พูดถึงธุรกิจเวนเจอร์แคปปิตอล หลายคนคงมีปุจฉาขึ้นในใจว่า "เอะ มันคืออะไรกัน"
? ไม่แปลกที่เป็นเช่นนี้เพราะอันที่จริงแล้ว ธุรกิจนี้มันใหม่เอามากๆ ในสหรัฐอเมริกาเองที่เป็นต้นตำรับธุรกิจนี้ก็เพิ่งมีธุรกิจนี้มาเพียง
40 กว่าปีเท่านั้นเอง (หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เล็กน้อย) และเพิ่งจะมีการพัฒนากันอย่างจริงจังก็ต้นทศวรรษที่
70 นี้เอง เมื่อตลาดซื้อขายหลักทรัพย์นอกตลาด (OVER-THE COUNTER) เป็นที่นิยมของนักลงทุน
ว่ากันว่ากลุ่มธุรกิจที่บุกเบิกธุรกิจนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พอเอ่ยชื่อก็คงรู้จักกันทั่วไป
เช่น พวกร็อคกี้ เฟลเลอร์, วิทนี่ย์ และฟิลิปป์ นั่นเอง
ส่วนในอังกฤษ กลุ่มผู้บุกเบิกก็พวกตระกูลร็อทไชลด์! ผู้รู้บางท่านให้ข้อสังเกตว่า
เหตุที่ธุรกิจนี้ไม่ค่อยจะเติบโตเท่าไรนักในแถบยุโรปก็เพราะพวกประเทศแถบยุโรปมีข้อแตกต่างกันด้านภาษา
กฎหมาย และประเพณีนิยมในเชิงธุรกิจ
แต่อุปสรรคข้อนี้ หลังปี 1992 ไปแล้วไม่แน่เหมือนกัน เพราะยุโรปจะรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
บางทีธุรกิจนี้อาจจะบูมเหมือนกับในสหรัฐซึ่งมียอดเงินลงทุนในธุรกิจต่างๆ
สูงถึง 500,000 ล้านบาทก็ได้
ในเมืองไทยเราธุรกิจนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อกลางปีที่แล้วนี้เอง ผู้บุกเบิกเป็นกลุ่มธนาคารพาณิชย์
6 แห่ง ได้แก่ ไทยพาณิชย์ กสิกรไทย กรุงศรีฯ นครธน ไทยทนุ และเอเชีย โดยมี
USAID ให้ความช่วยเหลือเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ 4% /ปี จำนวน 80 ล้านบาท และที่เหลืออีก
80 ล้านบาท แบงก์พาณิชย์ 6 แห่งที่ว่าเฉลี่ยกันออก
รวมความว่าธุรกิจนี้ตั้งไข่ขึ้นในเมืองไทยด้วยเงินทุน 160 ล้านบาทเป็นครั้งแรกในเมืองไทย
ภายใต้ชื่อบริษัท ธนสถาปนา (BUSINESS VENTURE CAPITAL PROMOTION CO., LTD.)
หรือ "BVP"
นอกจากบริษัทนี้ "ผู้จัดการ" ทราบว่าในอนาคตอันใกล้จะมีอีก 3
บริษัทที่เข้ามาทำธุรกิจนี้อีกคือ บริษัท ไทยร่วมทุนเพื่ออุตสาหกรรมเกษตร
(TAVC) ที่บริหารโดยกลุ่ม VENTANA บริษัทสีวี (ไทย) ที่บริหารโดยกลุ่มสีวี
สิงคโปร์ และบริษัท VENTURE CAPITAL
เฉลียว สุวรรณกิติ กรรมการผู้จัดการธนสถาปนา เล่าให้ "ผู้จัดการ"
ฟังว่า ปรัชญาของธุรกิจเวนเจอร์แคปปิตอลอยู่ที่การเข้าไปร่วมลงทุน (EQUITY
PARTICIPATION) กับนักลงทุนในโครงการต่างๆ ที่มีขนาดไม่เกิน 125 ล้านบาท
และไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท โดยจะเลือกโครงการที่มีอนาคตดีและผลตอบแทนสูง
ตรงนี้ก็มีข้อสังเกตว่าโครงการที่ธุรกิจเวนเจอร์แคปปิตอลจะเข้าไปร่วมลงทุนนั้นขีดวงไว้เป็นโครงการขนาดกลางและเล่าเท่านั้น
ซึ่งโดยธรรมชาติมักจะมีความเสี่ยงสูง ปัญหาก็มีอยู่ว่าโครงการที่ดีมีอนาคตดังว่า
มีวิธีการสืบค้นหรือวิเคราะห์อย่างไรจึงพอจะคาดหมายได้ว่าดีหรือไม่ดี?
ในปุจฉาแรกเฉลียวเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟังว่า เขาใช้วิธีสืบค้นและวิเคราะห์จากเครือข่ายข้อมูล
และตัวบุคคลที่มีอยู่เป็นวิธีการสำคัญมากกว่าจะมุ่งเน้นการวิเคราะห์ประเมินผลได้ในโครงการ
(PROJECT APPRAISAL) ที่แบงก์ชอบใช้
"ตอนที่บริษัทเราจะร่วมลงทุนกับบริษัท THAI CIRCUIT ผลิต PRINTED
CIRCUIT BOARD ผมยังไม่รู้จักสินค้าตัวนี้เลยว่ารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร?
