นานนับศตวรรษแล้วที่นครวาติกันได้สั่งสมบารมีเรื่อยมา ถ้าดูกันแต่ภายนอกก็ออกจะภูมิฐานสมฐานะสถาบันอันยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ตำแหน่งผู้นำแห่งศาสนจักรโรมันคาทอลิกดูช่างเป็นสัญลักษณ์อันสง่างามอย่างที่หาที่เปรียบมิได้ทีเดียว
เมื่อพินิจไปถึงวิหารเซนต์ปีเตอร์ที่วิจิตรตระการตาตลอดจนขุมทรัพย์งานศิลปะซึ่งไม่อาจประเมินค่าได้ในโลกปัจจุบันที่ถูกโน้มนำไปในทางวัตถุนิยมอย่างนี้
ศาสนจักรโรมันคาทอลิกทำหน้าที่เป็นหลักทางศีลธรรม บทบาทนี้มิได้เป็นที่ยอมรับเพียงเฉพาะในหมู่ผู้ศรัทธาเลื่อมใสจำนวน
840 ล้านคนในดินแดนหลากหลายไม่ว่าจะเป็นฮินดู มุสลิม หรือกระทั่งแผ่นดินคอมมิวนิสต์
หากยังส่งอิทธิพลกระทบไปถึงบรรดาผู้ที่ไม่ใช่ศาสนิกชนชาวคาทอลิกด้วย สันตะปาปา
จอห์น ปอล ที่ 2 ซึ่งสืบทอดตำแหน่งต่อจากนักบุญปีเตอร์มาเป็นลำดับที่ 263
และเป็นผู้ทรงความสามารถพิเศษได้ทรงเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับสินทรัพย์ในศาสนจักรที่ปกครองอยู่อย่างแจ่มแจ้งราวกับกษัตริย์แห่งอาณาจักรทางโลกกระทำกัน
ภายหลังรอดพ้นจากการรุกรานของพวกอนารยชนฝ่าอุปสรรคขวากหนามนานาประการ ตลอดจนการแตกแยกกันเป็นบางครั้งบางคราวมาได้แล้ว
ศาสนจักรแห่งองค์สันตะปาปากำลังเผชิญกับปัญหาของยุคสมัยปัจจุบัน นั่นคือภาวะความตึงเครียดทางการเงินอย่างรุนแรง
รายจ่ายของนครวาติกันทวีขึ้นจนท่วมท้นรายรับ เงินที่นำมาใช้จ่ายชักจะพัวพันไปเบียดบังเงินบริจาคเพื่อการกุศล
ซึ่งแต่ก่อนเคยกันไว้สำหรับคนยากจนโดยตรง เรื่องอื้อฉาวที่กล่าวขวัญกันทำให้ศาสนจักรโรมันคาทอลิกมัวหมองไปกลายเป็นการสุ่มเสี่ยงที่จะจัดตั้งกองทุนขึ้นมาอุดหนุน
จอห์น คาร์ดินัล ครอล แห่งฟิลาเดลเฟียผู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการฟื้นฐานะของนครวาติกันกล่าวว่
"เป็นวิกฤติการณ์จริงๆ เมื่อไรที่รายรับเกิดไม่พอกับรายจ่ายขึ้นมา มันก็ต้องมีปัญหาแน่ๆ
อยู่แล้ว"
แม้จะดูภาคภูมิเพียงใดนครวาติกันก็ตกอยู่สภาพเกือบจะย่ำแย่ เมื่อปีก่อนทางสำนักสันตะปาปาซึ่งถือว่าป็นศูนย์กลางของฝ่ายบริหารแห่งศาสนจักร
และเป็นหลักยึดเหนี่ยวทางใจของบรรดาศาสนิกชน มีรายได้ 57.3 ล้านดอลลาร์จากหลายแหล่งที่มา
อาทิจากค่าธรรมเนียมในการประกอบศาสนพิธีรายได้จากสิ่งพิมพ์ จากโฆษณาที่ลงหนังสือพิมพ์
จากการขายม้วนเทปวิดีโอ รวมทั้งจากการลงทุนที่ให้ดอกผลคืนมา 18 ล้านดอลลาร์นครวาติกันคุมแหล่งเงินทุนได้น้อยกว่ามหาวิทยาลัยบางแห่งในสหรัฐอเมริกาเสียอีก
ถึงแม้จะใช้เงินลงทุนไปมากมายถึง 500 ล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตามสำนักสันตะปาปากลับใช้จ่ายสิ้นเปลืองเกือบเป็นสองเท่าของรายได้คือประมาณ
114 ล้านดอลลาร์ ราวครึ่งหนึ่งของเงินที่นำมาจ่ายเกินดุลไปก็คือ "เงินเศษของเซนต์ปีเตอร์"
(PETER'S PENCE) ซึ่งหมายถึงเงินส่วนที่เรี่ยไรสะสมเพื่อถวายแด่องค์สันตะปาปาเป็นประจำทุกปี
โดยรวบรวมจากวัดประจำตำบลทั่วโลก รวมทั้งเงินที่ผู้มีจิตศรัทธาถวายโดยตรงต่อสันตะปาปาด้วย
เมื่อก่อนนี้เงินเศษของเซนต์ปีเตอร์จะเอาไว้ใช้แต่ในกิจการการกุศลและงานเผยแพร่ศาสนาเท่านั้น
แต่เพื่อดุลรายจ่ายทางวาติกันจึงนำเงินเศษของเซนต์ปีเตอร์ที่ยกยอดมาจากปี่ก่อนๆ
ผสมผเสเป็นเงินงบประมาณสำรอง จากจำนวนเกือบ ล้านดอลลาร์ที่เริ่มใช้กันมาตั้งแต่ปี
ค.ศ. 1984 เงินสำรองก้อนนี้ก็เกือบจะเกลี้ยงเสียแล้ว ศาสนจักรกลับนำเงินบริจาคที่มีจุดประสงค์เพื่อเป็นการกุศลแก่คนจนมาใช้เช่าเครื่องคอมพิวเตอร์และใช้จ่ายเป็นค่าจ้างแรงงานในการดำเนินกิจการศาสนาจักรเอง
เจอรัลด์ เอมเม็ตต์ คาร์ดินัล คาร์เตอร์ แห่งโตรอนโตให้ความเห็นว่า "องค์สันตะปาปาไม่ควรจะต้องสิ้นเปลืองเงินส่วนพระองค์มารักษาดุลงบประมาณเลย"
การณ์กลับเลวร้ายลงไปอีกเมื่อแหล่งรายได้หลักที่สำนักสันตะปาปาใช้อุดรูรั่วทางการเงินอยู่
- คือเงินเศษของเซนต์ปีเตอร์ - ต้องประสบกับกระแสค่าเงินดอลลาร์ตกต่ำเงินเรี่ยไรงวดที่สามที่รวบรวมกันตามประเพณีการจัดงานฉลองเซนต์ปีเตอร์ในเดือนมิถุนายนนั้นได้มาจากทางสหรัฐอเมริกา
ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แปรผันถูกลดทอนลงไปด้วยค่าเงินลีร์อิตาลีทำให้รายได้ส่วนนี้พลอยทรุดลงไปด้วยในช่วงปี
1985-1986 เงินรายได้ที่มาจากการเรี่ยไรและเงินบริจาคดังกล่าวเพิ่มขึ้นจาก
