|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
* จับตาบริษัทผู้ค้าพรินเตอร์ เตรียมเปิดศึกตลาดพรินเตอร์องค์กร หลังพบศักยภาพสูง
* แอบดอดหาตลาดเป้าหมายถึงบ้าน เสนอตัว 'ที่ปรึกษา' งานพิมพ์
* เอชพี ประเดิมก่อนใคร เปิดแคมเปญระดับภูมิภาค 'When Everything Counts' มาพร้อมทั้งโซลูชั่น+การเงิน
* บราเดอร์ไม่ยอมน้อยหน้า ขายแนวคิด Balanced Deployment ลดต้นทุนกันเห็นๆ
นักวิจัยตลาดคาดการณ์การลงทุนด้านไอทีของกลุ่มผู้ใช้องค์กรว่า จะมีความระมัดระวังในการลงทุนเพิ่มขึ้น ยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ไอทีออกไประยะหนึ่ง รวมถึงการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เรียกว่า เซฟกันสุดๆ สถานการณ์แบบนี้เป็นสถานการณ์ที่บริษัทไอทีไม่ค่อยอยากจะเห็น
ถึงแม้ว่าจะมีหน่วยงานอย่างศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือเนคเทค จะระบุในรายงานวิจัยตลาดไอทีในประเทศไทยว่า การใช้จ่ายตามภาคเศรษฐกิจของตลาดไอทีในปีที่แล้วภาครัฐและภาคธุรกิจเอกชนเป็นกลุ่มหลักที่ใช้จ่ายในไอทีถึง 173,442 ล้านบาท หรือ 76.3% ขณะที่ภาคครัวเรือนมีการใช้จ่ายเพียง 53,064 ล้านบาท นั่นหมายถึงว่า ตลาดกลุ่มลูกค้าองค์กรและภาครัฐ ยังเป็นตลาดที่มีเม็ดเงินลงทุนอยู่
'แม้ว่าเศรษฐกิจในปัจจุบันจะอยู่ในสภาวะถดถอย แต่ตลาดไอทีในเอเชียแปซิฟิกยังคงได้รับการคาดหวังว่าจะสามารถขยายตัวได้ ซึ่งในภาวะเช่นนี้ องค์กรธุรกิจต่างมุ่งหวังและให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนค่าใช้จ่ายด้านการซื้อสินทรัพย์ที่จะกลายเป็นต้นทุนให้เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สามารถจัดการและควบคุมได้แทน อันเนื่องมาจากผู้บริหารต้องการรักษาความคล่องตัวทางด้านเงินสดและเลื่อนภาระทางการเงินออกไปให้ยาวนานขึ้น' สมชัย สูงสว่าง ผู้จัดการทั่วไป กลุ่มธุรกิจภาพและการพิมพ์ บริษัท ฮิวเลตต์-แพคการ์ด (ประเทศไทย) หรือเอชพี กล่าวถึงแนวคิดการใช้ไอทีของบริษัทองค์กรให้ฟัง
เมื่อแนวคิดการลงทุนระบบไอทีเปลี่ยนไป จึงเป็นโจทย์สำคัญให้กับบริษัทไอทีจะต้องมองหาแคมเปญการตลาดใหม่ๆ ที่กระตุ้นให้บริษัทห้างร้านยอมรับกับแนวคิดดังกล่าว โดยเฉพาะงานพิมพ์ภายในองค์กรที่ถือเป็นค่าใช้จ่ายสำคัญในองค์กร ถึงแม้จะมีความพยายามควบคุม กวดขันเรื่องเหล่านี้ก็ตาม แต่ค่าใช้จ่ายงานพิมพ์ก็ยังคงเป็นปัญหาที่หลายๆ องค์กรแก้ไม่ตกเสียที
สมชัย กล่าวต่อว่า ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอยได้กลายเป็นเรื่องเร่งด่วนทางธุรกิจที่ทุกบริษัทต้องหันมาใส่ใจในเงินทุกบาทที่ใช้จ่ายไป เมื่อทุกอย่างมีความสำคัญสำหรับการตัดค่าใช้จ่ายในสภาวะการดำเนินธุรกิจที่มีความท้าทายเช่นนี้ เอชพีมีความพร้อมที่จะเป็นเหมือนบริษัทคู่ค้าที่จะเข้ามาช่วยหาหนทางแบบเร่งด่วนและรวดเร็วเพื่อช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน
'สิ่งแรกที่เราเข้ามาช่วยได้ก็คือ คำนึงถึงการเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดและลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น ด้วยการตระหนักถึงค่าใช้จ่ายที่มองไม่เห็นและคาดไม่ถึง'
