทอนความเชื่อมั่นในวงกว้างและอาจฉุดให้เศรษฐกิจไทยตกต่ำจากเดิมที่ติดลบ

นางสาวดวงมณี วงศ์ประทีป ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้(8เม.ย.) คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ได้มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตร 1 วัน (อัตราดอกเบี้ยนโยบาย) ลงอีก 0.25% จากปัจจุบันที่อยู่ 1.50%ต่อปี ทำให้ลดลงเหลือที่ระดับ 1.25%ต่อปี โดยกนง.มองว่าเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงมากขึ้นทั้งรุนแรงและยาวนานกว่าการประเมินครั้งก่อน ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยให้มีความเสี่ยงเชิงลบด้วย ขณะเดียวกันอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและพื้นฐานยังคงมีแนวโน้มลดลง จึงเอื้อให้นโยบายการเงินสามารถพยุงเศรษฐกิจและกระตุ้นให้ฟื้นตัวในต่อไปได้

ทั้งนี้ การปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% กนง.ได้ประเมินปัจจัยการเมืองครั้งนี้อยู่ในความเสี่ยงแล้ว โดยมีผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชน ภาคเอกชน และอาจส่งผลให้โครงการต่างๆ ของรัฐบาลล่าช้าและการเบิกจ่ายอาจไม่เป็นไปตามเป้าหมาย และสุดท้ายกระทบสู่ภาวะเศรษฐกิจไทย และหากการประท้วงของกลุ่มคนเสื้อแดงยืดเยื้อส่งผลให้เศรษฐกิจไทยเข้าสู่เชิงลบและอาจกดดันให้ให้ตกต่ำกว่าปัจจุบันที่ได้ประเมินว่าเศรษฐกิจจะหดตัวจนเข้าสู่แดนลบอีก

โดยในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาของไตรมาสแรกปีนี้ เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจไทยบางตัวเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นต่างกับช่วงไตรมาส 4 ของปี 51 ซึ่งช่วงนั้นเกิดมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหลายชุดจนฉุดเรื่องการลงทุนและความไม่สงบในประเทศ ถือเป็นเรื่องเฉพาะ ขณะที่ภาคผลิตบางอุตสาหกรรมชะลอตัว โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่เริ่มเห็นคำสั่งซื้อหดกว่าช่วงปกติ และไม่รู้ว่าสถานการณ์นี้จะฟื้นตัวได้เมื่อใด

“ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้เศรษฐกิจไทยน่าจะฟื้นตัวได้จากผลของแรงกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐภายใต้สมมติฐานที่ว่าเศรษฐกิจโลกไม่ดิ่งลงมากกว่านี้แล้ว ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจะเอื้อประโยชน์ให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้ อย่างไรก็ตามมองว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวไม่มากและมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นกว่าการประเมินเศรษฐกิจครั้งก่อนหน้า ถึงขั้นเข้าสู่กรณีเลวร้ายจากที่มีโอกาสติดลบแล้ว แต่ต้องรอการประเมินเศรษฐกิจจากกนง.อย่างเป็นทางการในวันที่ 22 เม.ย.นี้”

ทั้งนี้ หลังจากที่กนง.ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องถึง 3 ครั้งที่ผ่านมาถึง 2.25% ซึ่งไม่รวมกับการปรับลดครั้งนี้ได้มีการสำรวจการปรับตัวของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่จำนวน 5 แห่งที่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในระบบถึง 70% ในช่วงเดือนพ.ย.51 ถึงเดือนมี.ค.52 โดยอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 12 เดือนลดลง 1.8% อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลด 1.1% จากปัจจุบันที่ระดับดอกเบี้ยเงินกู้เฉลี่ยที่ระดับ 6.25% อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แท้จริง 6.4% ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 12 เดือนอยู่ที่ระดับ 0.95% และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากแท้จริงอยู่ที่ระดับ 0.54%

นางสาวดวงมณี กล่าวว่า กนง.มองว่าการดำเนินโยบายการเงินผ่านอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลงทั้งสิ้น 2.50% นั้นเป็นการใช้ยาแรงพอสมควร ส่วนผลนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายนี้จะส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ทยอยลดอัตราดอกเบี้ยในทิศทางใด ขึ้นอยู่กับการประเมินต้นทุน รายได้ที่ได้รับจากการดำเนินธุรกิจของแต่ละสถาบันการเงินเป็นสำคัญ ซึ่งหากดูพฤติกรรมของสถาบันการเงินในอดีตพบว่ามีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่อง จึงคาดว่าใน 1-2 วันนี้น่าจะได้เห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์กัน

“การปรับอัตราดอกเบี้ยมายืนที่ระดับ 1.25% ยังไกลจากระดับ 0% ซึ่งแบงก์ชาติยืนยันมาตลอดว่าจะไม่ลดดอกเบี้ยนโยบายถึง 0% แต่ในขณะนี้ยังมีช่องเห็นว่าการใช้นโยบายการเงินส่งผ่านระบบเศรษฐกิจยังมีประสิทธิภาพอยู่และแบงก์มีการตอบสนองที่ดีด้วยภายใต้สถานการณ์ในปัจจุบันที่มีปัจจัยเสี่ยงสูงต่อระบบเศรษฐกิจ ฉะนั้นการใช้นโยบายการเงินของธนาคารกลางในหลายๆ ประเทศจะต้องดูสภาพการเงินและภาคธุรกิจด้วย”

อย่างไรก็ตามมองว่าหากดอกเบี้ยเงินกู้ที่ลดลงอาจส่งผลให้ผู้ฝากเงินหันไปลงทุนผ่านช่องทางอื่นเพิ่มขึ้นนั้นกลับมองว่าไม่เป็นเช่นนั้น เพราะผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงไม่ใช่ผู้ฝากเงินหายไปกลับเป็นตัวธนาคารพาณิชย์ที่ต้องรับมือสถานการณ์นี้มากกว่า

สำหรับนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนที่หลายฝ่ายต้องการให้ธปท.มีการดูแลให้เงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางที่อ่อนค่งลงนั้น ผู้ช่วยผู้ว่าการธปท.กล่าวว่า ธปท.จะดูแลค่าเงินบาทให้เป็นไปตามปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจและติดตามค่าเงินไม่ให้มีการเปลี่ยนแปลงจนเสียเปรียบประเทศคู่ค้า   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us