28.6 ล้านดอลลาร์เป็น 32 ล้านดอลลาร์แต่พอใช้มาตรฐานเงินตราอิตาลีเข้าเทียบแล้วเงินก้อนนี้ก็กลับลดน้อยไปถึงเกือบๆ
10%
เมื่อเงินรายได้มีลักษณะไม่แน่นอนเช่นนี้การบริหารงบประมาณก็กลายเป็นเรื่องของโชคชะตาไป
คาร์ดินัล คาร์เตอร์ บ่นว่า "ไม่มีทางจะรักษาประมาณให้สมดุลได้เลย"
เป็นวาระแรกในรอบศตวรรษที่องค์สันตะปาปาต้องแสวงหาแหล่งรายได้ที่มั่นคงเพิ่มขึ้นใหม่
สันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 มิใช่ผู้ละเลยปัญหา ท่านมีพระประสงค์จะขอให้บรรดาวัดประจำตำบลต่างๆ
ทั่วโลกให้การอุดหนุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับศาสนสถานในกลุ่มประเทศที่มั่งคั่งอย่างสหรัฐอเมริการ
แคนาดา และเยอรมันตะวันตก
น่าแปลกที่นครวาติกันมาประสบภาวะตึงเครียดทางการเงินเอาเมื่อขณะที่ศาสนจักรโรมันคาทอลิกกำลังเฟื่องไปทั่วโลกอย่างนี้
หลังจากช่วงที่เคยเฟื่องไปทั่วโลกอย่างนี้หลังจากช่วงที่เคยเสื่อมไปในตอนปลายทศวรรษ
1960 จนถึงปลายทศวรรษ 1970 นั้นแล้ว จำนวนคริสตศาสนิกชนชาวโรมันคาทอลิกกลับเพิ่มขึ้นกว่า
7% ศาสนิกชนที่ทวีจำนวนขึ้นมีพอๆ กันทั้งในกลุ่มประเทศที่ร่ำรวยและยากจน
แต่เพิ่มมากที่สุดในกลุ่มประเทศโลกที่สาม งานเผยแพร่ศาสนาอันแข็งขันและการออกเยี่ยมเยือนประชาชนในดินแดนต่างๆ
ที่องค์สันตะปาปาทรงถือเป็นภารกิจประจำนั้น เอาชนะใจจนสามารถขยายวงผู้ถือศาสนาชาวคาทอลิกไปอย่างกว้างขวางในทวีปแอฟริกาและเอเชีย
โดยเฉพาะในประเทศไนจีเรียและอินเดีย
การคลังของสำนักสันตะปาปามีรายได้เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้นจากจำนวนศาสนิกชนที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว
ในขณะที่ทางวาติกันเป็นฝ่ายวางรากฐานวินัยคำสอนและทรงอิทธิพลอย่างยิ่งต่สองสายงานหลักของศาสนจักรโรมันคาทอลิก
คือนิกายย่อยต่างๆ และการปกครองคณะสงฆ์ซึ่งเป็นไปตามลำดับขั้น ทั้งสองสายงานนี้กลับพึ่งพาตัวเองได้ด้วยแหล่งรายได้ในท้องถิ่น
แต่ละส่วนบริหารของนิกายย่อยตลอดจนแต่ละหน่วยการปกครองของสงฆ์ต่างก็เป็นองค์กรที่มีทรัพย์สินส่วนของตน
ซึ่งทางสำนักสันตะปาปาไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยได้
ลำดับศักดิ์ของเหล่าสงฆ์ นางชี และบาทหลวงกำหนดขึ้นจากการปฏิบัติงานสอนศาสนา
งานเผยแพร่ศาสนา และงานสงเคราะห์ผู้ยากไร้ ตัวอย่างเช่น นิกายเยซูอิตซึ่งร่วมอยู่ในศาสนจักรโรมันคาทอลิกและผู้นำของนิกายได้รับการแต่งตั้งจากองค์สันตะปาปานิกายนี้มีสาขาใหญ่กว่า
80 แห่งทั่วโลกเมื่อแต่ละสาขานำเงินบริจาคไปลงทุนทางธุรกิจ หรือมีรายได้จากการดำเนินกิจกรรมส่วนตัว
เช่น โรงเรียนและบ้านพักฟื้น พระสงฆ์เยซูอิตจะจัดส่งเงินรายได้ไปยังสาขาใหญ่
เพื่อนำเงินส่วนนี้ไปใช้ในการอบรมให้การศึกษาแก่พระเยซูอิตรุ่นเยาว์ต่อไปส่วนทางสาขาใหญ่ก็จะแบ่งเงินรายได้ส่วนหนึ่งส่งต่อไปยังฝ่ายบริหารชั้นสูง
เพื่อใช้สนับสนุนการเผยแพร่ศาสนาในวงกว้างเมอร์ซิเออร์ลอเรนโซ อังตัวแนตต์
หัวหน้าฝ่ายบริหารแห่งพาตริมงต์ในสำนักสันตะปาปาชี้แจงว่า "คนทั่วไปมักเข้าใจไขว้เขวว่าทางสำนักมีรายรับมากมาย
เพราะดูจากนิกายเยซูอิตบ้าง โดมินิกันบ้าง ที่จริงเงินนั่นไม่เกี่ยวอะไรกับเราสักนิด"
แต่ละแขวงการปกครองของศาสนจักรโรมันคาทอลิกจะดูแลหน่วยงานระดับตำบล เมื่อปีที่แล้วบรรดาแขวงการปกครองได้ช่วยปลดเปลื้องรายจ่ายของสังฆมณฑลแห่งนิวยอร์ก
โดยมอบเงินอุดหนุนจำนวน 1.1 ล้านดอลลาร์ ซึ่งได้จากเงินที่เรี่ยไรในโบสถ์ในช่วงฉลองยศคาร์นิวัลประจำปี
ทางสังฆมณฑลยังได้เงินก้อนอย่างน้อยก็ 50 ล้านดอลลาร์จากการเรี่ยไรทั่วๆ
ไป รวมทั้งผลกำไรค่อนข้างสูงที่ได้จากการลงทุนทางธุรกิจเป็นรายได้ถึง 40
ล้านดอลลาร์ ทั้งยังมีแหล่งรายได้พิเศษอย่างคณะกรรมการกองทุนฆราวาสที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อช่วยรักษางบประมาณให้สมดุล
(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจากรายงานเกี่ยวกับแขวงการปกครองเล็กๆ ที่พยายามดิ้นรนเพื่อรักษาดุลรายรับรายจ่าย)
ในบางประเทศทางรัฐบาลจะช่วยเก็บสะสมเงินก้อนให้แก่ศาสนจักรด้วย คริสตศาสนิกชนชาวคาทอลิกในเยอรมันตะวันตกจ่ายภาษีแก่ศาสนจักรอย่างเป็นทางการเป็นเงินถึง
8% ของภาษีเงินได้ในแต่ละปี ในปีที่ผ่านมานี้ "ศาสนภาษี" คิดเป็น
76% ของเงินได้จำนวน 517 ล้านดอลลาร์ที่สังฆมนฑลโคโลญจน์ได้รับ