เอชพีจะช่วยหาทางออกให้เพื่อลดค่าใช้จ่ายและลดความกดดันเรื่องกระแสการเงินหมุนเวียนในธุรกิจ สามารถจัดการกับค่าใช้จ่ายในเรื่องการพิมพ์ได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่คุ้มค่า ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์โซลูชั่นด้านการพิมพ์ เครื่องมือเสริม และโปรแกรมสนับสนุนต่างๆ รวมถึงความนิยมที่เพิ่มขึ้นในการบริหารงานพิมพ์แบบ Managed Print Services หรือเอ็มพีเอส ที่เป็นเครื่องยืนยันว่า ถึงเวลาแล้วที่องค์กรธุรกิจควรหันไปให้ความสำคัญแก่บริการดังกล่าว และคว้าโอกาสเพื่อการประหยัดต้นทุนอย่างเร่งด่วน จึงจะสามารถบริหารค่าใช้จ่ายได้ผลยิ่งขึ้น และเพิ่มพูนประสิทธิผลภายในบริษัท และเมื่อมีการปรับเวิร์กโฟลว์ด้านงานเอกสารให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ก็ยิ่งทำให้การบริหารต้นทุนทางไอทีและธุรกิจคุ้มค่ามากที่สุด
นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมอย่างไอดีซีได้ให้ข้อสังเกตว่าปัจจุบันองค์กรธุรกิจมีความต้องการทางด้านบริการการพิมพ์แบบ Managed Print Services เพิ่มขึ้นอย่างมากทั่วทั้งภูมิภาค เช่นเดียวกับความต้องการใช้งานโซลูชั่นที่ล้ำหน้าเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายและปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจส่จงผลสู่การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในธุรกิจองค์กร
สมชัย ยังกล่าวถึงกลยุทธ์การตลาดที่จะกระตุ้นตลาดให้เห็นความสำคัญต่อโซลูชั่นการพิมพ์ว่า เอชพีนำเสนอกลยุทธ์การตลาดที่เรียกว่า When Everything Counts สำหรับลูกค้าทุกระดับสู้วิกฤตเศรษฐกิจในปีนี้ ด้วยวิธีการแปลงค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนให้เป็นค่าใช้จ่ายที่จัดการและควบคุมได้ ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการพิมพ์ และนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและพลังงาน นอกจากนี้ มีโซลูชั่นและบริการที่มีความยืดหยุ่นเสนอเป็นทางเลือกเพิ่มเติม สนับสนุนการทำงานของลูกค้าระดับเอสเอ็มบีและลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่
'ด้วยข้อเสนอเหล่านี้จะช่วยให้ลูกค้าประสบความสำเร็จในการวางกลยุทธ์ด้านการลดต้นทุนทั้งแบบทันทีและในระยะยาวท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ทุกอย่างถูกคำนวณเป็นเงินต้นทุนและค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น'
กลุ่มเป้าหมายภายใต้กลยุทธ์ When Everything Counts นั้น ทางเอชพีมุ่งเจาะใน 2 ตลาดหลัก คือ กลุ่มเอสเอ็มบี กับกลุ่มเอนเตอร์ไพรส์
ในกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มบี ทางเอชพีนำเสนอในรูปแบบโซลูชั่นและบริการเพราะมีข้อจำกัดปัญหาความกดดันด้านงบประมาณ โดยเอชพีมีโปรแกรมแปลงค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนให้เป็นค่าใช้จ่ายที่จัดการและควบคุมได้ ด้วยโครงการ HP Leasing Program ลดค่าใช้จ่ายด้านฮาร์ดแวร์และค่าดำเนินการด้วยโปรแกรมการใช้พรินเตอร์ เอชพี ออฟฟิศเจ็ต โปร โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ในขณะที่ผู้ใช้บริการสามารถอัปเกรดพรินเตอร์ที่มีอยู่โดยไม่ต้องจ่ายเงินค่าฮาร์ดแวร์เพิ่ม
