Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ พฤศจิกายน 2531








 
นิตยสารผู้จัดการ พฤศจิกายน 2531
โรงเรียนเอกชน : แม้จะอยู่ด้วยใจรักแต่ก็ต้องสวมวิญญาณนักบริหารชั้นเซียน             
 


   
search resources

รุ่ง แก้วแดง
Education
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน




ในปีหนึ่งๆ มีระลอกคลื่นการขอปิดตัวเองของโรงเรียนเอกชนอย่างสม่ำเสมอเรื่อยมา เช่น ในปีการศึกษา 2528 ยุบกิจการ 46 แห่ง ปีการศึกษา 2529 ยุบกิจการ 34 แห่งและปีการศึกษา 2530 ยุบกิจการ 70 แห่ง

ถ้าเทียบกับจำนวนโรงเรียนเอกชนทั่วประเทศที่มีอยู่กว่า 4,000 แห่ง อาจจะนับว่าน้อยมากแต่ถ้ามาดูสาเหตุของการปิดตัวเองอาจมีความนัยแฝงอยู่ที่น่าสนใจหลายประการ

บางเสียงประเมินว่า การปิดกิจการของโรงเรียนเอกชนเกิดขึ้นเพราะเสน่ห์เย้ายวนของราคาที่ดินที่พุ่งพรวด ทำให้เจ้าของกิจการตัดสินใจขายที่ดินที่โรงเรียนตั้งอยู่เสียดีกว่า

แต่ในความเป็นจริง การยุบกิจการโรงเรียนเอกชนก็คือปรากฏการณ์แจ่มชัดที่สุดของปัญหาในการดำเนินกิจการด้านนี้ที่สะสมมาเนิ่นนาน อีกทั้งแม้แต่วิธีการมองปัญหาของผู้รับผิดชอบก็อยู่บนพื้นฐานที่แตกต่างกัน

นอกจากนี้ภายใต้กระแสยุบกิจการโรงเรียนเอกชน สิ่งที่ตามมาจนเกือบจะเป็นประเพณีทุกปีคือ เสียงเรียกร้องขอขึ้นราคาค่าเล่าเรียนจากเจ้าของหรือผู้บริหารโรงเรียน

พล.อ. มานะ รัตนโกเศศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเคยกล่าวว่า ตนสนับสนุนให้ขึ้นค่าเล่าเรียน เพราะมองว่าการดำเนินกิจการโรงเรียนเอกชนก็เหมือนกับธุรกิจ ถ้ามีเงินมากคุณภาพก็จะดีตามไปด้วย อีกทั้งถ้าขึ้นค่าเล่าเรียนแพงมากเกินไป ผู้ปกครองก็จะไม่ส่งบุตรหลานเข้าเรียนเอง หันมาพึ่งโรงเรียนรัฐบาลแทน

แต่สำหรับ ดร. รุ่ง แก้วแดง เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาเอกชน (สช.) แล้ว ความเห็นของเขาอาจจะมองไปในอีกแง่มุมหนึ่ง

"จริงๆ แล้ว ธุรกิจโรงเรียนเอกชนเหล่านี้ ถ้าคุณไปถามเขา เขาไม่เรียกธุรกิจหรือถือว่าตัวเองเป็นนักธุรกิจหรอก เพราะเวลาเขาทำงานแล้ว ไม่ว่ายุคใด สมัยใดเขาไม่เคยคิดถึงกำไร ที่เขาทำกิจการนี่มาเพราะส่วนใหญ่เขาเรียนวิชาชีพครูกันมา เขาก็อยากจะสอน อยากจะประกอบวิชาชีพตามที่เขาได้เรียนมา ที่เขาทำเพราะใจรัก" ดร. รุ่งให้ความเห็นจากประสบการณ์ที่ตัวเองได้ไปพบปะกับผู้ประกอบกิจการด้านนี้

มีเรื่องเล่าว่า โรงเรียนบางแห่งบริหารไปบริหารมา จากนักเรียนพันคนเหลือร้อยกว่าคน แต่ก็พยายามกัดฟันสู้ต่อ โดยการเข้าไปซื้อกิจการเปลี่ยนมือกันระหว่างพี่น้องเป็นเงินนับสิบล้านบาท เพียงเพราะว่าอยากให้ชื่อของโรงเรียนคงอยู่ต่อไปเพราะเป็นโรงเรียนที่สร้างมาตั้งแต่สมัยพ่อแม่ หรือโรงเรียนที่เพิ่งเปิดใหม่ลงทุนถึง 14 ล้านบาท แต่วันเปิดมีนักเรียนแค่ 50 คน แต่พวกเขาก็ลงทุนด้วยใจรัก และมั่นใจว่าพอจะถูไถไปได้