ความเข้มแข็งทางการเงินของแขวงการปกครองตลอดจนเหล่านิกายย่อยดังกล่าวไม่ได้เป็นเครื่องเกื้อหนุนศาสนจักรโรมันคาทอลิกแต่อย่างใดเลย
นอกจากส่วนที่เป็นเงินเศษของเซนต์ปีเตอร์ เมื่อต้นสมัยของพระสันตะปาปา จอห์น
ปอล ที่ 2 พระองค์เริ่มตระหนักแล้วว่านครวาติกันจำเป็นต้องหารายได้เพิ่มขึ้น
จึงตกเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการวิสามัญซึ่งประกอบด้วยคาร์ดินัล 15 รูปที่ทรงแต่งตั้งไว้ตั้งแต่ปี
1981 ในคณะกรรมการชุดนี้มีคาร์ดินัลสัญชาติอเมริกัน 2 รูป ได้แก่ คาร์ดินัล
ครอลและ จอห์น เจ.คาร์ดินับ โอ'คอนเนอร์ แห่งนิวยอร์ก กับ คาร์ดินัล โอ'คอนเนอร์
แห่งนิวยอร์ก กับ คาร์ดินัล คาร์เตอร์ และเจม คาร์ดินัล ซิน พระราชาคณะผู้เป็นที่เลื่อมใสกันในกรุงมนิลาด้วย
การดำเนินงานของคณะกรรมการชุดนี้คืบหน้าไปช้ามาก ในขณะเดียวกันที่ทางวาติกันก็จำต้องได้รับการสนับสนุนอย่างเร่งด่วน
เนื่องเพราะบทบาทที่เข้าไปพัวพันกับการล้มละลายของบังโก เอมโบรเซียโนของอิตาลี
ในปี ค.ศ. 1982 ทำให้ภาพพจน์ทางการเงินของวาติกันมีเงื่อนงำที่ออกจะลึกลับ
กีเซปเป้ คาร์ดินัล คาปริโอ หัวหน้าฝ่ายงานงบประมาณของวาติกันให้ทรรศนะว่า
"ภาพพจน์ของศาสนจักรโรมันคาทอลิกกำลังแย่เต็มที"
ส่วนหนึ่งที่ก่อให้เกิดภาพพจน์ในแง่ลบก็คือปัญหาการปกปิดสภาพการคลังของทางวาติกันเองด้วย
คาร์ดินัล คาร์เตอร์ แถลงว่า "พวกเราใช้เวลาผลักดันอยู่ถึง 5 ปีเพื่อให้เปิดเผยตัวเลขในบัญชีได้มากกว่านี้"
ความคืบหน้าเพิ่งปรากฎในปีนี้เองเมื่อทางวาติกันยอมเปิดเผยบัญชีการเงินแก่ศาสนจักรรอบนอกเป็นครั้งแรก
เมื่อเดือนมีนาคมและอีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน ทางคณะกรรมการมีจดหมายถึงบิชอปผู้ดูแลแขวงการปกครอง
3,000 รูป รวมทั้งผู้นำนิยายย่อยทั่วโลก มีใจความขอร้องให้อุดหนุนด้วยจำนวนเงินเศษของเซนต์ปีเตอร์ที่สูงขึ้นในจดหมายแถลงถึงสภาวะการคลังของสำนักสันตะปาปาไว้ด้วย
คาร์ดินัล ครอล คาดคะเนว่า "ถ้าหากเราต้องอุทธรณ์ไป เชื่อได้ว่าต้องถูกขอให้อธิบายเหตุผล"
การขอเงินเพิ่มเงินบริจาคในส่วนของเงินเศษเซนต์ปีเตอร์เป็นเพียงมาตรการเฉพาะหน้าเท่านั้น
หลังจากการประชุมทุกรอบครึ่งปีผ่านไป 7 ปีแล้ว ทางคณะกรรมการก็ยังใคร่ครวญหาทางแก้ปัญหาในระยะยาวอยู่องค์สันตะปาปาเริ่มจะเหลืออด
ถึงแม้ว่าพระองค์มิได้มีหน้าที่ต้องรับภาระแก้ปัญหางบประมาณของนครวาติกันก็ตาม
ภาระนี้เป็นของ อากอสติโน คาซาโรลี เลขานุการประจำสำนักซึ่งถือเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารอยู่แล้ว
แต่พระสันตะปาปาก็ติดตามการดำเนินงานของคณะกรรมการชุดนี้เรื่อยมาและดำริว่าพวกเขาออกจะเอื่อยเฉื่อยไปหน่อย
เมื่อเสร็จสิ้นการประชุมในเดือนมีนาคมแล้ว คณะกรรมการคาร์ดินัลร่วมรับประทานอาหารกับองค์สันตะปาปา
คาร์ดินัล คาร์เตอร์ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการเปิดเผยว่า "พระองค์พยายามเร่งเร้าให้เราขวนขวายหาทางแก้ไขปัญหางบประมาณขาดดุลให้ได้เสียที"
พระสันตะปาปาเริ่มแสดงบทบาทใหม่ที่นอกเหนือไปจากสถานภาพอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ในศาสนจักรแห่งนี้แล้ว
ด้วยการเสนอทรรศนะที่แจ่มชัดในปัญหาทางการเงินออกมา
นครวาติกันประกอบขึ้นด้วยสายงานฝ่ายบริหาร 2 ส่วนคือ ฝ่ายนครรัฐและฝ่ายสำนักสันตะปาปา
นครรัฐวาติกันซึ่งมีเนื้อที่ 108.7 เอเคอร์ ตั้งอยู่ในวงแวดล้อมของอาณาจักรเขตกรุงโรมเป็นเพียงเศษเสี้ยวส่วนน้อยที่หลงเหลือจากศาสนจักรสันตะปาปาซึ่งเคยทรงอำนาจสูงส่งในอดีต
ฝ่ายนครรัฐนี้มีเสถียรภาพทางการเงินอย่างยิ่ง ฝ่ายบริหารดำเนินการปกครองตัวเองในฐานะรัฐเอกราชที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลกฝ่ายนครรัฐยังมีหน้าที่ดูแลพิพิธภัณฑ์วาติกันที่มีกองทหารสวิสจำนวน
200 คนเป็นกำลังรักษาการณ์อยู่ด้วย
ในปีที่แล้วฝ่ายนครรัฐมีรายได้ถึง 64 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่ใช้จ่ายไปเพียง
6 ล้านดอลลาร์เท่านั้น งบประมาณส่วนที่เหลือก็จะเก็บสำรองเอาไว้จ่ายเป็นเงินก้อนแก่เจ้าหน้าที่ที่เกษียณอายุไป
บรรดานักท่องเที่ยวก็เป็นส่วนที่ทำรายได้จำนวนไม่น้อย นักท่องเที่ยวจำนวน
1.8 ล้านคนทำให้ฝ่ายนครรัฐมีรายได้ถึง 9 ล้านดอลลาร์ จากค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์และการซื้อหาแสตมป์กับเหรียญที่ระลึกกลับไปฝ่ายนครรัฐมีความคล่องตัวในการเจรจาทางธุรกิจค่อนข้างสูง