โปรแกรมนี้ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการพิมพ์ต่อหน้าได้ถึง 50% และยังช่วยลดพลังงานเมื่อเทียบกับเลเซอร์พรินเตอร์แบรนด์อื่นๆ และยังช่วยประหยัดพลังงานด้วยเทคโนโลยี Instant-on ของพรินเตอร์ เอชพี เลเซอร์เจ็ตที่สามารถเริ่มการพิมพ์หน้าแรกได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังช่วยลดการใช้พลังงานได้สูงสุด 50% เหนือกว่าการใช้เทคโนโลยีฟิวเซอร์แบบเก่า
ผู้ที่เลือกใช้โปรแกรมนี้ จะต้องซื้อหมึกพิมพ์จำนวน 2 ตลับต่อเดือน โดยมีระยะเวลาผ่อนจ่ายเป็นรายเดือนตลอดระยะเวลาการใช้งานอย่างต่ำ 12 เดือน ซึ่งจะช่วยเอสเอ็มบีลดค่าใช้จ่ายในการพิมพ์ได้มากกว่า 50%
'จากรายงานของการ์ทเนอร์ องค์กรสามารถลดค่ากระดาษต่อปีได้อย่างน้อย 30% โดยเลือกการพิมพ์ 2 หน้าไว้เป็นค่ามาตรฐานในพรินเตอร์ทั่วทั้งองค์กร'
เอชพีได้นำจุดนี้มาเสนอแนะให้ผู้ใช้ลดการสิ้นเปลืองของกระดาษ โดยการตั้งค่าการพิมพ์เป็นแบบ 2 หน้าอัตโนมัติ หรือ Duplex Printing และด้วยเทคโนโลยีการส่งข้อมูลดิจิตอลของ HP เช่น การส่งแฟกซ์ไปยังอีเมลและการจัดการไฟล์ดิจิตอลจะทำให้ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนเอกสารไปเป็นดิจิตอลฟอร์แมต ช่วยลดการใช้กระดาษและลดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บ ในขณะเดียวกันก็ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานได้ด้วย และด้วยโซลูชั่น Color Access Control ช่วยจัดการงานพิมพ์สีเพื่อประหยัดต้นทุน ลูกค้าสามารถควบคุมและตรวจสอบการพิมพ์ได้
สำหรับกลุ่มลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ เอชพีได้เตรียมโปรแกรมบริหารจัดการงานพิมพ์ ด้วยการสนับสนุนการบริหารจัดการกระแสเงินหมุนเวียน ภายใต้ข้อเสนอสัญญาการให้บริการที่มีความยืดหยุ่น ด้วยบริการที่เรียกว่า HP Managed Print Services ที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับงานด้านภาพและการพิมพ์ได้มากถึง 30% แถมยังช่วยจัดการลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการจัดซื้ออุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และบริหารสภาพแวดล้อมงานด้านภาพและการพิมพ์ได้ง่าย
ส่วน HP Optimization Assessment เป็นอีกบริการหนึ่งในโปรแกรมที่ช่วยให้องค์กรสามารถพัฒนาแผนการใช้งานพรินเตอร์ และปรับสภาพแวดล้อมการพิมพ์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อหาโซลูชั่นที่จะตอบสนองความต้องการด้านความปลอดภัย คำนวณอัตราการคืนทุน การทำสำเนาภาพเอกสาร แนะวิธีการใช้การดูแลรักษาเครื่องพิมพ์ทั้งหมดในองค์กรได้ในระยะยาว
ข้อเสนอจะเป็นในรูปของการแบ่งจ่ายผ่อนชำระได้ตามระยะที่ต้องการแทนที่จะต้องจ่ายเงินค่าบริการทั้งหมดในคราวเดียวดังแต่ก่อน ผู้ใช้ที่เลือกโปรแกรมนี้สามารถเลือกบริการประกันสินค้าหลังการขายเพิ่มเติมเพื่อคุ้มครองนานกว่าเดิมจากระยะเวลาประกันมาตรฐาน 12 เดือน
'หากทำสัญญาเพื่อรับบริการหลังการขายสำหรับพรินเตอร์ที่กำหนดหรือมัลติฟังก์ชั่นพรินเตอร์ที่มีระยะเวลานาน 3-5 ปี สามารถเลือกที่จะไม่ต้องจ่ายค่าบริการใดๆ ในช่วง 12 เดือนแรกของสัญญาได้'
สมชัย กล่าวด้วยว่า แคมเปญดังกล่าวจะช่วยให้เอชพีมียอดขายเติบโตขึ้น 20% จากปัจจุบันเอชพีมีส่วนแบ่งการตลาดพรินแตอร์ในกลุ่มเอสเอ็มอีราว 38% ขณะที่กลุ่มองค์กร 41% โดยรวมแล้ว เอชพีมีส่วนแบ่งตลาดพรินเตอร์ราว 40% คาดว่า แคมเปญดังกล่าวจะสามารถกระตุ้นส่วนแบ่งการตลาดได้เพิ่ม 20% ขณะที่ตลาดหมึกพิมพ์ คาดว่าจะเติบโตขึ้นไม่ต่ำกว่า 25%
