Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กุมภาพันธ์ 2531








 
นิตยสารผู้จัดการ กุมภาพันธ์ 2531
ญี่ปุ่นล้วงตับสหรัฐฯ และวันนี้กำลังจะนำหน้าในด้านเทคโนโลยี             
 


   
search resources

International
United States
Japan




ในขณะที่หัวข้อการเจรจาระดับรัฐบาลระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐฯ ยังหนีไม่พ้นปัญหาดุลการค้าระหว่างสองประเทศ ปัญหาเทคโนโลยีก็กำลังทวีความสำคัญขึ้นเป็นประเด็นหลักบนโต๊ะเจรจา นักการทูตชั้นนำจากตะวันตกผู้หนึ่งกล่าวว่า ในอนาคตการเจรจาทางการค้าของสองประเทศจะเกี่ยวข้องกับเรื่องเทคโนโลยีชั้นสูงมากขึ้น ความจริงแล้วความขัดแย้งหลายๆ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ มีปัญหาเกี่ยวกับเทคโนโลยีเป็นมูลฐาน ไม่ว่าจะเป็นการแซงก์ชั่นสินค้าเครื่องไฟฟ้าจากญี่ปุ่นเพื่อตอบโต้กับการที่ญี่ปุ่นทุ่มไมโครชิบเข้าตลาดสหรัฐฯ การที่โตชิบาขายเครื่องมือจักรกลให้กับรัสเซียซึ่งสหรัฐฯ หาว่าเป็นการขายที่ผิดกฎหมาย การเรียกร้องให้ญี่ปุ่นเปิดตลาดให้กับเครื่องซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ของสหรัฐฯ และความพยายามของทางการญี่ปุ่นที่จะจำกัดการแข่งขันจากต่างประเทศในสินค้าประเภทเครื่องโทรคมนาคม

"การกีดกัน" ที่เคยจำกัดอยู่แค่การกีดกันทางการค้าได้ขยายขอบเขตไปถึงเรื่องเทคโนโลยีด้วยทั้งนี้เพราะญี่ปุ่นในทุกวันนี้ได้ก้าวพ้นจากความเป็น "จอมก๊อปปี้" ไปสู่ความเป็นชาติที่มีความเจริญทางเทคโนโลยีทัดเทียมกับสหรัฐอเมริกา จากรายงานที่รัฐบาลสหรัฐฯ ให้เงินสนับสนุนจัดทำตั้งแต่ปี 1984 ได้เตือนว่า ญี่ปุ่นมีพัฒนาการที่อยู่ในระดับเดียวกันหรืออาจจะล้ำหน้าสหรัฐฯ ไปแล้วในอุตสาหกรรมแผงวงจรไฟฟ้า ใยแก้ว (FIBER OPTICS), วิศวกรรมคอมพิวเตอร์และวัสดุพิเศษจำพวกโพลิเมอร์ ในสาขาเทคโนโลยีชีวภาพก็กำลังก้าวตามสหรัฐฯ อย่างกระชั้นชิด ส่วนที่ยังล้าหลังสหรัฐฯ อยู่มาก็คือ ซอฟท์แวร์คอมพิวเตอร์

ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของญี่ปุ่น ส่วนหนึ่งเป็นผลงานจากมันสมองของนักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์อเมริกัน โดยที่ญี่ปุ่นนำงานวิจัยพื้นฐานของสหรัฐฯ ไปพัฒนาต่อเทคโนโลยีในการผลิตสินค้าออกมาแข่งกับสหรัฐฯ เจ้าหน้าที่ของสภาคองเกรสผู้หนึ่งซึ่งตั้งคำถามต่อกรณีนี้ว่า "ญี่ปุ่นกำลังหยิบฉวยเอาผลงานจากมันสมองเขาเราไปใช้ประโยชน์หรือเปล่า" ซึ่งคำตอบก็คือใช่และญี่ปุ่นก็ทำได้ดีและทำอย่างถูกต้องตามกฎหมายเสียด้วย ปัญหาก็คือ เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเกิดการแลกเปลี่ยนการใช้เทคโนโลยีของกันและกันอย่างเท่าเทียม แทนที่สหรัฐฯ จะต้องตกเป็นฝ่ายถูกกระทำแต่เพียงอย่างเดียว

