Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายสัปดาห์6 เมษายน 2552
ดัชนีไทยไม่ให้ราคาเสื้อแดง แนะเก็บหุ้นที่โตสวน ศก.ได้             
 


   
search resources

Investment
กวี ชูกิจเกษม




โบรกฯย้ำตลาดหุ้นให้น้ำหนักตามตลาดต่างประเทศมากกว่าม็อบเสื้อแดง แนะลงทุนหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน-เติบโตได้สวนกระแสเศรษฐกิจโลก-ใกล้ถึงจุดต่ำสุด แถมท้ายกลยุทธ์ปลอดภัยให้เปิดสถานะ LONG TFEX ที่ต่ำกว่า 400 จุด

กวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)กสิกรไทย ประเมินว่า การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)ที่ทำเนียบรัฐบาลที่ยืดเยื้อเชื่อว่าไม่ใช่ปัจจัยสำคัญส่งผลทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง เว้นแต่จะมีเหตุที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เนื่องจากขณะนี้ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุดคือการปรับตัวขึ้น-ลงของตลาดหุ้นต่างประเทศเสียมากกว่า

นอกจากนั้นเชื่อว่าทางรัฐบาลก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ที่รุนแรง ขณะที่กลุ่มผู้ชุมชนก็ไม่ได้เยอะมาก ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ค่อนข้างวางใจได้มากและคาดหวังว่าคงจะไม่เกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงขึ้น

"ม็อบคงไม่มีผลในด้านลบต่อตลาดหุ้นไทยในขณะนี้มากนัก แต่สิ่งที่จะส่งผลต่อตลาดหุ้นในช่วงนี้ให้ปรับตัวขึ้นหรือลงได้มาจากต่างประเทศล้วนๆ”

ส่วนหุ้นที่คาดว่าน่าจะได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลรวมถึงปีนี้จะมีการเติบโตได้สวนกระแสภาวะเศรษฐกิจโลก เตชธร ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซียพลัส แนะนำให้ลงทุนหุ้นธนาคารกสิกรไทย (KBANK) โดยให้เป้าหมายไว้ที่ 59 บาท ส่วนหุ้น บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (BIGC) ให้เป้าหมายที่ 48 บาท และเป็นหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายรัฐ ขณะที่หุ้น บมจ.บ้านปู(BANPU) มีราคาเป้าหมายที่ 261 บาท เนื่องจากจากความต้องการถ่านหินน่าจะฟื้นตัวในไตรมาส 2 ของปีนี้ได้ และหุ้น บมจ.น้ำตาลขอนแก่น(KSL) ราคาเป้าหมายที่ 8.08 บาท โดยมี BACKLOG จากอินเดียที่อาจจะนำเข้า 5 ล้านตันเป็นปัจจัยสนับสนุน

ด้านการลงทุนในกองทุนรวมแนะให้ลงทุนในกองทุนจีน-อินเดีย โดยแนะนำ TISCO CHAINA INDIA FUND หรือ TICID9ON โดยเป็นกองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นจีน50% และอีก 50% ลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนครั้งแรกหน่วยละ 10 บาท แต่ปัจจุบันปรับตัวลงมาเหลือ 3.90 บาท และคาดว่าไตรมาส 2 จะเป็นช่วงที่ต่ำที่สุดของกองทุนนี้ เนื่องจากตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นไปแล้ว 18% ขณะที่หุ้นอินเดียยังแกว่งตัวอยู่และคาดว่าไตรมาส 3 ตลาดหุ้นอินเดียจะฟื้นตัว

สำหรับอีกกองทุนที่เตชธรแนะให้ซื้อคือกองทุน UOB SMART ASIA FUND หรือ UOBSA9ON ซึ่งเป็น FIF ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศในแถบเอเชีย ที่คาดว่าจะฟื้นตัวเร็วกว่าตลาดหุ้นในยุโรป โดยมองไว้ราคาทางเทคนิคไว้ 6.50 บาท โดยให้แนวรับตั้งไว้ที่ 5 บาท และแนวต้านในระยะสั้นที่ 5.60 บาท

ด้าน วีระชัย ครองสามสีผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ มองว่า ไตรมาส 2 ดัชนีตลาดหลังทรัพย์จะอยู่ในกรอบ 380-445 จุด และหุ้นที่มีความแข็งแกร่งทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจได้ก็คือ หุ้นของ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) โดยให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 95 บาท หุ้น ธนาคารไทยพาณิชย์(SCB) ให้ราคาเป้าหมายที่ 57 บาท และหุ้นบมจ.น้ำประปาไทย (TTW) ให้เป้าหมายที่ 5 บาท ส่วนหุ้นที่ราคาลงมามากและคาดว่าน่าจะถึงจุดต่ำสุดแล้วคือบมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 30.50 บาท หุ้น บมจ.อสมท (MCOT) ให้ราคาเป้าหมายที่ 14 บาท และหุ้น บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) (ESSO) ให้ราคาเป้าหมายที่ 4 บาท

ขณะที่ รณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แอ๊ดคินซัน มองว่าหุ้นจะฟื้นตัวก็ต่อเมื่อแนวโน้มดอกเบี้ยพลิกกลับมา และมองว่าผู้ที่ติดหุ้นอยู่จะต้องดำเนินการแก้ไขพอร์ตเดิมด้วยการตัดทิ้งหุ้นพื้นฐานอ่อน รวมถึงตัดทิ้งหุ้นที่ไม่มีปันผล และเพิ่มพอร์ตใหม่ด้วยการ เลือกหุ้นปันผลรวมถึงเพิ่มหุ้นที่มีอัตราการเติบโตสูง (High Growth) นอกจากนี้แล้วยังควรจะเสริมความปลอดภัยให้กับพอร์ตลงทุนด้วยวิธีการใช้ TFEX ป้องกันความเสี่ยง โดยแนะนำให้เปิดสถานะ LONG TFEX ที่ต่ำกว่า 400 จุด   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us