"อยากให้โลกนี้ไม่มีสุระ" คงไม่เพียงสมบูรณ์ นันทาภิวัฒน์ เท่านั้นที่คิดอย่างนี้
พี่น้องนันทาภิวัฒน์ส่วนใหญ่ ก็คงจะคิดในทำนองเดียวกัน จะมีที่แตกต่างก็คงจะเป็นสะใภ้ใหญ่และภิวัฒน์นันทาภิวัฒน์ซี้ปึ้กของสุระผู้วายชนม์ไปเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้เท่านั้น
การมีสุระอยู่ในโลกนี้ก็คงไม่สร้างความลำบากใจให้กับสมบูรณ์มาก ถ้าเส้นทางของสุระไม่เข้ามาข้องแวะกับนันทาภิวัฒน์
เผอิญว่าสุระเข้ามายุ่งเกี่ยวกับนันทาภิวัฒน์และเกี่ยวเอามากๆ เสียด้วย
และก็เกี่ยวกับธนาคารแหลมทองซึ่งสมบูรณ์คิดว่า เป็นของตระกูลนันทาภิวัฒน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งคิดว่าเป็นของตนที่สืบทอดมากจากไพศาลผู้พี่
และแล้วในที่สุด สุระก็สามารถเทคโอเวอร์แหลมทองมาเป็น "แบงก์แขก"
แห่งแรกของเมืองไทยสำเร็จ
สมบูรณ์ที่ตั้งใจว่าจะรีไทร์เมื่อตอนอายุ 65 ก็ได้ลงจากตำแหน่งสมใจนึก
เพียงแต่ว่าไม่ได้เดินลงเองเท่านั้น
สุระ จันทร์ศรีชวาลา เป็นผู้กระชากสมบูรณ์ ลงมาอย่างที่สมบูรณ์ไม่ค่อยจะยินยอมพร้อมใจ
และนี่คงเป็นอุทาหรณ์ได้ดีสำหรับนายแบงก์ที่มีลักษณะ "วัน แมน โชว์"
ที่ยังหลงเหลืออีกไม่นานแล้ว
สมบูรณ์ไม่ใช่คนเดียวที่ลงจากตำแหน่ง ความพ่ายแพ้ของสมบูรณ์ต่อสุระในครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก
มันหมายถึงการล่มสลายของอำนาจตระกูลนันทาภิวัฒน์ในแบงก์แหลมทองโดยสิ้นเชิง
สาแหรกของนันทาภิวัฒน์ทั้งหมดที่อยู่แหลมทองถูกสุระฟัดเต็มที่ สืบกุล นันทาภิวัฒน์และเถาวัลย์
นันทาภิวัฒน์ ถูกย้ายไปอยู่สาขาที่ซอยเสนานิคม "ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรทั้งสิ้น
อาบังแกจะบีบให้ออกน่ะคุณ สักวันคงจะให้นั่งกับพื้น" นักข่าวที่เกาะติดข่าวแหลมทองบอกสภาพ
คนที่ลาออกคนแรกทันที่หลังจากที่รู้แน่ว่า สุระ จันทร์ศรีชวาลาเป็นผู้กำชัยในสงครามชิงแบงก์ขนาดโรงรับจำนำนี้คือ
อภิวัฒน์ นันทาภิวัฒน์ กรรมการรองผู้จัดการธนาคารแหลมทอง
อภิวัฒน์ซึ่งน่าจะเป็นกรรมการผู้จัดการแบงก์แหลมทองต่อจากสมบูรณ์ ต้องไปพักผ่อนช่วงหนึ่ง
"ก็ดีเรื่องจะได้จบเสียที เสียดายว่าทำงานมา 10 ปีแต่ยังทำอะไรไม่ได้เต็มที่"
เขาบอกกับ "ผู้จัดการ"
แต่เขาคงจะไม่ได้พักผ่อนอย่างจริงๆ จังๆ เท่าใดนักเพราะยังมีบริษัทเอกวิทย์
ซึ่งเป็นบริษัทรับประกันต่อ ซึ่งเขาเป็นประธานกรรมการอยู่
