|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
โบรกฯย้ำตลาดหุ้นให้น้ำหนักตามตลาดต่างประเทศมากกว่าม็อบเสื้อแดง แนะลงทุนหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน-เติบโตได้สวนกระแสเศรษฐกิจโลก-ใกล้ถึงจุดต่ำสุด แถมท้ายกลยุทธ์ปลอดภัยให้เปิดสถานะ LONG TFEX ที่ต่ำกว่า 400 จุด
กวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)กสิกรไทย ประเมินว่า การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)ที่ทำเนียบรัฐบาลที่ยืดเยื้อเชื่อว่าไม่ใช่ปัจจัยสำคัญส่งผลทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง เว้นแต่จะมีเหตุที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เนื่องจากขณะนี้ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุดคือการปรับตัวขึ้น-ลงของตลาดหุ้นต่างประเทศเสียมากกว่า
นอกจากนั้นเชื่อว่าทางรัฐบาลก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ที่รุนแรง ขณะที่กลุ่มผู้ชุมชนก็ไม่ได้เยอะมาก ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ค่อนข้างวางใจได้มากและคาดหวังว่าคงจะไม่เกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงขึ้น
"ม็อบคงไม่มีผลในด้านลบต่อตลาดหุ้นไทยในขณะนี้มากนัก แต่สิ่งที่จะส่งผลต่อตลาดหุ้นในช่วงนี้ให้ปรับตัวขึ้นหรือลงได้มาจากต่างประเทศล้วนๆ”
ส่วนหุ้นที่คาดว่าน่าจะได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลรวมถึงปีนี้จะมีการเติบโตได้สวนกระแสภาวะเศรษฐกิจโลก เตชธร ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซียพลัส แนะนำให้ลงทุนหุ้นธนาคารกสิกรไทย (KBANK) โดยให้เป้าหมายไว้ที่ 59 บาท ส่วนหุ้น บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (BIGC) ให้เป้าหมายที่ 48 บาท และเป็นหุ้นที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายรัฐ ขณะที่หุ้น บมจ.บ้านปู(BANPU) มีราคาเป้าหมายที่ 261 บาท เนื่องจากจากความต้องการถ่านหินน่าจะฟื้นตัวในไตรมาส 2 ของปีนี้ได้ และหุ้น บมจ.น้ำตาลขอนแก่น(KSL) ราคาเป้าหมายที่ 8.08 บาท โดยมี BACKLOG จากอินเดียที่อาจจะนำเข้า 5 ล้านตันเป็นปัจจัยสนับสนุน
ด้านการลงทุนในกองทุนรวมแนะให้ลงทุนในกองทุนจีน-อินเดีย โดยแนะนำ TISCO CHAINA INDIA FUND หรือ TICID9ON โดยเป็นกองทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นจีน50% และอีก 50% ลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนครั้งแรกหน่วยละ 10 บาท แต่ปัจจุบันปรับตัวลงมาเหลือ 3.90 บาท และคาดว่าไตรมาส 2 จะเป็นช่วงที่ต่ำที่สุดของกองทุนนี้ เนื่องจากตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นไปแล้ว 18% ขณะที่หุ้นอินเดียยังแกว่งตัวอยู่และคาดว่าไตรมาส 3 ตลาดหุ้นอินเดียจะฟื้นตัว
สำหรับอีกกองทุนที่เตชธรแนะให้ซื้อคือกองทุน UOB SMART ASIA FUND หรือ UOBSA9ON ซึ่งเป็น FIF ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศในแถบเอเชีย ที่คาดว่าจะฟื้นตัวเร็วกว่าตลาดหุ้นในยุโรป โดยมองไว้ราคาทางเทคนิคไว้ 6.50 บาท โดยให้แนวรับตั้งไว้ที่ 5 บาท และแนวต้านในระยะสั้นที่ 5.60 บาท
ด้าน วีระชัย ครองสามสีผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ มองว่า ไตรมาส 2 ดัชนีตลาดหลังทรัพย์จะอยู่ในกรอบ 380-445 จุด และหุ้นที่มีความแข็งแกร่งทนทานต่อภาวะเศรษฐกิจได้ก็คือ หุ้นของ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) โดยให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 95 บาท หุ้น ธนาคารไทยพาณิชย์(SCB) ให้ราคาเป้าหมายที่ 57 บาท และหุ้นบมจ.น้ำประปาไทย (TTW) ให้เป้าหมายที่ 5 บาท ส่วนหุ้นที่ราคาลงมามากและคาดว่าน่าจะถึงจุดต่ำสุดแล้วคือบมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) ให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 30.50 บาท หุ้น บมจ.อสมท (MCOT) ให้ราคาเป้าหมายที่ 14 บาท และหุ้น บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) (ESSO) ให้ราคาเป้าหมายที่ 4 บาท
ขณะที่ รณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แอ๊ดคินซัน มองว่าหุ้นจะฟื้นตัวก็ต่อเมื่อแนวโน้มดอกเบี้ยพลิกกลับมา และมองว่าผู้ที่ติดหุ้นอยู่จะต้องดำเนินการแก้ไขพอร์ตเดิมด้วยการตัดทิ้งหุ้นพื้นฐานอ่อน รวมถึงตัดทิ้งหุ้นที่ไม่มีปันผล และเพิ่มพอร์ตใหม่ด้วยการ เลือกหุ้นปันผลรวมถึงเพิ่มหุ้นที่มีอัตราการเติบโตสูง (High Growth) นอกจากนี้แล้วยังควรจะเสริมความปลอดภัยให้กับพอร์ตลงทุนด้วยวิธีการใช้ TFEX ป้องกันความเสี่ยง โดยแนะนำให้เปิดสถานะ LONG TFEX ที่ต่ำกว่า 400 จุด
|
|
|
|
|