อย่างเช่นการรับอภินันทนาการจากบริษัทโทรทัศน์นิปปอนของญี่ปุ่นที่ช่วยบูรณะเพดานโบสถ์ซีสตินซึ่งมีภาพเฟรสโกฝีมือ
ไมเคิล แองเจโล ประดับอยู่โดยให้เอกสิทธิ์ในการถ่ายภาพยนตร์ในบริเวณนี้แก่ทางบริษัทไปจนถึงปี
ค.ศ. 1995
ฝ่ายสำนักสันตะปาปากลับมีปัญหาทางการเงินที่ยุ่งเหยิง ฝ่ายนี้มิได้ดูแลเพียงเฉพาะวัดวาอารามโดยทั่วไป
แต่ยังดูแลเรื่องการเดินทางขององค์สันตะปาปา ดูแลคณะเผยแพร่ศาสนา 116 คณะทั่วโลก
ทั้งยังดำเนินงานของสถานีวิทยุวาติกัน และหนังสือพิมพ์ของทางสำนักที่ใช้ชื่อว่า
"ออสเซอร์วาดอร์โรมาโน" อีกด้วย งานเหล่านี้มีจำนวนผู้ปฏิบัติงานมากมาย
ประกอบด้วยคณะกรรมการ 40 คน รวมทั้งเหล่าฆราวาสจำนวนมาก มีคณะเลขานุการ คณะที่ปรึกษา
ตลอดจนแผนกงานยิบย่อย บรรดางานที่ปฏิบัติกันนี้ก็ล้วยทำรายได้ให้แก่ฝ่ายศาสนจักรน้อยมาก
จนไม่เพียงพอจะใช้ไปเกื้อหนุนเล่าผู้ยากไร้เพื่อเป็นการกุศลได้ตามที่ทางสำนักประสงค์
สภาที่ปรึกษาในสมัยพระสันตะปาปาจอห์น ที่ 23 เสนอให้ปรับปรุงสำนักสันตะปาปาให้มีบทบาทที่เปิดกว้างยิ่งขึ้น
ทางสภาลงมติให้ขยายขีดความสัมพันธ์ระหว่างศาสนจักรโรมันคาทอลิกกับศาสนาหรือลัทธิความเชื่ออื่นๆ
พร้อมทั้งขยายบทบาทในหมู่ฆราวาสทั่วไปด้วย เพื่อดำเนินตามนโยบายของสภาที่ปรึกษาซึ่งเริ่มตั้งแต่
ค.ศ. 1962 สำนักสันตะปาปาจัดหน่วยงานเพิ่มเติมขึ้นอีกถึง 10 แผนก และตั้งกองเลขาธิการสำหรับดำเนินความสัมพันธ์กับศาสนิกชนในศาสนาอื่นโดยเฉพาะ
กับยังมีแผนกที่รับปรึกษาปัญหาทางครอบครัวซึ่งช่วยเสริมบทบาทของศาสนจักรในหมู่ศาสนิกชนอีกด้วย
ในช่วงปี 1981-1986 รายจ่ายของสำนักสันตะปาปาเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าตัวค่าใช้จ่ายสิ้นเปลืองที่สุดได้แก่
ค่าจ้างแรงงานซึ่งขณะนี้คิดเป็น 57% ของยอดค่าใช้จ่ายรวมระหว่างทศวรรษ 1960-1970
แรงงานที่ไร้สหภาพในสำนักนี้ยังได้รับค่าแรงต่ำและประสบภาวะขัดสนในการครองชีพ
ผู้ปฏิบัติงานฝ่ายสงฆ์มีรายได้ต่ำกว่าพวกลูกจ้างที่เป็นฆราวาส อย่างเช่นแม่ชีที่ทำงานในตำแหน่งนักวิจัยจะได้รับค่าจ้างเพียงครึ่งหนึ่งของฆราวาสที่ปฏิบัติงานอย่างเดียวกัน
ผู้ปฏิบัติงานจำนวน 2,300 คนของฝ่ายสำนักสันตะปาปาเป็นสงฆ์ถึง 1,700 คน ส่วนผู้ปฏิบัติงานส่วนมากของฝ่ายนครรัฐกลับเป็นฆราวาส
เมื่อปี 1980 คนงานฝ่ายฆราวาสขู่จะนัดหยุดงาน เพื่อเรียกร้องสิทธิ์ในการจัดตั้งสหภาพแรงงาน
และแสดงความเห็นใจต่อบรรดาผู้ร่วมงานฝ่ายสงฆ์ที่ได้รับค่าแรงต่ำมาก ทางผู้จ้างงานเองก็เข้าข้างฝ่ายคนงานเช่นกัน
พระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 ผู้เคยสนับสนุนสหภาพแรงงานโซลิดาริตี้ในโปแลนด์อย่างแข็งขัน
ทรงมีดำรัสในการพบปะกับตัวแทนคนงานว่า พระองค์ยินดีที่จะให้ก่อตั้งสหภาพแรงงานวาติกันขึ้น
และแม้ว่าจะใช้ชื่อว่าสมาคมแรงงานฆราวาสวาติกัน แต่สมาคมนี้ก็ทำหน้าที่เป็นตัวแทนทั้งฝ่ายสงฆ์และฆราวาส
ทั้งฝ่ายสำนักสันตะปาปาและฝ่ายนครรัฐ
สหภาพแรงงานที่ตั้งขึ้นสามารถแก้ไขปัญหาค่าจ้างงานต่ำได้ด้วยดี อัตราค่าแรงในสำนักสันตะปาปา
รวมถึงเงินบำนาญเพิ่มขึ้นจาก 40 ล้านดอลลาร์ในปี 1984 เป็น 56 ล้านดอลลาร์ในปีนี้เอง
ตามข้อสัญญาที่ตกลงกันใน ค.ศ. 1980 แล้วผู้ปฏิบัติงานฝ่ายสงฆ์จะได้รับค่าจ้างแรงงานในอัตราเดียวกันกับฝ่ายฆราวาส
ถึงแม้สงฆ์บางส่วนจะต้องจ่ายคืนให้แก่นิกายต้นสังกัดเพื่อเป็นค่าตอบแทนสำหรับที่พักและอาหารก็ตาม
คนงานของนครวาติกันได้รับค่าจ้างขั้นต่ำเท่าๆ กับคนงานทั่วไปในอิตาลี ซึ่งอัตราต่ำสุดของรายได้คิดเฉลี่ยเป็นรายปีเพิ่มขึ้นเป็น
9,700 ดอลลาร์วิศวกรประจำสถานีวิทยุวาติกันที่เคยได้เพียง 5,580 ดอลลาร์ต่อปีใน
ค.ศ. 1979 ได้ปรับขึ้นเป็น 17,900 ดอลลาร์แล้วในขณะนี้
ส่วนผู้ปฏิบัติงานระดับสูงของทางวาติกันก็ยังคงมิได้คำนึงถึงค่าจ้างเป็นปัจจัยสำคัญ
คาร์ดินัลบางรูปมีรายได้เพียงปีละ 20,000 ดอลลาร์ พระเยซูอิตระดับบริหารในสถานีวิทยุวาติกันยังสมัครใจจะรับค่าแรงในอัตราเดียวกับนักการทั่วไป
คือราว 11,000 ต่อปี แต่ฐานะของเหล่าคาร์ดินัลก็ดูภูมิฐานพอควร เพราะมีที่พักโอ่อ่าที่เช่าได้ในราคาถูก
เงินส่วนที่เป็นบำนาญกลับเป็นภาระรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นมาก ทางวาติกันไม่มีเงินกองทุนสำหรับบำนาญ