บริษัทของสหรัฐฯ เองก็เริ่มตระหนักว่าทรัพย์สินทางปัญญาที่เกิดจากสมองของตนนั้นเป็นอาวุธสำคัญที่จะแข่งขันด้านการค้ากับญี่ปุ่น รวมทั้งเกาหลีใต้ ไต้หวันและบราซิล ซึ่งประเทศเหล่านี้ได้เปรียบในด้านต้นทุนการผลิตและค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่า บริษัทเหล่านี้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเห็นว่าการลอกเลียนแบบของญี่ปุ่นเพียงแต่ทำให้เกิดความรู้สึกหงุดหงิดเท่านั้น มาบัดนี้กำลังหันมาปกป้องความรู้ที่ตนได้มาด้วยความยากลำบากอย่างจริงจัง ดังกรณีที่ได้เกิดขึ้นแล้วต่อไปนี้

กรณีระหว่าง CORNING GLASS กับ SUMITOMO ELECTRIC, CORNING GLASS กล่าวหาว่า SUMITOMO ELECTRIC ขโมยสิทธิบัตรของตนที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีการผลิตสายเคเบิ้ลใยแก้ว ซึ่งเป็นการค้นพบที่เป็นหัวใจของการพัฒนาระบบโทรคมนาคมอเนกประสงค์ที่มีประสิทธิภาพสูง SUMITOMO ELECTRIC ได้เพิ่มสารบางอย่างลงไปในใยแก้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการนำพาแสงศาลได้ตัดสินว่า SUMITOMO ELECTRIC ผิดจริงโรงงานของ SUMITOMO ELECTRIC ที่ นอร์ธคาโรไลน่า ต้องหยุดผลิตเส้นใยแบบที่ว่านี้

กรณีระหว่าง HONEY WELL กับ MINOLTA เมื่อ 5 ปีก่อน HONEY WELL ได้สาธิตระบบโฟกัสอัตโนมัติของตนแก่บริษัทผู้ผลิตกล้องถ่ายรูปหลายแห่งของญี่ปุ่น และได้รับอนุญาตให้บางบริษัทใช้ระบบนี้ของตนได้ MINOLTA ซึ่งเป็นผู้ผลิตกล้องแบบ 35 มม. ที่ใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของญี่ปุ่น ได้ร่วมในการสาธิตครั้งนั้นด้วย แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ระบบนี้ แต่แล้วกล้อง MAXXUM และ ALPHA ของ MINOLTA กลับนำระบบนี้ไปใช้และกลายเป็นของ MINOLTA กลับนำระบบนี้ไปใช้และกลายเป็นกล้องที่ขายดีไปทั่วโลกภายในเวลาเพียงสองปีกอบกู้ฐานะที่ย่ำแย่ของบริษัทให้ฟื้นคืนมาได้ HONEYWELL ไม่ได้กล่าวหา MINOLTA ว่าขโมยเทคโนโลยีของตน แต่อ้างว่าสิทธิบัตรของตนนั้นครอบคลุมถึงแนวความคิดเกี่ยวกับระบบโฟกัสอัตโนมัติด้วย MINOLTA ต้องขออนุญาตให้ถูกต้องเสียก่อน กรณีนี้ยังไม่มีการชี้ขาด

กรณีระหว่าง IBM กับ FUJITSU เรื่องนี้เริ่มขึ้นในปี 1982 เมื่อ IBM กล่าวหา FUJITSU ว่าลอกซอฟท์แวร์ของตนที่ใช้ควบคุมการทำงานของเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ของ IBM การเจรจาขั้นต้นของทั้งฝ่ายล้มเหลว ทั้งสองฝ่ายจึงนำเรื่องไปให้คณะอนุญาโตตุลาการของสหรัฐฯ ตัดสิน คณะอนุญาโตตุลาการชี้ขาดให้ FUJITSU สามารถใช้ OPERATING SYSTEM SOFTWARE ของ IBM ได้เป็นเวลา 5 ถึง 10 ปีภายใต้การควบคุมอย่างใกล้ชิดและ IBM ได้เป็นเวลาถึง 5 ถึง 10 ปีภายใต้การควบคุมอย่างใกล้ชิดและ IBM มีสิทธิตรวจสอบซอฟท์แวร์ของ FUJITSU เพื่อดูว่ามีการละเมิดข้อตกลงหรือไม่ คำชี้ขาดนี้ทำให้ IBM เสียเปรียบเพราะต้องเปิดเผยความลับทางการค้าของตนให้กับ FUJITSU

