Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ กุมภาพันธ์ 2531








 
นิตยสารผู้จัดการ กุมภาพันธ์ 2531
ไกรศรี จาติกวณิช นักบุกเบิกแห่งกระทรวงการคลัง             
โดย สาริตา ชลธาร
 

   
related stories

รถเจ้าปัญหา

   
www resources

โฮมเพจ กระทรวงการคลัง

   
search resources

กระทรวงการคลัง
ไกรศรี จาติกวณิช
Political and Government




ตระกูลจาติกวณิช มีชื่อเสียงมานานนับแต่หลุย จาติกวนิช (ชื่อเดิมคือซอเทียนหลุย) เป็นลูกจีนที่เข้ามารับราชการกรมตำรวจ ได้ดิบได้ดีจนเป็นถึงอธิบดีกรมตำรวจมีบุตร 8 คน ที่มีชื่อเสียงมากคือ บุตรคนที่ 3 เกษม จาติกวณิช เคยเป็นผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตและอีกหลายตำแหน่ง ปัจจุบันเป็นประธานและกรรมการอำนวยการบริษัทไทยออยล์ (อ่านประวัติตระกูลนี้จากผู้จัดการปีที่ 2 ฉบับ 18)

ไกรศรี จาติกวณิช เป็นผู้ชายคนที่ 6 ของหลุย เรียนชั้นต้นที่เดียวกับบิดาคือ ที่อัสสัมชัญ แล้วมาเรียนมัธยมต้นที่วชิราวุธวิทยาลัย พอดีเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงต้องย้ายไปเรียนที่บางปะอิน ในที่สุดมาจบมัธยมปลายที่กรุงเทพคริสเตียน เพื่อนที่เรียนรุ่นเดียวกันมี ดร.อำนวย วีรวรรณ, อานันท์ ปันยารชุน

หลังจากนั้นเขาไปต่อไฮสคูลที่อเมริการ และเรียนด้าน MONEY AND BANKING ที่มหาวิทยาลัยไมอามี่ พอจบแล้วเขาอยากทำงานแบงก์ และเรียนต่อภาคค่ำ บุญมา วงศ์สวรรค์ ซึ่งขณะนั้นเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจการคลังที่นิวยอร์กจึงฝากเข้าทำงานเป็น TRAINEE อยู่ที่ THE CHASE MANHATTAN BANK ที่วอลสตรีท และสอบเข้าเรียนโทด้าน MARKETING RESEARCH มหาวิทยาลัยลองไอร์แลนด์ ที่เลือกเรียนสาขานี้เพราะไม่เคยมีความคิดที่จะรับราชการเลย แต่พอกลับมาเมืองไทยพบ ดร.ป๋วยบอกว่าเงินทางไม่เดือดร้อนมาช่วยราชการดีกว่า

รุ่นที่เข้ารับราชการไล่ๆ กันมี จำลอง โต๊ะทอง, ชาญชัย ลี้ถาวร, ประสงค์ สุขุม, เสนาะ อูนากุล โดยที่ไกรศรีเข้าเป็นคนสุดท้ายของรุ่น

เนื่องจากกระทรวงการคลังในระยะเริ่มต้น ยังไม่มีหน่วยงานที่กลั่นกรองการงานให้แก่รัฐมนตรี และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นกระทรวงการคลังไม่มีหน่วยงานที่เป็นจักรสมองเสนอนโยบายให้แก่รัฐมนตรีในด้านการคลังและเศรษฐกิจ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสมัยนั้นคือสุนทร หงส์ลดารมภ์ มอบหมายงานนี้ให้ไกรศรีซึ่งขณะนั้นเป็นเพียงข้าราชการชั้นโท นับว่าเป็นงานชิ้นใหญ่ที่ท้าท้ายความสามารถของคนหนุ่มไฟแรงอย่างเขามากๆ ไกรศรีเสนอเค้าโครงสำนักเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) และดำเนินการจัดตั้งจนเสร็จเรียบร้อยแล้วเชิญดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์มาเป็นผู้อำนวยการคนแรก

"ช่วงแรก ที่ผมเข้าไปกระทรวงการคลังแทบจะไม่มีงานทำ เพราะงานส่วนใหญ่ไปอยู่ที่กรมบัญชีกลางที่คุณบุญมา วงศ์สวรรค์เป็นอธิบดี ผมจึงไปเรียนต่อด้าน PUBLIC ANMINISTRATION ที่มหาวิทยาลัยพิทส์เบอร์ก เรียนด้าน ORGANIZATION AND METHOD ผมได้ไอเดียเรื่อง สศค. จากฝรั่งที่เขามีหน่วยงานแบบนี้ ตอนแรกสศก. ขึ้นตรงต่อรัฐมนตรี แต่ตอนหลังคุณบุญมาเป็นปลัดกระทรวงบอกไม่ได้ต้องผ่านปลัดก่อน ตอนหลังสศค. จึงเป็นสต๊าฟของทั้งกระทรวง" ไกรศรีเล่าถึงงานบุกเบิก ชิ้นแรกของเขา

