Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กุมภาพันธ์ 2531








 
นิตยสารผู้จัดการ กุมภาพันธ์ 2531
ดอลลาร์อันตราย! พ่อค้านักเสี่ยงภัย ขาดทุนไปแล้ว             
 


   
search resources

Financing




ตลาดค้าเงินตราในกรุงเทพฯ เปิดฉากรับปีใหม่ 2531 ด้วยภาวะค่าเงินบาทที่แข็งตัวขึ้นเป็นประวัติการณ์ ในรอบ 3 ปี เมื่อเทียบกับค่าดอลลาร์คือแข็งขึ้นถึง 7.5% นับตั้งแต่แบงก์ชาติได้ประกาศค่าเสมอภาคเงินบาทกับดอลลาร์สหรัฐฯ ในระดับ 27 บาทต่อดอลลาร์ ในเดือนพฤศจิกายน 2527 เป็นต้นมา

ค่าเงินบาทในวันที่ 4 มกราคม 2531 อยู่ที่ 24.97 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งแข็งตัวที่สุดเกินความคาดหมายของนักค้าเงินที่หลายคนคาดว่าไม่น่าจะต่ำกว่า 25 บาทต่อดอลลาร์ ด้วยมีความเชื่อว่าทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนของแบงก์ชาติต้องมีการปรับน้ำหนักของค่าดอลลาร์ในตะกร้าขึ้นไปไม่น้อยกว่า 25% เพื่อพยุงค่าเงินบาทไม่ให้แข็งตัวต่ำกว่า 25 บาท ที่พ่อค้าผู้ส่งออกสินค้าได้คาดหมายว่าถ้าทุนรักษาระดับฯ ปล่อยให้เงินบาทแข็งตัวต่ำกว่า 25 บาทแล้วจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกในเดือนมกราคมอย่างมาก

แต่แล้วความหวั่นเกรงก็เป็นความจริงจนได้ เมื่อดอลลาร์ในตลาดเงินทั่วโลก "รูดมหาราช" ลงมาในระดับ 120.20 เยน และ 1.58 มาร์คเยอรมันในตอนเปิดตลาดเทศกาลปีใหม่ ส่งผลกดดันให้ค่าเงินบาทแข็งตัวต่ำกว่า 25 บาท ในวันที่ 4 มกราคม และอ่อนตัวดีดกลับขึ้นมาอยู่ที่ 25.20 บาท ในวันที่ 5 มกราคา

นักวิเคราะห์ทางเทคนิคในตลาดหุ้นกรุงเทพฯ ได้ให้ความเห็นว่า การตกต่ำของค่าดอลลาร์ช่วงต่อปลายธันวาคมและต้นมกราคมถึง 10 สตางค์ เมื่อเทียบกับค่าเงินบาท เป็นผลจากปัจจัยด้านเทคนิคที่นักค้าเงินในตลาดทั่วโลก ต่างไม่แน่ใจในตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ประจำเดือนพฤศจิกายนที่จะประกาศเป็นทางการในวันที่ 15 มกราคมนี้ว่าจะต่ำกว่า 15 พันล้านเหรียญจริง และอีกประการหนึ่งมีความเป็นไปได้อย่างมากที่นักค้าเงิน ได้เทขายดอลลาร์ออกมามากด้วยตัวเลขระดับราคาขอค่าดอลลาร์เมื่อเทียบกับเยนและมาร์ค อ่อนตัวลงต่ำกว่าราคาระดับ STOP-LOSS ที่โปรแกรมไว้ในคอมพิวเตอร์

การทรุดต่ำของดอลลาร์และการแข็งตัวของค่าเงินบาทที่ช่วงห่างของค่าเงินบาทที่ช่วงห่างของค่าเงิน (SPREAD) ผันผวนในระดับ 10 สตางค์/วัน ส่งผลให้การเจรจาทางการค้าส่งออกหยุดชะงักลงทันทีช่วงสัปดาห์แรกของหลังเทศกาลขึ้นปีใหม่

"การเจรจาการค้าหยุดทันทีตลอดช่วงสัปดาห์แรกของปีใหม่ (4-8 มกราคม) ซึ่งคาดว่าทั้งระบบตกราวๆ 200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ" แหล่งข่าวบริษัทการค้าต่างประเทศชั้นนำที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนกล่าว