การที่ญี่ปุ่นต้องอาศัยงานวิจัยขั้นพื้นฐานของนักวิจัยสหรัฐฯ ก็เพราะในวงการอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นขาดแคลนงานวิจัยลักษณะนี้ SUSUMUTONEGAWA นักวิจัยญี่ปุ่นที่ทำงานกับ MIT และเป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ปี 1987 ก็ได้พูดถึงจุดอ่อนของญี่ปุ่นในเรื่องนี้ เขากล่าวว่าแนวความคิดแบบวิทยาศาสตร์เป็นผลิตผลของชาติตะวันตก วัฒนธรรมญี่ปุ่นเป็นอุปสรรคสำคัญของความคิดสร้างสรรค์ วิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์เกิดจากลัทธิปัจเจกชนนิยม ในสังคมญี่ปุ่นเองไม่ได้ให้คุณค่าแก่ความเป็นปัจเจกชน คนญี่ป่นเป็นเลิศในงานวิทยาศาสตร์ประยุกต์ที่มีหัวใจของความสำเร็จอยู่ที่การทำงานเป็นทีม งานวิจัยพื้นฐานต้องใช้การลงทุนสูงและกินเวลานาน "ญี่ปุ่นใช้วิธีซื้อสิทธิบัตรมากกว่าการพัฒนาเทคโนโลยีด้วยตนเอง" TONEGAWA กล่าว

"พวกเขาซื้อสิทธิบัตรมาแล้วปรับปรุงใหม่สังเคราะห์สิ่งใหม่ขึ้นแล้วก็ขายมันออกไปเพื่อนำเงินไปซื้อสิทธิบัตรตัวอื่นๆ มาพัฒนาเพิ่มเติมอีก"

จากรายงานของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ปี 1986 ญี่ปุ่นจ่ายเงินค่าสิทธิบัตรและค่าธรรมเนียมแก่บริษัทของสหรัฐฯ เป็นจำนวน 697 ล้านบาทเพิ่มจาก 549 ล้านเหรียญในปี 1984

จากรายงานของ NATIONAL SCIENCE FOUNDATION มีชาวญี่ปุ่นประมาณ 13,000 คนที่กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยของสหรัฐฯ ในขณะที่จำนวยนักศึกษาอเมริกันในมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นมีเพียง 800 คนเท่านั้น ในปี 1985 มีชาวญี่ปุ่น 95 คนที่ได้รับปริญญาเอกในสาขาวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์จากสถาบันของสหรัฐฯ ที่ NATIONAL INSTITUTES OF HEALTH ในรัฐแมรี่แลนด์ นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นเป็นนักวิทยาศาตร์ต่างชาติกลุ่มใหญ่ที่สุที่ทำงานอยู่ที่นี่คือมีจำนวนมากกว่า 300 คน เปรียบเทียบกับจำนวนนักวิจัยต่างชาติกลุ่มใหญ่ที่สุดที่ทำงานอยู่ที่ NATIONAL LABORATORY FOR HIGH EMERGY PHYSICS ของญี่ปุ่นมีประมาณ 35 คนเท่านั้น บริษัทใหญ่ๆ ของญี่ปุ่นให้ทุนการศึกษาและการวิจัยในระดับศาสตาจารย์ที่ MIT จำนวน 14 ทุน และกำลังหว่านเงินบริจาคไปตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วสหรัฐฯ จากการสำรวจของ NATIONAL SCIENCE FOUNDATION เงินช่วยเหลือเหล่านี้เพิ่มขึ้นจาก 3.7 ล้านเหรียญในปี 1983 เป็น 9 ล้านเหรียญในปี 1985