ต่างจากแขวงการปกครองสงฆ์และนิกายย่อยหลายแห่งที่ตั้งกองทุนเพื่อจัดสรรเงินปันผลให้บำนาญโดยพิจารณาตามอัตราเงินเดือนและตำแหน่งหน้าที่เป็นรายๆ
ไป ส่วนทางวาติกันกลับจ่ายเงินเป็นบำนาญโดยใช้อัตรา 5% ของรายได้รวม ซึ่งเป็นอัตราที่ไม่สมดุลเลย
เมื่อปีที่แล้ววาติกันต้องจ่ายเงินบำนาญเกือบ 9 ล้านดอลลาร์สำหรับคนงานที่เกษียณไปถึง
900 คน แต่เก็บเงินหักสะสมได้เพียง 1.5 ล้านดอลลาร์เท่านั้น
เมื่อเดือนตุลาคม คณะกรรมการคาร์ดินัลทั้ง 15 รูปมีมติจะจัดตั้งเงินกองทุนบำนาญ
แต่ต้องเลิกล้มความคิดไปเพราะต้องใช้เงินจำนวนมากเหลือเกิน ต้องเปลืองเงินทุนถึง
127 ล้านดอลลาร์เพื่อจะเก็บดอกผลและเงินปันผลให้พอกับการแก้ไขดุลค่าใช้จ่ายเป็นบำนาญได้
น่าประหลาดที่ทางสหภาพแรงงานวาติกันไม่รู้ว่าทางวาติกันไม่มีเงินกองทุนบำนาญ
ประธานสหภาพ คือ มาเรียโน เคอรุลโล ชี้แจงว่า "เราได้สอบถามเรื่องนี้ไปแต่ทางวาติกันก็ไม่ได้ให้คำตอบ"
หนังสือพิมพ์และสถานีวิทยุวาติกันมีรายจ่ายเกินรายรับมากมาย เพราะทั้งสองกิจการไม่ได้ดำเนินการตามหลักธุรกิจเอาเสียเลย
หนังสือพิมพ์ซึ่งจำหน่ายเพียงฉบับละ 70 เซนต์มีโฆษณาลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้นลูกค้าทั่วไปจะหาซื้อเอาตามร้านขายสินค้าที่เกี่ยวกับศาสนา
ปัจจุบันนี้ได้ปรับปรุงจากรูปแบบอันล้าสมัยโดยเริ่มออกฉบับภาษาอิตาเลี่ยนเป็นรายวัน
และฉบับภาษาต่างประเทศเป็นรายสัปดาห์ ซึ่งส่งไปตามหน่วยเผยแพร่ศาสนาและสมาชิกที่บอกรับทั่วโลก
โดยจ่ายค่าไปรษณีย์ราคาแพงลิบลิ่ว
สถานีวิทยุวาติกันไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการค้าแต่อย่างใด แต่ก็มีรายได้บ้างจากการจำหน่ายม้วนเทปสุนทรพจน์ขององค์สันตะปาปา
สถานีวิทยุวาติกันมีกำลังส่งคลื่นสั้นและคลื่นขนาดกลางซึ่งออกอากาศถึง 34
ภาษาไปยังสหภาพโซเวียต โปแลนด์ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และอื่นๆ กว่า 150 ประเทศรายการวิทยุที่สำคัญได้แก่รายการด้านศาสนารายการอ่านคำสวดภาษาละตินขององค์สันตะปาปาจัดเป็นรายการเด่นประจำเดือน
ด้วยคุณลักษณะที่ยอมรับกันทั่วโลกของพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 ทำให้กิจกรรมของสถานีวิทยุวาติกันเฟื่องฟูขึ้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อทศวรรษ 1970 รายการออกอากาศภาคภาษาอังกฤษที่ชื่อ สัปดาห์วาติกัน ไม่ได้มีเนื้อหามากไปกว่าการถ่ายทอดสุนทรพจน์ของสันตะปาปาจากภาษาอิตาเลียนมาเป็นภาษาอังกฤษเท่าไหร่เลย
ปัจจุบันรายการนี้กลับมีเอกลักษณ์โดดเด่นโดยการจัดสัมภาษณ์อาคันตุกะที่มีชื่อเสียงขององค์สันตะปาปาตัวอย่างอาคันตุกะประจำเดือนตุลาคมได้แก่นักร้องสาว
ไลซ่า มิเนลลี่ และ โฮเซ่ นโปเลียนดวร์ตเต้ ประธานาธิบดีเอลซัลวาดอร์ ยิ่งกว่านั้นทางวิทยุวาติกันยังขยายหน่วยงานใหม่ซึ่งประกอบด้วยผู้ปฏิบัติงานที่เป็นนักหนังสือพิมพ์จำนวน
50 คนจาก 20 สัญชาติ หน่วยงานนี้ตั้งขึ้นเมื่อปี 1980 ทำหน้าที่รวบรวมข่าวสารข้อมูลจากทุกมุมโลก
เพื่อรายงานข่าวคราวในวงการศาสนาตลอดจนสำรวจปฏิกิริยาต่อสุนทรพจน์ขององค์สันตะปาปาการปรับปรุงรายการใหม่ๆ
รวมทั้งการใช้เครื่องไม้เครื่องมือส่งสัญญาณที่ทันสมัยทำให้ค่าใช้จ่ายของทางสถานีเพิ่มขึ้นจาก
8.5 ล้านดอลลาร์ในปี 1980 เป็นประมาณ 17 ล้านดอลลาร์ในปี 1987
ค่าใช้จ่ายในการออกเยี่ยมเยียนประชาชนของพระสันตปาปา ซึ่งทรงมีกำหนดประมาณปีละ
3-4 ครั้งเป็นเงินถึง 800,000 ดอลลาร์นอกจากที่ใช้ในวงงบประมาณส่วนนี้ แล้วค่าใช้จ่ายในการเดินทางดังกล่าวยังไปเบียดบังเงินถวายในส่วนของสำนักสันตะปาปาอีกด้วย
อย่างเช่นการเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาในเดือนกันยายนซึ่งมีกำหนด 10 วัน ทางวาติกันต้องจ่ายค่าตั๋วโดยสารเครื่องบินชั้น
1 สำหรับคณะผู้ติดตามจำนวน 12 คนขององค์สันตะปาปา ส่วนทางศาสนจักรและราษฎรอเมริกันรับผิดชอบค่าใช้จ่ายอื่นๆ
นอกเหนือจากนั้นแขวงการปกครองสงฆ์จัดเตรียมงบประมาณไว้ใช้ในการนี้ 20 ล้านดอลลาร์
ทางฝ่ายรัฐบาลให้เงินอุดหนุน 6 ล้านดอลลาร์ ส่วนใหญ่จะเป็นค่าใช้จ่ายด้านบริการพิเศษและการอารักขาคุ้มครอง
การเดินทางเที่ยวนี้เป็นเหตุให้แขวงการปกครองสงฆ์ที่เกี่ยวข้องบางแห่งมีหนี้ค้างชำระจำนวนมาก
แขวงการปกครองที่มอนเตอร์เรย์ แคลิฟอร์เนีย เป็นหนี้ถึง 600,000 ดอลลาร์