ผู้ซื้อในต่างประเทศระมัดระวังในอัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์มาก เมื่อยังไม่แน่ใจในค่าดอลลาร์ว่าจะตกลงไปในราคาเท่าไรแน่จึงชะลอการตัดสินใจซื้อ

ส่วนผู้ส่งออกที่ขายสินค้าไปแล้วล่วงหน้าช่วงก่อนเทศกาลคริศต์มาส (24 ธ.ค.'30) ซึ่งช่วงเวลานั้นค่าดอลลาร์ตกระหว่าง 25.20-25.10 บาท พวกที่ไม่ได้รับผลกระทบคือ พวกผู้ส่งออกที่ทำประกันความเสี่ยงล่วงหน้าไว้กับแบงก์ ซึ่งเสียค่าธรรมเนียมขายดอลลาร์ล่วงหน้าประมาณ 2-3 สตางค์/ดอลลาร์/เดือน

ผู้ส่งออกชั้นนำบางคนได้วิเคราะห์ให้ฟังว่า มีความเป็นไปได้อย่างมากที่สถานการณ์ดอลลาร์ตกต่ำและเงินบาทแข็งตัวในลักษณะผันผวนนี้ ผู้ส่งออกที่ต้องประสบกับการขาดทุนทางบัญชี (BOOK-LOSS) น่าจะเป็นพวกผู้ส่งออกรายเล็กๆ ที่อำนาจต่อรองทางการค้าเสียเปรียบ และหวังจะตีคืนกำไรจากการเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยน โดยไม่ยอมลงทุนทำประกันขายดอลลาร์ล่วงหน้ากับแบงก์

แต่อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมแบบ "เสี่ยงภัย" ในอัตราแลกเปลี่ยนจากการค้าส่งออกนี้มิได้มีขอบเขตจำกัดอยู่กับกลุ่มผู้ส่งออกรายเล็กๆ เท่านั้น จริงๆ แล้ว ผู้ส่งออกรายใหญ่ๆ ที่ทำธุรกิจส่งออกพืชผลเกษตร ก็นิยมทำกันมากด้วย และทำกันมานานแล้ว

ผู้ส่งออกพืชผลเช่น ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง แถวทรงวาด อยู่ในวงการมานาน การค้าแบบเก็งกำไรราคาสินค้าเกษตรเป็นพฤติกรรมที่รู้ๆ กันอยู่ว่าพวกนี้มีความชำนาญและมีอำนาจต่อรองกับผู้ค้าส่งภายในประเทศแต่ที่ท้าทายกว่ามีโอกาสทำกำไรได้สูงจากการส่งออกแต่ละงวดๆ ก็อยู่ที่การเก็งกำไรจากค่าอัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์กับเงินบาท เพราะการเจรจาราคาขายส่งออกใช้ราคา SPOT เป็นเกณฑ์ดังนั้นเมื่อได้รับ EXPORT BILL มา ก็จะเล่นเกม "เสี่ยงภัย" เงินตราทันที

"การค้าส่งออกพวกนี้ แต่ละครั้ง มันเกิน 10 ล้านเหรียญทั้งนั้น ปริมาณมันมากพอจะจูงใจให้พวกเขาเล่นเกมเสี่ยงภัยเงินตราถ้าแม่น ก็กำไรเละเลย" มานพ นาคทัต กรรมการผู้อำนวยการบริษัทอโศก อินเตอร์เนชั่นแนลซึ่งเป็นบริษัทการค้าต่างประเทศชั้นนำของไทยเล่าให้ "ผู้จัดการ" ฟัง

สิงหะ นิกรพันธุ์ เจ้าหน้าที่ระดับสูงฝ่ายบริหารเงิน (TREASURY) ธนาคารนครธน ให้ความเห็นเพิ่มเติมในประเด็นนี้ว่า เท่าที่สังเกต พ่อค้าพืชผลเหล่านี้จะทำ FIX FORWARD CONTACT ในรูปดอลลาร์กับแบงก์ไว้ส่วนหนึ่งประมาณ 50% ของมูลค่าส่งออกอีก 50% จะ "เสี่ยงภัย" เอาเป็นไปได้ว่าช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปีที่แล้วที่ค่าเงินบาทแข็งขันขึ้นประมาณ 43 สตางค์ เมื่อเทียบกับดอลลาร์ผู้ส่งออกพวกนี้ จะขาดทุนจากเก็งกำไร อัตราแลกเปลี่ยน

สมบูรณ์ ชินสวนานนท์ผู้อำนวยการสำนักบริหารเงินธนาคารกสิกรไทย เคยกล่าวว่าเดือนสิงหาคมทั้งเดือน ผู้ส่งออกขายดอลลาร์ล่วงหน้าแก่แบงก์น้อยกว่าปกติจากเดือนละเฉลี่ย 20-30 ล้านเหรียญสหรัฐฯเหลือเพียง 10 ล้านเหรียญเท่านั้น ซึ่งก็หมายความว่า มีการเก็งกำไรจากค่าดอลลาร์ของผู้ส่งออกเดือนนั้นประมาณ 10-20 ล้านเหรียญ!

เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว (2530) ค่าดอลลาร์โดยเฉลี่ยเมื่อเทียบกับค่าเงินบาทตกประมาณ 25.50 บาท ซึ่งน่าจะเป็นระดับต่ำสุดแล้วเพราะเมื่อเทียบกับพฤศจิกายนของปี 2527 ค่าดอลลาร์เทียบกับค่าเงินบาทอ่อนตัวอี 1.7% ตลอด 4 เดือน

ด้วยเหตุนี้ ตลอดเดือนธันวาคม แหล่งข่าวในแบงก์กสิกรไทยได้กล่าวว่า ผู้ส่งออกที่ถือดอลลาร์อยู่ในรูป EXPORT BILL ก็เทขายออกมามากกว่าปกติประมาณ 50 ล้านเหรียญ

นั่นหมายความว่า การถือเก็งกำไรดอลลาร์ไว้เมื่อเดือนสิงหาคมประมาณ 10-20 ล้านเหรียญ แล้วมาเทขายออกเดือนธันวาคม มีความเป็นไปได้ว่าการเก็งกำไรช่วงดังกล่าวน่าจะมีผลทำให้ผู้เก็งกำไรขาดทุนประมาณ 4.3-8.6 ล้านบาท

นี่เฉพาะเพียงแค่ผู้ส่งออกที่เก็งกำไรเอาไว้กับแบงก์เพียงแห่งเดียวเท่านั้น ซึ่งถ้าหากนับรวมเอาทั้งระบบแล้ว (30 ธนาคาร) น่าจะสูงกว่านี้ประมาณ 100 เท่าหรือตกประมาณระหว่าง 400-800 ล้านบาท!

ตัวเลขขาดทุนจากการเก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์กับบาทของผู้ส่งออกในระบบประมาณ 400-800 ล้านบาทนี้ดูอาจจะไม่มาก แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่าเป็นการสูญเสียรายได้ของผู้ส่งออกที่ไม่น่าจะเสีย เพียงแต่ผู้ส่งออก ไม่ทำตัวเป็นนักเสี่ยงภัยมากนัก ในภาวการณ์ที่ดอลลาร์กับบาทยังไม่มีทิศทางของค่าแลกเปลี่ยนที่แน่นอน

แหล่งข่าวค้าเงินตราต่างประเทศของแบงก์พาณิชย์ชั้นนำให้ข้อสังเกตว่า ผู้ส่งออกไม่สมควรจะเข้าไป "เสี่ยงภัย" เก็งกำไรอัตราแลกเปลี่ยนเลยด้วยไม่มีความสันทัดจัดเจน วิธีการที่สร้างแนวคุ้มครองการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา น่าจะหันไปใช้วิธีการทำประกันความเสี่ยงล่วงหน้ากับแบงก์ให้หมด เพราะแม้แต่แบงก์เองตอนนี้ก็ใช้นโยบายอนุรักษนิยมในการบริหารเงินตราในตะกร้าของตน โดยมุ่งวิธี SQUARE POSITION เป็นหลัก มากกว่าจะเข้าไป TAKE POSITION เหตุผลง่ายๆ ก็เพราะ นักค้าเงินยังไม่มีใครสามารถมั่นใจได้เลยว่า ดอลลาร์จะตก (ขีดสุด) อยู่ระดับอัตราเท่าไร ถึงแม้ว่าธนาคารกลางของกลุ่มประเทศ 6-7

จะเข้ามาแทรกแซงเป็นระยะๆ ก็ตาม นั่นก็มีผลตรึงราคาค่าดอลลาร์ไว้เพียงช่วงสั้นๆ เท่านั้น

ดังนั้น อย่างเสี่ยงดีกว่าเพราะถ้าเก็งพลาด นั่นหมายถึงกระเป๋าฉีก อย่างไม่ต้องสงสัย!!

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us