ในระบบการจ้างงานของญี่ปุ่น บริษัทจะรับสมัครพนักงงานตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษาอยู่ แล้วทำการฝึกอบรมตามวิธีการของตนเอง นักวิจัยญี่ปุ่นส่วนใหญ่ที่ถูกส่งตัวไปที่สหรัฐฯ จึงมีฐานะเป็นพนักงานของบริษัทไม่ใช่นักวิชาการ ทำให้บริษัทสหรัฐฯที่นักวิจัยพวกนี้ไปทำงานอยู่ด้วยกลัวว่าพวกนี้จะนำเอาเทคโนโลยีกลับไปญี่ปุ่นด้วยและใช้ในการผลิตสินค้าออกมาแข่งกับสินค้าของตน ฝ่ายญี่ปุ่นเองคัดค้านความเห็นเช่นนี้ MICHIYUKI UENOHARA ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ NEC ยืนยันว่า เขาไม่ได้ส่งคนพวกนี้ไปเพื่อเอาเทคโนโลยีกลับมา แต่เพื่อพัฒนาสายสัมพันธ์ระหว่างประเทศและเสริมสร้างทักษะในการแก้ปัญหาของคนพวกนี้ UENOHARA ซึ่งได้รับปริญญาเอกทางวิศวกรรมจากโอไฮโอ ทำงานอยู่ที่ BELL LABS ของ AT&T นักวิทยาศาสตร์อเมริกันเองก็เห็นด้วยว่านักวิจัยญี่ปุ่นได้สร้างผลงานชั้นเลิศ R.M. LATANISON ศาสตราจารย์ทางด้านสสารวิทยาของ MIT กล่าวว่านักวิจัยญี่ปุ่นที่ทำงานอยู่กับเขานั้น "ทำงานหนักและมีผลงานที่ดีเยี่ยม" สิ่งที่แตกต่างจากนักวิจัยที่มาจากประเทศกำลังพัฒนาคือ นักวิจัยญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเดินทางกลับบ้านภายหลังจบการศึกษาหรือทำงานเสร็จพร้อมทั้งนำเอาความรู้ใหม่ๆ กลับไปด้วย

อีกวิธีหนึ่งในการหยิบฉวยเอาผลงานจากสมองของนักวิจัยอเมริกันไปใช้คือ ญี่ปุ่นออกเงินแล้วให้อเมริกันเป็นคนคิด การลงทุนในงานวิจัยและพัฒนา (RESEARCH AND DEVELOPMENT) ของบริษัทใหญ่ๆ ของญี่ปุ่น เกือบ 50% เป็นการลงทุนในต่างประเทศโดยเฉพาะในสหรัฐฯ ญี่ปุ่นมีความสนใจบริษัทเล็กๆ ที่มีความคิดในการสร้างสิ่งใหม่ MARK RADTHE รองประธานของ VENTURE ECONOMICS ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจในแมสซาซูเสท กล่าวว่า ในระหว่างปี 1980-1982 ญี่ปุ่นใช้เงิน 2-3 ล้านเหรียญลงทุนกับบริษัทเหล่านี้จนถึงปี 1986 ตัวเลขการลงทุนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 200 ล้านเหรียญต่อปี ในความเห็นของ RADTHE บริษัทพวกนี้เป็นบริษัทเกิดใหม่ที่ขาดแคลนเงินทุนการลงทุนของญี่ปุ่นจะทำให้พวกนี้เข้าไปแข่งขันในตลาดแถบเอเชียได้ แต่ในขณะเดียวกันญี่ปุ่นก็จะได้เทคโนโลยีใหม่ๆ โดยไม่ต้องใช้เวลามากนักเป็นการตอบแทน

ความก้าวหน้าของญี่ปุ่นสามารถวัดได้จากจำนวนสิทธิบัตรของญี่ปุ่นที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ ในปี 1986 สำนักงานสิทธิบัตรของสหรัฐฯ ได้รับจดทะเบียนสิทธิบัตรของญี่ปุ่นจำนวน 14,000 สิทธิบัตร เทียบกับสิทธิบัตรของสหรัฐฯ เอง 38,000 สิทธิบัตร และเชื่อกันว่า มีชาวญี่ปุ่นหลายๆ คนที่ได้จดทะเบียนสิทธิบัตรเกี่ยวกับ SUPERCONDUCTIVITY ในบ้านของตัวเอง ซึ่งบริษัทของสหรัฐฯหาว่าการกระทำเช่นนี้เป็นความพยายามที่จะยึดครองตลาด SUPERCONDUCTER ไว้ในมือของญี่ปุ่นแต่เพียงผู้เดียว RISABURO NEGU นักวางแผนทางด้านเทคโนโลยีพื้นฐานของ MITI กล่าวว่าอาจจะเป็นการป้องกันตัวเองของญี่ปุ่นในกรณีที่ใครบางคนในสหรัฐฯ อาจจะอ้างสิทธิในสิทธิบัตรพื้นฐานเพื่อกันผู้อื่นออกไป เหมือนที่ CORNING ได้ทำในเรื่อง FIBER OPTICS แต่ GERHARD PARHER ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาเทคโนโลยีของ INTEL ซึ่งเป็นผู้ผลิต CHIP ในแคลิฟอร์เนียมีความเห็นว่า สิทธิบัตรของญี่ปุ่นจะส่งผลในอนาคตเมื่อสิทธิบัตรของสหรัฐฯ หมดอายุลง แต่สิทธิบัตรที่ใหม่กว่าของญี่ปุ่นยังมีผลบังคับอยู่ สหรัฐฯ จะต้องเป็นฝ่ายจ่ายค่าธรรมเนียมให้ญี่ปุ่นในอัตราที่สูงขึ้น