ทางแขวงถึงกับต้องเลหลังสิ่งที่ซื้อมาใช้จัดงานพิธีเพื่อชำระหนี้รวมถึงไม้ที่ใช้ประกอบเป็นยกพื้นสำหรับองค์สันตะปาปาใช้ในพิธีมิสซาด้วย
ที่จริงนครวาติกันก็อาจแก้ปัญหาการเงินพวกนี้ได้สบาย ถ้าหากยอมเลือกที่จะขายงานศิลปะล้ำค่าบางชิ้นจากจำนวนกว่า
18,000 ที่มีอยู่ไปเสียบ้าง แต่ทางฝ่ายบริหารก็ไม่เคยมีความคิดจะหาทางออกแบบนี้เลยสักนิดคาร์ดินัล
คาปริโอ ฝ่ายบริหารงบประมาณของวาติกันมีความเห็นแน่วแน่ว่า "สมบัติเหล่านี้ล้วนเป็นของมวลมนุษยชาติ"
ตามบัญชีทรัพย์สินแล้วขุมทรัพย์งานศิลปะมูลค่านับพันล้านดอลลาร์ถูกตีราคาเอาไว้เพียง
1 ลีร์เท่านั้นเอง
เมื่อศตวรรษที่ 19 ทางสำนักสันตะปาปาได้ลาภลอยก้อนโต เนื่องจากแต่เดิมศาสนจักรโรมันคาทอลิกเคยครองอำนาจเหนือกรุงโรมตลอดจนเมืองใหญ่ในภาคใต้ของอิตาลี
แต่ใน ค.ศ. 1870 อิตาลีบุกรุกโรมและเข้าควบคุมศาสนจักร โดยถือองค์สันตะปาปาเสมือนนักโทษแห่งวาติกัน
ต่อมาจึงเปิดการเจรจาตกลงเป็นไมตรีกันในปี 1929 จอมเผด็จการเบนนิโต มุสโสสินี
ลงนามร่วมกับสันตะปาปาปิอุล ที่ 11 ในข้อตกลงแลทเธอแรน รัฐบาลอิตาลียอมรับอธิปไตยของวาติกันและยินดีจ่ายเงินชดใช้ค่าเสียหายที่เข้ายึดครองศาสนจักรให้แก่นครรัฐวาติกันเป็นเงิน
92 ล้านดอลลาร์
เงินก้อนนี้ถูกนำไปใช้ก่อสร้างอาคารสถานที่และซื้อทองคำ ซื้อพันธบัตร เงินลงทุนจำนวนครึ่งหนึ่งของ
500 ล้านดอลลาร์ทำรายได้คืนมาน้อยมาก เงินประมาณ 100 ล้านดอลลาร์จมอยู่ในบัญชีเงินฝากธนาคารและการซื้อทองแท่งสะสมไว้
ทองคำที่ซื้อไว้เมื่อทศวรรษ 1930 ในราคาเฉลี่ยตกออนซ์ละ 35 ดอลลาร์นั้น มีมูลค่ารวมถึง
100 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน ด้วยราคาเฉลี่ยออนซ์ละ 450 ดอลลาร์ ทองแท่งที่เก็บสะสมไว้ที่เฟเดอรัล
รีเซอร์ฟ ในนิวยอร์กมิได้ขายออกไปเลยแม้แต่แท่งเดียว
ถ้าหากเทียบตามมาตรฐานราคาในตลาดทั่วไปแล้ว ทรัพย์สินของฝ่ายสำนักสันตะปาปาก็มีมูลค่าสูงพอดูทีเดียว
ทางสำนักเป็นเจ้าของอาคารกว่า 30 หลังในกรุงโรมและอีกหลายแห่งในอิตาลี อาคารหลายหลังปัจจุบันตกอยู่ในทำเลชั้นเลิศ
แต่อาคารเหล่านี้กลับให้ถือเช่าในอัตราที่ต่ำเหลือเกิน หรือไม่เช่นนั้นก็เอาไว้ใช้เป็นศาสนสถาน
เมอซิเออร์ อังตัวแนตต์ ชี้แจงว่า "เราไม่อาจจะให้เช่าสำหรับเอาไปทำโรงแรมได้หรอก"
อาคารทั้งหมดระบุมูลค่าไว้ในบัญชีเป็นเงินพียง 100 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นแค่เศษเสี้ยวของราคาตามจริงในปัจจุบัน
ส่วนที่ไม่มีรายการในบัญชีทรัพย์สินได้แก่สถานทูตวาติกันในต่างประเทศ รวมทั้งทรัพย์ที่มิได้เป็นแหล่งรายได้แต่อย่างไรเลย
เช่น โรงพยาบาลเด็ก แบมบิโน เยซู ในกรุงโรม และสถาบันอาเคเดอเมีย ใกล้วิหารพาเธนอน
ซึ่งใช้เป็นสถาบันฝึกฝนนักการทูตของนครวาติกัน
อพาร์ทเมนท์จำนวน 1,700 หน่วยของวาติกันใช้เป็นที่พักของบรรดาเจ้าหน้าที่วาติกันเป็นหลัก
เหล่าคนงานทั้งฆราวาสและสงฆ์จะเช่าที่พักในบริเวณจตุรัสเซนต์ปีเตอร์ได้ในอัตราเดือนละ
150 ดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าอัตราค่าเช่าทั่วไปถึงครึ่งหนึ่ง นอกจากนี้ฆราวาสและสงฆ์ส่วนหนึ่งพักอาศัยในบริเวณสำนักงานเลยโดยไม่เสียค่าเช่า
เหล่าฆราวาสพักในชั้น 1-3 ที่ตึกสำนักงานซานคาลิสโต ในย่านทราสเวียร์ ซึ่งค่าเช่าทั่วไปออกจะแพง
ส่วนฝ่ายสงฆ์พักอยู่ที่ชั้น 4 และ 5 เหล่าคาร์ดินัลและสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่เสียค่าเช่าต่ำกว่าเดือนละ
200 ดอลลาร์ สำหรับห้องพักในอพาร์ทเมนท์ขนาด 3,000 ตารางฟุตอันหรูหรา ซึ่งคิดกันในอัตราเดือนละ
2,000 ดอลลาร์ในตลาดทั่วไป
เหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้อัตราค่าเช่าต่ำขนาดนี้ก็เพราะทางวาติกันถือปฏิบัติตามกฎหมายควบคุมค่าเช่า
ซึ่งโดยทั่วไปมักจะละเลยกันไป เจ้าหน้าที่ศาสนจักรคนหนึ่งมั่นใจว่า "เราคงเป็นองค์กรเดียวที่ถือปฏิบัติอยู่อย่างเคร่งครัด"
รายได้จากอาคารทั้งหมดดังกล่าวทางสำนักสันตะปาปารวบรวมได้ปีละ 4.6 ล้านดอลลาร์
และมีกำไรสุทธิเพียง 2.7 ล้านดอลลาร์เมื่อหักค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาสถานที่แล้ว
เมื่อปีก่อนทางวาติกันมีรายได้ประมาณ 15 ล้านดอลลาร์จากเงินที่ลงทุนซื้อหุ้นและพันธบัตรจำนวนกว่า