'ธุรกิจการพิมพ์กำไรส่วนใหญ่มาจากหมึก เพราะฮาร์ดแวร์มีมาร์จิ้นที่ต่ำมาก เพราะการแข่งขันราคาที่รุนแรงดังนั้นผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นถึงอยู่รอด และผู้ที่อ่อนแอจะหายไปจากตลาด ผู้ค้าที่จะอยู่ได้ต้องปรับตัวจากการขายเครื่องอย่างเดียวมาเพิ่มมูลค่าให้สินค้าและขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุม'
เมื่อถามถึงแคมเปญดังกล่าวเป็นเสมือนที่ปรึกษาในโซลูชั่นการพิมพ์ที่มาพร้อมทั้งผลิตภัณฑ์และการเงิน แล้วเอชพีได้อะไร สมชัย กล่าวว่า สิ่งที่เอชพีทำจะเป็นผลบวกในระยะยาว ในการสร้างรายได้จากการบำรุงรักษาและบริการ ช่วยให้สามารถขยายฐานลูกค้าได้มากกว่าเดิม นอกเหนือจากขายฮาร์ดแวร์อย่างเดียว นอกจากนี้เป็นการขยายตลาดหมึกแท้ของเอชพีอีกทาง เพราะถ้าไม่ทำโอกาสที่ลูกค้าจะหันไปใช้หมึกปลอมก็มีมากขึ้น ขณะที่ลูกค้าองค์กรก็สามารถรักษาเงินสดหมุนเวียนและนำค่าใช้จ่ายดังกล่าวไปหักภาษีประจำปีได้
บราเดอร์รุกตลาดองค์กร
ดูเหมือนแนวคิดต้องการกระตุ้นตลาดองค์กรด้วยโซลูชั่นการพิมพ์ที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายของเอชพี มีความคล้ายกับแนวทางการรุกตลาดลูกค้าองค์กรของ 'บราเดอร์' ที่ต้องการขยายตลาดเข้าสู่ตลาดองค์กรเพิ่ม หลังจากที่ประสบความสำเร็จในตลาดคอนซูเมอร์ด้วยมัลติฟังก์ชั่นพรินเตอร์มาแล้ว
ด้าน ธีรวุธ ศุภพันธ์ภิญโญ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขายและการตลาด บริษัท บราเดอร์ คอมเมอร์เชียล ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ปีนี้เรามีแนวคิดที่จะขยายตลาดในกลุ่มลูกค้าองค์กรเพิ่มขึ้นอีกตลาดหนึ่ง ในปีที่แล้วบราเดอร์มีส่วนแบ่งตลาดลูกค้าองค์กรเพียง 10%
กลยุทธ์ที่บราเดอร์เตรียมใช้บุกตลาดพรินเตอร์ในกลุ่มลูกค้าองค์กร 'Balanced Deployment'
ธีรวุธ กล่าวต่อว่า บราเดอร์ได้เริ่มนำแนวคิดที่เรียกว่า Balanced Deployment เข้ามาช่วยในการบริหารจัดการงานพิมพ์ในองค์กรให้เกิดความสมดุลและลงตัวที่สุด โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและความเหมาะสมของลักษณะงานกับขนาดหรือประเภทของพรินเตอร์ การจัดวางตำแหน่งของพรินเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ ในออฟฟิศที่สร้างความสะดวกแก่ผู้ใช้งาน รวมไปถึงซอฟต์แวร์ในการบริหาร ซึ่งช่วยให้องค์กรลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ในขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดในการทำงาน
'แต่เดิมการเลือกซื้ออุปกรณ์พรินเตอร์ในองค์กรมักประเมินจากต้นทุนโดยรวมของการเป็นเจ้าของ หรือ Total Cost of Ownership เช่น ค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อเครื่องและอุปกรณ์ ปริมาณการพิมพ์ การรับประกัน ข้อตกลงในการให้บริการ และวัสดุสิ้นเปลืองเช่น หมึกพิมพ์'
แต่มักไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดค่าใช้จ่ายแอบแฝง อาทิ เวลาที่ใช้ในการเดินไปยังเครื่องพิมพ์ เวลาที่เสียไปในการรอคิวงาน การขาดการใช้งานที่เหมาะสม ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายที่ไม่พึงประสงค์ตามมามากมายโดยที่องค์กรอาจจะไม่ได้ตระหนักถึง