ดูเหมือนว่าญี่ปุ่นได้ก้าวมาถึงจุดที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ อีกต่อไป อาจจะเป็นเพราะว่าญี่ปุ่นได้สิ่งที่ดีที่สุดไปไว้ในมือของตนแล้วก็ได้ GENYA CHIBA ผู้อำนวยการของ JAPAN'S EXPLORATORY RESEARCH FOR ADVANCED TECHNOLOGY PROGRAM โอ่ว่า "เมื่อญี่ปุ่นมีความสามารถในการแข่งขันมากขึ้นก็เป็นการยากที่จะหาเทคโนโลยีที่ดีกว่าจากที่อื่นได้" เพื่อเป็นการส่งเสริมงานวิจัยพื้นฐานรัฐบาลญี่ปุ่นได้อัดฉีดเงินให้กับห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่เกิดขึ้นใหม่ และกระตุ้นให้บริษัทเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมด้วย BUN-ICHI OGUCHI ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและพัฒนาของ FUJITSU กล่าวว่า FUJITSU ได้ใช้เงิน 1 ใน 3 ของงบประมาณการวิจัยไปในงานที่เกี่ยวกับการวิจัยขั้นพื้นฐาน ตั้งแต่ปี 1985 NIPPON TELEGRAPH & TELEPHONE ยักษ์ใหญ่ทางด้านโทรคมนาคมได้เพิ่มจำนวนห้องทดลองจากเดิม 4 แห่งเป็น 11 แห่ง

ย้อนกลับไปที่คำถามของเจ้าหน้าที่สภาคองเกรสถึงความเป็นไปได้ ที่จะมีการแลกเปลี่ยนการใช้เทคโนโลยีของกันและกันอย่างเสมอภาค ย่อมเป็นสิ่งแสดงถึงความกังวลว่า สหรัฐฯจะมีโอกาสใช้วิทยาการความรู้ใหม่ๆ ของญี่ปุ่นได้หรือไม่ และก็เป็นการยอมรับต่อความเป็นคู่แข่งใหม่ในทางวิทยาศาสตร์ของญี่ปุ่น ไม่ใช่เรื่องง่ายที่สหรัฐฯ จะใช้เทคโนโลยีที่ญี่ปุ่นคิดค้นขึ้น เหตุผลหนึ่งก็คือ งานวิจัยพื้นฐานส่วนใหญ่ของสหรัฐฯ นั้น กระทำโดยมหาวิทยาลัยหรือหน่วยงานของรัฐบาล ผลงานวิจัยจึงเป็นของสาธารณชน แต่ในญี่ปุ่นงานวิจัยส่วนใหญ่เป็นของบริษัทเอกชนผลงานจึงเป็นสมบัติส่วนตัวของบริษัทเหล่านั้น AARON GELLLMAN ประธานของบริษัทที่ปรึกษาธุรกิจแห่งหนึ่งแสดงความเห็นว่าเป็นความบกพร่องของสหรัฐฯ เองด้วยที่ไม่ได้ตั้งเงื่อนไขขอใช้เทคโนโลยีที่ญี่ปุ่นได้พัฒนาขึ้นจากเทคโนโลยีที่ซื้อไปจากสหรัฐฯในครั้งแรก "เราทนงตัวและเชื่อว่าไม่มีใครจะปรับปรุงเทคโนโลยีของเราได้" GALLMAN กล่าว