150 ล้านดอลลาร์ และจากดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร การบริหารการเงินเริ่มเคร่งครัดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงต่อของศตวรรษ
เมื่อสันตะปาปาเลโอ ที่ 13 ทรงซ่อนเอาทรัพย์ส่วนหนึ่ง คือพวกเหรียญทองคำไว้ใต้แท่นที่นอน
ทางวาติกันจึงตังคณะกรรมการบริหารเงินทุนประจำสำนักสันตะปาปา (ADMINISTRATION
OF THE PATRIMONY OF THE HOLY SEE-APSA) ขึ้นมาเป็นตัวแทนควบคุมธุรกิจด้านการลงทุนของนครวาติกัน
เจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ของ APSA ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 26 คนนั้นเป็นฆราวาสที่มีฝีมือทางด้านนี้โดยเฉพาะ
ผู้จัดการของ APSA คือ เบเนเดทโตอาร์ฌองเตียรี อดีตนักวิจัยตลาดแห่ง COMMON
MARKET'S BANQUE EUROPEENE D'INVESTISSMET ในกรุงบรัสเซลส์ เขาเป็นนักสะสมศิลปะสมัยศตวรรษที่
16 ใช้ห้องทำงานที่ตกแต่งอย่างโอ่อ่าด้วยพื้นหินอ่อน
อาร์ฌองเตียรีกับทีมงานนักธุรกิจอีก 4 คนของเขา ใเงิทุนซื้อพันธบัตรของรัฐบาลอเมริกันและอิตาลี
ตลอดจนพันธบัตรอื่นที่รัฐบาลเป็นหุ้นส่วนอยู่ด้วยเป็นจำนวนประมาณ 100 ล้านดอลลาร์อีก
50 ล้านดอลลาร์ก็ซื้อหุ้นกระจายไปในกิจการเกือบ 100 แห่ง รวมทั้งหุ้นมูลค่าสูงของอิตาลี
อย่างบริษัทผลิตรถยนต์เฟี้ยต และบริษัทเจเนอรัลประกันภัย หุ้นส่วนใหญ่ที่วาติกันถืออยู่นั้นสืบทอดมากว่า
30 ปีแล้ว ทางวาติกันมีนโยบายเลี่ยงการเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ในทศวรรษ 1960
ทางสำนักเคยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ อิมโมบิเลีย โรมา ซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมวอเตอร์เกตในกรุงวอชิงตัน
และเป็นผู้ผลิตอ่างอาบน้ำ วาติกันตกที่นั่งลำบากอย่างที่อาร์ฌองเตียรีอธิบายว่า
"ทุกคราวที่ทางบริษัทต้องการหลักทรัพย์เพื่อแก้ปัญาการขาดทุน หรือว่าพวกคนงานขู่จะนัดหยุดงาน
องค์สันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 6 ก็ได้แต่จ่ายเงินให้ไป เพื่อไม่ให้เสียภาพพจน์ต่อสาธารณชน"
แผนการลงทุนที่ยึดอยู่ตามนโยบายนี้ช่วยให้วาติกันขาดทุนไปเพียง 3 ล้านดอลลาร์เมื่อเกิดภาวะตลาดหุ้นปั่นป่วนทั่วโลกในเดือนตุลาคม
วาติกันยังคงยึดถือนโยบาย APSA ที่อาศัยดอกผลจากการลงทุนเรื่อยมาจนถึงทศวรรษ
1960 จนกระทั่งนโยบายนี้เริ่มเข้าไปเกี่ยวกันกับรายได้ส่วนที่เป็นเงินเศษของเซนต์ปีเตอร์ด้วย
ประมาณปี 1981 การขาดดุลงบประมาณก็ชักกระทบกระเทือนถึงการลงทุน ทางวาติกันจึงต้องยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเงินส่วนสำรองที่สะสมไว้ตั้งแต่ปีก่อนๆ
ระหว่างนั้นการขาดดุลก็ชักสูงขึ้นเรื่อยๆ
ในเมื่อต้นศตวรรษ 1980 องค์สันตะปาปาก็ไม่อาจพึ่งแหล่งเงินได้อื่นในได้อีก
ต้องอาศัยสถาบันศาสนกิจ (INSTITUTE FOR RELIGIOUS WORKS) ซึ่งรู้จักแพร่หลายในนาม
ธนาคารวาติกัน (VATICANBANK) ธนาคารนี้ขึ้นตรงต่อพระสันตะปาปาไม่ใช่ต่อสำนักสันตะปาปา
และดำเนินกิจการอย่างเงียบเชียบเสียจนคณะกรรมการคาร์ดินัลไม่อาจรู้ได้เลยว่า
มันทำรายได้แก่องค์สันตะปาปาปีละเท่าใด แต่ก็คงลดน้อยลงกว่าเมื่อก่อนนี้มากทีเดียว
เนื่องจากธนาคารต้องใช้หลักทรัพย์จำนวนมากจำนวนมากของตนจ่ายชำระหนี้เพราะเข้าไปมีส่วนพัวพันกับการล้มละลายของ
บังโก เอมโบรเซียโน ในปี 1982 ช่วง ค.ศ. 1984-1985 ทางธนาคารถึงกับต้องงดจ่ายเงินปันผลแก่พระสันตะปาปา
ปัจจุบันว่ากันว่าธนาคารแห่งนี้มีรายได้เพียง 3-4 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นเศษของรายได้ที่เคยรับในศตวรรษ
1970
สถาบันนี้มีสถานะค่อนข้างจะศักดิ์สิทธิ์บริการรับฝากและให้กู้เงินแก่บรรดานิกายย่อย
และคนงานของวาติกันทั่วไป ธนาคารจะให้พวกแขวงการปกครองสงฆ์และนิกายย่อยทั่วโลกกู้ยืมในอัตราดอกเบี้ยต่ำ
เพื่อใช้สนับสนุนกิจกรรมโรงเรียนและโบสถ์ทั้งยังมีรายได้จากการเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารอื่นๆ
อีกด้วย ถึงแม้จะมีชื่อเสียงแพร่หลาย แต่การดำเนินงานกลับเร้นลับน่าประหลาด
เก็บตัวอยู่ในหอคอยแบบสมัยกลางที่ครั้งหนึ่งเคยใช้เป็นห้องขังนักโทษไม่มีสาขาใดๆ
ไม่มีมือบริหารระดับ MBA และมีเจ้หน้าที่ประจำเพียง 13 คนเท่านั้น
บุคคลที่กุมนโยบายของธนาคารก็คืออาร์คบิชอป พอล มาร์คินคัสคบคนผิดไปในช่วงต้นทศวรรษ
1970 เมื่อมาร์คินคัสเริ่มต้นติดต่อธุรกิจกับ โรแบร์โต คาลวี ประธานของบังโก