ผมสืบค้นโครงการนี้โดยวิธีไหว้วานให้อาจารย์จากคณะวิศวกรรมศาสตร์จุฬาฯ 3
ท่านมาเป็นที่ปรึกษาให้ความรู้กับผมตั้งแต่เรื่องเทคนิคของสินค้าไปจนถึงลู่ทางการตลาดของสินค้าตัวนี้
จนผมเข้าใจดี เสร็จแล้วก็ปรากฏผลว่าผมตัดสินใจร่วมลงทุน 30% เวลานี้ทราบว่าราคาหุ้นของบริษัทแห่งนี้ได้ถีบตัวขึ้นจาก
100 บาท เป็น 280 บาทแล้วในตลาดซึ่งขายนอกตลาดหลักทรัพย์" เฉลียวยกตัวอย่างให้
"ผู้จัดการ" ฟังถึงวิธีการสืบค้นพิเคราะห์การตัดสินใจร่วมลงทุนของบริษัทธนสถาปนา
ในขณะนี้ บริษัทธนสถาปนามีส่วนร่วมลงทุนในโครงการทั้งหมด 4 โครงการแล้วคือ
โครงการผลิตไข่ผงของบริษัทผลิตภัณฑ์ไข่ผงแปดริ้วในสัดส่วน 5% ของวงเงินทุนจดทะเบียน
40 ล้านบาท โครงการผลิต CIRCUIT BOARD ของบริษัท THAI-CIRCUIT ในสัดส่วนของทุน
30% โครงการผลิตผักผลไม้กระป๋องของบริษัท RIVER KWAI INTERNATIONAL ในสัดส่วน
25% ของทุน โครงการผลิต INTREGATED CIRCUIT ของบริษัท THAI MICRO SYSTEM
TECHNOLOGY ในสัดส่วน 30% ของทุน
เฉลียวย้ำให้ "ผู้จัดการ" ฟังว่า ธุรกิจเวนเจอร์แคปปิตอลเป็นกลไกสำคัญตัวหนึ่งในการสร้างธุรกิจอุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อมให้บังเกิดขึ้นอย่างเข้มแข็งในประเทศ
ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อธุรกิจเกิดขึ้นก็ย่อมต้องมีเถ้าแก่เกิดขึ้นด้วยตามมา โดยบริษัทเวนเจอร์
แคปปิตอลจะไม่เข้าไปเป็นเถ้าแก่ด้วยเพราะ "เป้าหมายการเข้าไปร่วมลงทุนต้องการผลตอบแทนสูงสุดจาก
CAPITAL GAIN ไม่ใช่เข้าไปยึดอำนาจการบริหารหรือทุน"
ทุกวันนี้ธุรกิจเวนเจอร์ แคปปิตอลในเมืองไทยเพิ่งอยู่ในระดับตั้งไข่วงเงินที่ลงทุนร่วมในโครงการมีไม่มากเพียง
30-40 ล้านบาท ซึ่งนับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับธุรกิจเวนเจอร์ แคปปิตอล ในประเทศสหรัฐฯ
หรือแม้แต่ในออสเตรเลีย
ปัญหามีว่า ในอนาคตธุรกิจนี้มีข้อจำกัดที่เป็นอุปสรรคต่อการเติบโตหรือไม่?
มองในปัจจุบันมีอุปสรรคไม่น้อยเลยเพราะ
ข้อจำกัดของธุรกิจนี้ไม่เพียงแค่ในแง่การรับรู้ถึงความสำคัญของมันเท่านั้น
ในหมู่นักลงทุนไทย แต่กินความรวมถึงวัฒนธรรมทางธุรกิจในบ้านเราด้วยที่ยังคงฝังรากลึกอยู่กับรูปแบบของครอบครัว
มากกว่าการเปิดโอกาสให้คนภายนอกเข้ามามีส่วนร่วมลงทุน ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์ที่สำคัญอีกตัวหนึ่งในการเลือกลงทุนของบริษัทเวนเจอร์
แคปปิตอล
ด้วยเหตุนี้การตื่นตัวของนักลงทุนไทยที่จะมาชวนให้บริษัทเวนเจอร์ แคปปิตอลเข้าร่วมลงทุนในโครงการก็ดี
หรือขอคำแนะนำหรือช่วยเหลือโครงการก็ดี จึงเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยเป็นผลนัก
ด้วยข้อจำกัดดังว่า
ตรงนี้เฉลียวยอมรับกับ "ผู้จัดการ" ว่า ส่วนใหญ่นักลงทุนไทยจะนึกถึงความต้องการนี้ถึงแบงก์พาณิชย์ก่อนใครอื่นด้วยความเคยชิน
และเป็นเรื่องที่ยากมากที่จะเปลี่ยนทัศนคตินี้ให้หันมาหาบริษัทเวนเจอร์ แคปปิตอล
แต่เฉลียวก็ยังมีความหวังอยู่ว่า เมื่อตลาดหลักทรัพย์ฯ เติบโตขึ้นอย่างเข้มแข็ง
และบริษัทเวนเจอร์ แคปปิตอลแต่ละแห่งสามารถผนวกหรือร่วมประสานงานการให้บริการธุรกิจ
(CO-BUSINESS) แก่นักลงทุนได้
ตรงจุดนี้ก็เป็นไปได้อย่างมากที่นักลงทุนอาจจะเปลี่ยนทัศนคติการลงทุนจากการที่พึ่งพิงแต่แบงก์พาณิชย์มาใช้ธุรกิจเวนเจอร์
แคปปิตอลมากขึ้นก็ได้
ก็ไม่รู้ว่าอีก 2 ปีข้างหน้าที่ครบกำหนดวาระสัญญาที่เฉลียวอยู่กับธนสถาปนา
เขาจะได้เห็นความหวังนี้เป็นจริงหรือไม่?