ธีรวุธ กล่าวอีกว่า การนำปัจจัยในทุกส่วนที่เกี่ยวข้องมาพิจารณาเพื่อให้องค์กรได้เห็นถึงต้นทุนที่แท้จริง และได้ประสิทธิผลของการลงทุนอย่างสูงสุด นั่นเป็นวิธีการของการประยุกต์ใช้แนวคิด Balanced Deployment ซึ่งดำเนินการโดยทางทีมผู้เชี่ยวชาญของบราเดอร์ที่จะเก็บรวบรวมข้อมูลสำคัญ ตั้งแต่การประเมินการจัดวางระบบไอทีภายในขององค์กร ขั้นตอนการทำงานของแผนกต่างๆ ตลอดจนถึงรูปแบบของงานพิมพ์ที่ใช้ในแต่ละแผนกขององค์กร จากข้อมูลที่รวบรวมมาทั้งหมด ที่ปรึกษาจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเลือกใช้ฮาร์ดแวร์ และซอฟต์แวร์ที่เหมาะสมในการตอบสนองการทำงานขององค์กรนั้นๆ
'ทางบราเดอร์จะทำการสำรวจเพื่อวิเคราะห์ความต้องการ โดยดูความต้องการทั้งของแผนกและตัวบุคคล หลังจากนั้น ก็จะทำการสำรวจเพื่อวิเคราะห์การใช้งานของแต่ละแผนกในองค์กร ถัดมาก็จะนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ เพื่อทำการออกแบบและคัดเลือกเครื่องพิมพ์ที่เหมาะสมกับการใช้งานและทำการติดตั้งพรินเตอร์ สุดท้ายก็จะทำการเชื่อมโยงบริการจัดการพรินเตอร์ภายในองค์กร และก็ทำการเชื่อมโยงซอฟต์แวร์บริหารจัดการพรินเตอร์ที่อยู่ในเครือข่าย'
ธีรวุธ กล่าวเสริมว่า บริการให้คำปรึกษานั้นไม่ได้คิดค่าใช้จ่ายแต่ประการใด สิ่งที่เราจะได้จากแนวคิดนี้ก็คือ รายได้จากการขายเครื่องทั้งฮาร์ดแวร์และผงหมึก ซึ่งของเราต่างจากแบรนด์อื่น
ถึงแม้บราเดอร์จะไม่ได้เป็นหน้าใหม่ในตลาด แต่สำหรับตลาดองค์กรแล้ว ธีรวุธ ยอมรับว่า ในสัดส่วนยอดขายของบราเดอร์เอง ตลาดลูกค้าองค์กรในปีที่แล้วมีเพียง 10% เท่านั้น แต่สำหรับปีนี้เมื่อมีการนำเสนอแนวคิดเรื่อง Balanced Deployment แล้ว น่าจะทำให้บราเดอร์มีสัดส่วนยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 20%
'ในทางกลับกัน ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ โอกาสที่บราเดอร์มีรูมในการทำตลาดสูง ด้วยโซลูชั่นที่เรามี เทคโนโลยีที่เป็นของบราเดอร์เอง'
เมื่อถามถึงข้อดีที่องค์กรนำแนวคิด Balanced Deployment ธีรวุธ กล่าวว่า แน่นอนว่า Balanced Deployment จะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพงานพิมพ์แผนกต่างๆ ในองค์กรดีขึ้น ด้วยการกระจายการใช้งานพรินเตอร์ให้เหมาะสม ตรงกับความต้องการ โดยใช้ซอฟต์แวร์ช่วยในการบริหารจัดการที่อยู่ภายในเครื่องพรินเตอร์ของบราเดอร์ ไม่ต้องซื้อหรือติดตั้งซอฟต์แวร์เพิ่มแต่ประการใด
'เป็นการลงทุนที่สามารถวัดผลได้ โดยเฉพาะการลดต้นทุนโดยรวม Total Cost of Ownership ที่มาพร้อมกับประสิทธิผลที่เพิ่มขึ้น'
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ค่าใช้จ่ายโดยรวมที่ลดลงหลังจากการประยุกต์ใช้ Balanced Deployment ธีรวุธ กล่าวว่า สามารถลดต้นทุนของพรินเตอร์และอุปกรณ์ได้ถึง 15% ลดค่าใช้จ่ายค่าเครื่องมือและอุปกรณ์ 37% ค่าวัสดุการพิมพ์และพลังงาน 30% ค่าใช้จ่ายของสิ่งที่ใช้แล้วหมดไป 17% ค่าบำรุงรักษาและบริการ 25% มีความเป็นไปได้ในการลดค่าซ่อมแซม 4% ค่าติดตั้งและอัปเกรดอุปกรณ์ 5%
'แนวคิด Balanced Deployment ได้รับการพัฒนาโดยเน้น Benefit-oriented เป็นหลัก โดยจะต้องมีจำนวนพนักงานในองค์กรตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป'
|
|
|
|
|