เอมโบรเซียโน ในมิลาน ธนาคารซื้อหุ้นในบังโก เอมโบรเซียโนเป็นเงินก้อนใหญ่ทีเดียว
บังโก เอมโบรเซียโน สาขาลักแซมเบอร์กดำเนินกิจการบริษัทน้ำมัน 10 แห่งในปานามา
ช่วงปลายทศวรรษ 1970 บริษัทเหล่านี้เป็นของธนาคารวาติกันแต่เพียงในนามเท่านั้น
แต่ทางธนาคารเป็นเจ้าของจริงหรือไม่ยังไม่ประจักษ์ เพราะคาลวีเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด
แรกสุดเขากู้เงินมาจำนวน 1.3 พันล้านดอลลาร์ซึ่ง 600 ล้านในจำนวนนั้นกู้ยืมจากธนาคารคต่างประเทศ
120 แห่งคาลวีนำเงินกู้มาใช้ในกิจการบริษัทน้ำมันที่เอาไปยักย้ายถ่ายเทกับหุ้นของบังโก้
เอมโบรเซียโน เพื่อพยุงราคาหุ้นให้สูงขึ้น รวมทั้งใช้ซื้อหุ้นกำไรงามในบริษัทอื่นๆ
ด้วยเมื่อตลาดหุ้นประสบหายนะ เงิน 1.3 พันล้านดอลลาร์ก็แทบจะหายวับไปทั้งหมด
อาศัยความใกล้ชิดกับผู้กุมนโยบายคาลวีขอร้องให้ธนาคารวาติกันช่วยเหลือเขาโดยแสดงหลักฐานยืนยันว่า
ทางธนาคารเป็นผู้สนับสนุนบริษัทน้ำมันในปานามาทั้ง 10 แห่ง มาร์คินคัสอ้างว่าธนาคารเพิ่งจะรู้เบาะแสเรื่องเงินกู้ก็ตอนนั้นเอง
ทางวาติกันตกลงใจจะให้คาลวีแก้ปัญหานี้ให้ลุล่วงภายใน 1 ปี จึงทำให้ "จดหมายของผู้อุปถัมภ์"
ระบุว่าธนาคารเป็นผู้ดูแลบริษัทดังกล่าวเอง และเพื่อเป็นการตอบแทน คาลวีก็ออกหนังสือรับรองว่า
หนี้สินจำนวน 1.3 พันล้านดอลลาร์เป็นของ บังโก เอมโบรเซียโนไม่ใช่ของธนาคารวาติกันแต่อย่างใด
คาลวีผู้ถูกสถานการณ์กดดัน ฆ่าตัวตายโดยการแขวนคอใต้สะพานในปี 1982 การตายของเขาจะเป็นการฆ่าตัวตายเองหรือถูกฆาตกรรมก็ยังเป็นปริศนา
มรณกรรมของคาลวีเป็นชนวนให้บังโก เอมโบรเซียโนล้มละลายทันที่ ทางธนาคารเจ้าหนี้ก็เรียกร้องให้ธนาคารวาติกันชดใช้หนี้สิน
โดยอาศัย "จดหมายของผู้อุปถัมภ์" เป็นหลักฐานและถึงกับขู่ว่าจะฟ้องร้องเอากับนครวาติกันธนาคารวาติกันถูกรัฐบาลอิตาลีบีบคั้นจนต้องยอมจ่ายเป็นเงินจำนวน
224 ล้านดอลลาร์เรื่องนี้สิ้นสุดลงในเดือนมิถุนายนเมื่อศาลสูงแห่งอิตาลีแถลงว่า
การจับกุมมาร์คินคัสเมื่อเป็นโมฆะ ตามหลักการที่ว่าอิตาลีไม่มีอำนาจตัดสินคดีในเขตนครรัฐวาติกัน
เมื่อข่าวฉาวโฉ่ค่อยจางไป ประกอบกับการยอมเปิดเผยตัวเลขการคลังของทางวาติกันอาจถือเป็นโอกาสปรับปรุงระบบการเงินการคลังของสำนักสันตะปาปา
ปีนี้รายได้จากเงินเศษของเซนต์ปีเตอร์น่าจะได้ถึง 40 ล้านดอลลาร์ สูงกว่าปีก่อน
25% คณะกรรมการคาร์ดินัลมีความเห็นว่า ควรจะเปลี่ยนชื่อจากเงินเศษของเซนต์ปีเตอร์ซึ่งใช้กันมานานนับศตวรรษ
ทั้งเป็นชื่อที่สื่อความหมายถึงเงินจำนวนเล็กน้อยสำหรับถวายพระสันตะปาปา
คณะกรรมการเห็นพ้องต้องกันว่าการใช้ชื่อเดิมดูจะไม่เหมาะนักเมื่อทางนครวาติกันกำลังต้องการเงินบริจาคก้อนใหญ่
แต่ชื่อที่เสนอกันก็ไม่เฉียบชวนประทับใจเท่าไรนัก อย่าง "แต่พระบิดา"
"เงินอุดหนุนองค์สันตะปาปา" , "เงินกุศลถวายองค์พระสันตะปาปา"
ไม่ว่าตกลงใจใช้ชื่อใดก็ตาม ลำพังแหล่งเงินได้ส่วนนี้คงไม่เพียงพอจะรักษาดุลงบประมาณ
สำหรับระยะยาวแล้วทางคณะกรรมการคาดว่าต้องหาแหล่งรายได้เพิ่มเติมอีกราวปีละ
40 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมีลักษณะต่างจากรายได้ส่วนพระองค์ของพระสันตะปาปา เพราะเงินรายได้ส่วนนี้จะถูกกันไว้ต่างหากเพื่อเป็นค่าใช้สอยของทางวาติกันไม่เกี่ยวกับเงินที่ถวายเป็นกำนัลแก่สันตะปาปาและรายได้จากธนาคารวาติกัน
เนื่องจากจุดประสงค์ที่แท้ของเงินเหล่านี้ก็คือ เพื่อการกุศล
คณะกรรมการคาร์ดินัลมีความเห็นไม่ลงรอยกันในเรื่องแหล่งที่มาของเงินซึ่งจะเป็นรายได้เพิ่มเติมนี้
ครอลและโอ'คอนเนอร์เห็นว่า ศาสนสถานทั่วไปควรจะรวบรวมเงินจากบรรดาศาสนิกชนคาทอลิกที่มั่งคั่งเพื่อตั้งเป็นกองทุนที่จัดส่งผลประโยชน์รายปีเข้ามาอุดหนุน
แต่ฝ่ายของคาร์ดินัล คาร์เตอร์แย้งว่า "เป็นการให้อำนาจแก่ศาสนสถานมากไป
แล้วก็มุ่งเฉพาะพวกเศรษฐีจำนวนน้อย เราไม่อยากให้ศาสนสถานถูกพวกผู้ดีชั้นสูงมาครอบงำ"
ในยามที่นครวาตกันกำลังแบมือขอความช่วยเหลือด้านการเงินอย่างนี้ศาสนิกชนชาวคาทอลิกทั่วโลกย่อมฉงนว่า
สถาบันอันทรงเกียรติภูมิซึ่งมีฐานะเป็นศูนย์กลางแห่งศาสนจักรแห่งนี้ประสบภาวะตกต่ำรุนแรงไปได้อย่างไรกัน
แต่หลังจากกระจ่างในข่าวอื้อฉาว และเห็นภาพลวงตาที่มั่งคั่งหรูหรานั้นตามที่เป็นจริงในที่สุด
สุดแต่คณะคาร์ดินัลจะชี้นำไปอย่างไร ศาสนิกชนผู้เลื่อมใสย่อมดำเนินตาม