นักวิทยาศาสตร์และบริษัทของสหรัฐฯ เองก็เป็นฝ่ายที่ปล่อยให้โอกาสที่จะใช้ความรู้ของญี่ปุ่นเทคโนโลยีของญี่ปุ่นหลุดลอยไป "ปัญหาของเราคือการขาดความกระตือรือร้น" เป็นความเห็นของ MARTIN ANDERSON นักวิเคราะห์ของ MAC GROUP บริษัทที่ปรึกษาใน MASSACHUSETTS เขาบ่นว่าเอกสาราทางเทคนิคของญี่ปุ่นที่แปลเป็นภาษาอังกฤษมีน้อยเกินไป และนักวิทยาศาสตร์อเมริกันก็ไม่ค่อยเดินทางไปต่างประเทศด้วย ANDERSON กล่าวว่า "คุณจำเป็นต้องออกไปพบเห็นสิ่งใหม่ๆ อยู่อย่างสม่ำเสมอเพื่อที่จะได้เกิดความคิดใหม่ๆ ขึ้น"

จากการสำรวจของ NATIONAL SCIENCE FOUNDATION มีบริษัทญี่ปุ่นที่มีขนาดใหญ่จำนวนประมาณครึ่งหนึ่ง ที่ยินดีจะรับนักวิทยาศาสตร์อเมริกันเข้าทำงานในห้องทดลองของตนมากกว่าที่ทาง NATIONAL SCIENCE FOUNDATION คาดไว้เสียอีก แต่มีผู้ที่สมัครไปน้อยมาก สาเหตุก็คือปัญหาด้านภาษาและความเชื่อว่าไม่มีสิ่งที่จะให้เรียนรู้มากนักในญี่ปุ่น RICHARD J.SAMUELS ผู้อำนวยการของ MIT-JAPAN SCIENCE AND TECHNOLOGY PROGRAM พูดถึงเพื่อนร่วมชาติของตนว่า "คนอเมริกันกลายเป็นคนที่ค่อนข้างคับแคบ พวกเขาไม่อ่านนิตยสารต่างประเทศ และไม่รู้ภาษาต่างประเทศสักภาษาเดียว" MIT และมหาวิทยาลัยอีกเพียงไม่กี่แห่งได้เริ่มโครงการภาษาญี่ปุ่นสำหรับนักวิทยาศาสตร์และวิศวกร มีการแปลสิ่งตีพิมพ์ทางวิทยาศาสตร์ของญี่ปุ่นและใส่เข้าไปในระบบฐานข้อมูลของสหรัฐฯมากขึ้น

ญี่ปุ่นกำลังพยายามปรับบทบาทของตัวเองในฐานะผู้นำใหม่ทางวิทยาศาสตร์ "เรายอมรับว่าชาวต่างชาติยังไม่มีโอกาสมาใช้เครื่องไม้เครื่องมือและสิ่งอำนวยความสะดวกทางด้านวิทยาศาสตร์ของเรา" CHIBA กล่าว แต่เขาเชื่อว่า กำลังมีความคิดเห็นพ้องต้องกันว่ารัฐบาลและห้องทดลองของบริษัทเพราะ "เรายังไม่เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นที่ที่นักวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ จะได้พิสูจน์ตัวเอง"

ในขณะที่ญี่ปุ่นกำลังเปิดตัวเองให้มากขึ้น บริษัทของสหรัฐก็กำลังปกป้องเทคโนโลยีของตนมากขึ้นโดยให้ความสนใจและติดตามการละเมิดสิทธิบัตรอย่างจริงจัง รวมทั้งมีความระมัดระวังมากขึ้นในการร่วมกิจการและการอนุญาตให้บริษัทต่างชาติใช้เทคโนโลยีของตน

WHILLIAM NORRIS ประธานกิตติมศักดิ์ของ CONTROL DATA เตือนว่าการแลกเปลี่ยนการใช้เทคโนโลยีอย่างทัดเทียมกันต้องอาศัยความร่วมมือกันทั้งสองฝ่ายและความอดทน เขากล่าวว่า "อาจจะต้องใช้เวลาถึง 10 ปีที่เราจะไปถึงจุดที่ต้องการ ขอให้เราหันหน้ามาหามันและลงมือทำ ก่อนที่ทุกอย่างจะอยู่เหนือการควบคุม"

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us