ถ้ามีคนเก่าคนแก่ครั้งที่บดท. ยังใช้ชื่อบริษัท เดินอากาศ จำกัด (บตอ.)
ยังคงทำงานอยู่ เชื่อว่าเขาคงจะไม่ตื่นเต้นอะไรมากนักกับเรื่องการรวมกิจการ
2 สายการบินของไทย แถมยังผิวปากเพลง "ธรรมดา…มันเป็นเรื่องธรรมดา"
เสียอีก
เมื่อปี พ.ศ.2494 รัฐบาลมีนโยบายให้รวมกิจการบินของบริษัทแปซิฟิค โอเวอร์ซี
(สยาม) จำกัด กับบริษัทเดินอากาศ จำกัด เข้าด้วยกัน บริษัททั้งสองจึงควบเข้าเป็นบริษัทเดียวกันตามความประสงค์ของรัฐโดยใช้ชื่อบริษัท
เดินอากาศไทย
หลังจากนั้นการรวมของกิจการทำให้กิจการของบริษัทเดินอากาศไทย จำกัดขยายกว้างขวางออกไป
โดยมีทั้งสายการบินภายในและสายการบินระหว่างประเทศ
บริษัท การบินไทย จำกัด แท้จริงแล้วก็ถูกจัดตั้งขึ้นโดยบริษัท เดินอากาศไทย
จำกัด เช่นกันที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพทางการบินระหว่างประเทศ จึงร่วมทุนกับบริษัทการบิน
SCANDINAVIAN AIRLINES SYSTEM (SAS) จัดตั้งบริษัท การบินไทยจำกัด ขึ้นในปี
2503 เพื่อศึกษา KNOWHOW เกี่ยวกับการบินระหว่างประเทศ ทำให้แยกการบินระหว่างประเทศออกมาจากบริษัทเดินอากาศไทย
จำกัด ซึ่งดำเนินการบินเฉพาะสายภายในประเทศและประเทศใกล้เคียงบางแห่งเท่านั้น
ความจริงแผนการรวมกิจการทั้งสองของของการบินไทยและบดท.มีมานานแล้วแต่การดำเนินการอย่างจริงจังเพิ่งเริ่มต้นประมาณกลางปี
2530 ที่ผ่านมานี้เอง
ว่ากันว่าการศึกษาแผนงานรวมกิจการ เริ่มขึ้นหลังจากที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์นายกรัฐมนตรี
ใช้บริการของบดท.ตรวจราชการทางภาคใต้ และพบกับข้อบกพร่องหลายประการ อาทิ
การล่าช้า (DEPLAY) ค่อนข้างมากจากตารางการบินตามปกติ การบริการของพนักงานประจำเครื่อง
รวมทั้งการตรวจราชการรับทราบผลการดำเนินงานของบริษัท เดินอากาศไทย จำกัด
ประมาณปลายเดือนกุมภาพันธ์เมื่อปีที่แล้ว
ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2530 พล.อ.ท.ณรงค์ ดิถีเพ็ง กรรมการผู้จัดการบริษัท
เดินอากาศไทย จำกัด ก็ออกมาให้ข่าวว่าแผนการรวมการบินไทยกับบริษัทเดินอากาศไทย
จำกัด เริ่มต้นขึ้นแล้วโดยแผนดังกล่าวกำลังอยู่ในระหว่างการศึกษา
ความจริงแล้วการรวมกิจการทั้งสองอาจไม่รวดเร็วเช่นนี้ หากโบอิ้ง 737 ของบดท.