ช่วงที่อภิวัฒน์ไป "หลบเลียแผลใจ" กับเหตุการณ์ที่เป็นผลพวงมาจากความดื้อรั้นและชะล่าใจของพี่ชายนั้นเขาไม่ได้อยู่อย่างเปล่าเปลี่ยวและเหงาหงอยอย่างที่หลายคนคิด
มีสถาบันการเงินและธุรกิจประเภทบริการหลายแห่งทาบทามให้เขาไปเป็นผู้บริหารใหญ่
ธนาคารกรุงไทยทาบทามให้เขาไปเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์เงินทุนสากล
พนัส สิมะเสถียร ก็เคยชวนให้เขาไปช่วยแก้ปัญหาที่บงล.ไอทีเอฟ ที่เคยทำเอาสงบ
พรรณรักษา วุ่นวายอยู่พักใหญ่
แต่ที่ทำให้อภิวัฒน์อดใจไว้ไม่ไหวจนต้องตกปากรับคำในที่สุดก็คือ.บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นวธนกิจ
บริษัทในเครือธนาคารทหารไทย ว่ากันว่าก่อนตกปากรับคำนั้น "เขาเทียวไปเทียวมาอยู่นานสองนานทีเดียว"
แหล่งข่าวในวงการเงินบอก
เบื้องหลังการตกปากรับคำไปอยู่ที่นวธนกิจนั้น กล่าวกันว่าเป็นเพราะความสนิทสนมระหว่างเขากับสองบิ๊กของทหารไทย
คือ ประยูร จินดาประดิษฐ์ ที่เพิ่งจะได้รับการเลี้ยงส่งไปเมื่อเร็วๆ นี้
และอนุตร์ อัศวานนท์ ที่เพิ่งจะก้าวขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งของทหารไทยแทนประยูร
อภิวัฒน์ เข้ามารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นวธนกิจแทนศิริพงษ์
ลิมปิพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการคนเดิมที่อยู่ในตำแหน่งนี้มาตั้งแต่ปี 2525
และได้รับการต่อสัญญาอีกครั้งเมื่อปี 2527 และครบสัญญาว่าจ้างเมื่อปีที่แล้ว
วันที่ 1 มกราคม 2531 เป็นวันแรกของการเข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้จัดการบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นวธนกิจ
เป็นครั้งแรกในรอบสิบปีที่ว่ากันว่าเขาจะได้มีโอกาสแสดงฝีไม้ลายมือเต็มที่
หลังจากที่อยู่ภายใต้ร่มไม้ชายคาของแหลมทองมานาน
การที่มี สถาบันการเงินหลายๆ แห่งทาบทามเขาให้ไปบริหารงาน นั่นแสดงว่าเขาน่าจะมีกึ๋นจริง
อย่างน้อยที่สุดเขาก็ไม่ได้แคร์ว่าสิ้นแหลมทองแล้วเขาจะไม่มีที่ไป
แต่เวลานับสิบปีที่เขาอยู่ภายใต้เงาของของสมบูรณ์ผู้พี่ที่ครอบงำเขามาตลอดจนหลายคนค่อนแคะว่า
"เขาเป็นเด็กไม่โตเสียที" และหลายๆ เสียงที่มีน้ำหนักปรามาสเขาว่า
"เขาไม่สู้"
นวธนกิจ จะเป็นสนามพิสูจน์ความสามารถว่า เขาโตแล้วและสมบูรณ์คิดผิดที่ไม่ให้เขาเป็นกรรมการผู้จัดการธนาคารแหลมทองเมื่อหลายปีก่อนนั้น
ถ้าสมบูรณ์ปล่อยให้เขาโตตามธรรมชาติ
วันนี้แหลมทองอาจจะยังเป็นของนันทาภิวัฒน์อยู่ก็ได้
นี่แหละผลของการบอนไซน้องชายตาดำๆ ของสมบูรณ์