ดร. รุ่งให้ความเห็นว่า ถ้าเป็นนักธุรกิจแท้ๆ เขาไม่มาลงทุนเปิดกิจการโรงเรียนอย่างแน่นอน เพราะ หนึ่ง-กิจการโรงเรียนเป็นกิจการที่ทางธนาคารไม่ค่อยเต็มใจจะให้กู้เงินเพื่อลงทุนนัก เพราะในอดีตเคยมีโรงเรียนที่ล้มกิจการแล้วทางธนาคารจะเข้าไปยึด พอเห็นเด็กตาดำๆ ก็ยึดไม่ลง แถมถ้าไปยึดคงถูกด่าและเสียภาพพจน์เป็นแน่แท้ ดังนั้นเวลาที่เจ้าของกิจการโรงเรียนจะกู้ธนาคารก็ต้องเอาที่ดินอีกแปลงมาจำนอง แม้ว่าที่ดินที่โรงเรียนตั้งอยู่และตัวอาคารจะมีมูลค่านับร้อยล้านบาทก็ตาม

สอง-ค่าเล่าเรียน ค่าธรรมเนียมอื่นๆ ที่ทางโรงเรียนจะสามารถเก็บได้นั้น ถูกกำหนดโดยทางรัฐอย่างเข็มงวดและอยู่ในอัตราค่อนข้างต่ำมากเมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายและการลงทุนที่แท้จริง เช่นในโรงเรียนอนุบาลรัฐกำหนดให้เก็บค่าเล่าเรียนได้ไม่เกินคนละ 2,300 บาทต่อปี ทั้งที่ตัวเลขค่าใช้จ่ายที่ทางโรงเรียนอนุบาลของรัฐใช้อยู่คือประมาณ 4,000 บาท

"เรื่องการขึ้นราคาค่าเล่าเรียน มันเป็นเรื่องการเมือง มันก็เหมือนค่ารถเมล์ ค่าสาธารณูปโภคต่างๆ ค่าหน่วยกิตในมหาวิทยาลัย ที่มันไม่ใช่ราคาจริงของมัน แต่คุณก็ต้องตรึงมันไว้เพราะมันเป็นเรื่องของนโยบายของรัฐ" ดร. รุ่งกล่าว

รายได้ทางอื่นที่ทางโรงเรียนพอจะหามาได้คือ ค่ารถรับส่ง ค่าอาหาร ค่าอุปกรณ์ ค่าขายเครื่องแบบ ซึ่งก็ไม่ใช่รายได้ที่มากพอจะไปอุดค่าใช้จ่ายด้านอื่นได้ และทางรัฐเองก็ควบคุมการจัดเก็บรายได้เหล่านี้และกำหนดอัตราต่างๆ อย่างใกล้ชิดเช่นกัน

จากการวิจัยของ สช. ในปี 2523 พบว่า โรงเรียนเอกชนสายสามัญมีรายได้เหลือจ่ายหรือกำไรเพียงปีละประมาณ 3,5000 บาทเท่านั้น ซึ่งแทบจะไม่ต้องคิดไปปรับปรุงหรือพัฒนากิจการอะไรเลย

รายได้เสริมที่สำคัญของโรงเรียนเอกชนคือ การอุดหนุนจากรัฐ และที่สำคัญอีกประการคือ การบริจาคและการอุดหนุนจากภาคเอกชน เช่น สมาคมผู้ปกครองและครู สมาคมศิษย์เก่า สถาบันศาสนา แต่ส่วนใหญ่โรงเรียนที่จะได้รับการอุดหนุนรายได้เหล่านี้มักเป็นโรงเรียนเอกชนขนาดใหญ่ที่เชื่อกันว่ามีมาตรฐานการศึกษาดีเยี่ยม