ไม่ตกทะเลและสังเวยชีวิตอีก 83 ชีวิต ในเดือนสิงหาคม
เพราะหลังจากนั้น ได้มีการวิเคราะห์ถึงประสิทธิภาพการทำงานของบดท.อย่างกว้างขวางยิ่งขึ้น
แผนงานที่ว่าจึงได้รับการสนองตอบของทุกๆ ฝ่ายอย่างเร่งด่วน
คณะกรรมการพิจารณาการรวมถูกตั้งขึ้นมีศรีภูมิ ศุขเนตร ปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นประธาน
มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ 2 ชุด ชุดหนึ่งมีไพจิตร โรจนวนิชย์รองปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน
พิจารณาเรื่องทรัพย์สิน หนี้สิน
อีกชุดหนึ่งมีศรีสุข จันทรางศุ รองปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นประธานพิจารณาเกี่ยวกับโครงสร้างการบินไทยเมื่อมีการรวมแล้ว
ปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากการรวมกิจการมีเพียงสองประการประการแรกเป็นปัญหาทางด้านกฎหมาย
และอีกประการหนึ่งเป็นปัญหาในส่วนของพนักงานจากบดท. ที่จะถูกโอนเข้าไปอยู่กับการบินไทยจำนวน
1,800 คน
ปัญหาด้านกฎหมายจริงๆ แล้ว ไม่มีอะไรเกินไปกว่าการค้นหาวิธีที่ถูกต้องตามกฎหมายและให้มีผลเสียแก่บริษัททั้งสองน้อยที่สุด
ขั้นแรกในส่วนของการรวม ใช้วิธีโอนทรัพย์สินและหนี้สินที่มีส่วนต่างประมาณ
1,000 ล้านบาทมาอยู่ในงบดุลของการบินไทย ซึ่งการบินไทยจะเพิ่มทุนเท่าทรัพย์สินที่โอนมาโดยออกหุ้นเพิ่มให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบดท.
แทนการยุบบริษัททั้งสอง แล้วตั้งบริษัทใหม่ ซึ่งจะต้องคำนวณเสียภาษีของแต่ละบริษัทที่ยุบก่อน
แต่ก็ยังคงมีปัญหาการเสียภาษี 35% จากส่วนต่าง 1,000 ล้านบาทที่กำลังเสนอของดเว้นภาษีจากกระทรวงการคลังอยู่
อีกปัญหาหนึ่งทางด้านกฎหมายคือการโอนที่ดินของบดท.มาให้การบินไทย ที่การบินไทย
ต้องการให้เสียภาษีจากราคาที่บดท.ประเมินที่มีราคาต่ำกว่า แทนที่จะใช้ราคาที่กรมที่ดินประเมิน
โดยอ้างว่าเป็นการโอนตามนโยบายของรัฐไม่ใช่การซื้อขายตามปกติ
ปัญหาของพนักงานเองก็คลี่คลายไปในระดับหนึ่ง ในเรื่องของเงินเดือน ผลตอบแทนที่ธรรมนูญ
หวั่งหลี ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายการเงินของการบินไทยบอกว่าจะให้เงินเดือนในอัตราที่ได้รับจากบดท.
แถมยังจะเสียภาษี ณ ที่จ่ายให้
ส่วนที่ยังคาราคาซังอยู่คือปัญหาโครงสร้างที่ทางบดท. ให้จัดองค์กรตามรูปแบบที่พิสิฎฐ
ภัคเกษม รองเลขาฯ สภาพัฒน์ฯ ในฐานะคณะกรรมการประสานงานจัดองค์กรและการรวมพนักงานการบินไทยกับเดินอากาศไทยเสนอ
คือรวมพนักงานทั้ง 2 บริษัทแล้วจัดตั้งเป็นองค์กรใหม่แทนที่จะเป็นการที่พนักงานบดท.
เข้าไปทำงานร่วมกับการบินไทยในแต่ละส่วน
นอกจากนี้ยังมีปัญหาเกี่ยวกับการสรรหาคณะกรรมการร่วมของทั้งสองบริษัท ที่ต่างฝ่ายต่างต้องการให้มีตัวแทนของตนเข้าไปคอยเป็นปากเป็นเสียงให้
ซึ่งค่อนข้างยากที่จะจัดสรรให้ลงตัวเพราะติดโควตาตัวแทนจากกองทัพ และรัฐบาลที่ตายตัวอยู่ส่วนหนึ่งแล้ว
จะอย่างไรก็ตาม การรวมกิจการของทั้งสองบริษัทก็ต้องแล้วเสร็จแน่นอนภายใจ
31 มีนาคม 2531 ตามมติของคณะรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ
ก็คงจะเหลือเวลาน้อยนิดแล้วสำหรับการคลี่คลายทุกๆ ปัญหาที่มี