"โรงเรียนที่ดำเนินกิจการทุกวันนี้ มันมีหลายแห่งที่มันไปไม่รอด มันมีปัญหาเนื่องจากมันถูกควบคุมมากจนเกินไปและมีปัญหาเรื่องการบริหารด้วย เมื่อมีคนมาเสนอซื้อที่ดิน เสนอสร้างคอนโดมิเนียม ศูนย์การค้า และให้ผลตอบแทนสูงกว่ามาก เขาก็เลยต้องจำใจขาย แต่คนที่ตัดสินใจขายมักเป็นคนในรุ่นที่สองหรือสามของตระกูลที่ได้รับมรดกตกทอดมา" ดร. รุ่งให้เหตุผล

นอกจากนี้ปัญหาการบริหารงานโรงเรียนที่ขาดประสิทธิภาพก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่สำคัญมาก โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็กมีเด็กนักเรียนไม่เกิน 400 คน มักบริหารแบบธุรกิจครอบครัว ไม่มีการวางแผนที่ชัดเจน ขาดการบริหารด้านการเงิน ไม่มีการบริหารงานบุคคลโดยเฉพาะครูที่รับมา ก็มักไปจ้างครูในอัตราเงินเดือนต่ำ ขาดความเข้าใจที่ว่า ครูคือทรัพยากรที่สำคัญและสำคัญอย่างไร

อีกประการหนึ่งคือ ปัญหา ACADEMIC MANAGEMENT หรือการบริหารงานวิชาการ ที่ผู้บริหารมักไม่เข้าใจถึงเนื้อหาหลักสูตรการเรียนการสอนอย่างแท้จริง จัดตารางสอน อย่างไรจึงจะเหมาะและสามารถพัฒนาเด็กไปได้อย่างถูกต้องและสอดคล้องกลมกลืนกับการจัดการด้านต่างๆ

"ผู้เปิดกิจการโรงเรียนใหม่ๆ มักจะคิดว่า ทำกิจการนี้ง่าย เปิดขึ้นมามีเด็กเรียนก็พอแล้ว และมักไม่ลงมาบริหารเอง จ้างคนอื่นมาบริหารซึ่งบางทีก็ขาดการดูแลเอาใจใส่อย่างจริงจัง" ผู้รู้อีกท่านในวงการศึกษาเล่าให้ฟัง

ซึ่งทั้งหมดนี้ต่างกับโรงเรียนของคาทอลิกหรือโปรตัสแตนท์ที่มีประวัติยาวนาน มีระบบการจัดการ มีการวางแผน ส่งคนไปศึกษา ดูงาน อบรมและมีการพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ทำให้โรงเรียนเอกชนเหล่านี้เติบกล้าขาแข็ง ผิดจากกโรงเรียนเอกชนขนาดเล็ก จนเห็นได้ชัดถึงช่องว่างและความสามารถในการบริหารโรงเรียน

ช่องว่างตรงนี้เองที่ สช. พยายามเข้าไปอุด โดยการจัดโครงการฝึกอบรมผู้บริหาร โรงเรียนเอกชน เป็นการอบรมเจ้าของ ผู้จัดการ และครูใหญ่ อบรมตั้งแต่เรื่องการบริหารงานวิชาการแนวคิดในการบริหาร ความรู้ทางพฤติกรรมศาสตร์ บริหารศาสตร์ พัฒนาศึกษาศาสตร์และกิจกรรมเสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย เป็นต้น

"เรามีการจัดอบรม สัมมนา เราเชิญผู้บริหารโรงเรียนที่ประสบความสำเร็จมาแลกเปลี่ยนกันตลอดปี ก็เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จค่อนข้างมาก ปีงบประมาณนี้ก็จะจัดอบรมผู้บริหารอีก 32 รุ่น แต่ละรุ่นมีผู้สนใจเข้าอบรมมากๆ" ดร. รุ่งกล่าวทิ้งท้ายอย่างมีอนาคต

เฉกเช่นธุรกิจอื่นๆ การเริ่มต้นด้วยใจรักและอยู่ด้วยความหวังย่อมเท่ากับประสบความสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือคือเรื่องการบริหารซึ่งออกจะสาหัสสากรรจ์เสียกว่าแต่ก็ต้องไขว่คว้าหามันมาให้ได้

เพราะอย่างไรเสีย อนาคตของโรงเรียนเอกชนก็คืออนาคตของเด็กตาดำๆ จำนวนไม่ใช่น้อยทีเดียว !

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us