ต่อมาเขาได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจการคลังประจำกรุงลอนดอนได้เลื่อนเป็นข้าราชการชั้นเอก ในช่วงที่รับราชการอยู่นั้นเขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานกลุ่มผู้ผลิตดีบุกทั่วโลก และในปี 2510 ได้เกิดวิกฤติการณ์ในกลุ่มภาคีดีบุกเนื่องจากมาเลเซียซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดในโลกไม่ยอมลงนามต่ออายุสัญญาภาคีข้อตกลงดีบุก ซึ่งจะทำให้องค์การดีบุกต้องประสบกับปัญหานานัปการ คณะมนตรีดีบุกมีมติให้ไกรศรีบินด่วนไปเจรจาขอร้องให้รัฐบาลมาเลเซียพิจารณาใหม่

"ก่อนไปผมคดว่าแทบไม่มีหวังเพราะคณะรัฐมนตรีเขาลงมติแล้ว ผมไปพบคณะรัฐมนตรีของมาเลเซีย แต่หลังจากการเจรจาหนึ่งวันเต็มๆ ครม.ก็ไม่เปลี่ยนท่าที ผมจึงตัดสินใจขอเข้าพบตวนกู อับดุลราห์มัน นายกรัฐมนตรี เจรจาเป็นการส่วนตัวโดยชี้แจงว่ามาเลเซียกำลังมีชื่อเสียงในสหประชาชาติเป็นหัวเรือด้านดีบุกและยางพารา ถ้าภาคีดีบุกล่มชื่อเสียงของมาเลเซียจะเสียตวนกูบอกให้ผมอยู่ต่ออีกหนึ่งวันเพื่อรอฟังข่าว รุ่งเช้าท่านเอาเรื่องนี้เข้าครม. ในที่สุดก็มีการกลับมติลงสนามในสัญญาภาคี" ไกรศรีเล่าถึงผลสำเร็จที่เกินความคาดหมาย ขนาดที่ดร.ป๋วยยังบอกว่านายไกรศรีนี่มันมหาฟลุ้ค แต่ก็ยอมรับถึงความสามารถในการเจรจาของไกรศรี

ไกรศรีอยู่อังกฤษเกือบ 5 ปีกลับมาเป็นผู้อำนวยการกองเงินกู้สศค.กระทรวงการคลัง เห็นว่าประเทศไทยสมควรจะมีตลาดทุนเพื่อเป็นการสนับสนุนนโยบายขยายฐานเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในด้านการอุตสาหกรรมและการเงิน จึงมอบหมายงานนี้ให้ไกรศรีเป็นประธานคณะกรรมการยกร่างพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พ.ศ. 2517 เขาทำงานชิ้นนี้ลุล่วงจนเป็นตลาดหลักทรัพย์สำเร็จ นับเป็นงานบุกเบิกชิ้นที่ 2 ของเขา

ต่อมาไกรศรีได้ขึ้นเป็นรองผอ. สศค.ดูแลสถาบันการเงินต่างๆ ปี 2522 เกิดวิกฤติการณ์ตลาดหลักทรัพย์ การตัดสินใจถอนใบอนุญาตของราชาเงินทุนส่วนหนึ่งมาจากไกรศรี

"ขณะนั้นคุณเกรียงศักดิ์เป็นนายกฯ เสียงส่วนใหญ่อยากให้รัฐบาลเข้าช่วยแก้วิกฤติ นายกฯ ก็ถามว่าเสียงเป็นเอกฉันท์หรือไม่ผมบอกว่าไม่ ควรจะถอนใบอนุญาต เพราะดูจากเอกสารแล้วมันโกงทั้งนั้นเอาเศษกระดาษไปหมุนเป็นเงินมากมาย โกงกันหลายพันล้าน ผมไม่เห็นด้วยที่เอาเงินดีไปอุดเงินเลว" ไกรศรีเล่าถึงวิกฤติการณ์ครั้งนั้นซึ่งในที่สุดราชาเงินทุนก็ถูกถอนใบอนุญาต

ราวปี 2523 ไกรศรีได้รับการแต่งตั้งจากกระทรวงการคลังให้ไปเป็นกรรมการการปิโตรเลียม ซึ่งในปีดังกล่าวการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยมีโครงการที่จะตั้งโรงงานแยกก๊าซ หลังจากลงนาม "LETTER OF INTENT" กับบริษัทฟูลออร์ซึ่งเป็นบริษัทคอนเซาท์ที่ "TOP FIVE" ของอเมริกาปัญหาต่างๆ ก็เริ่มประดังเข้ามาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาในราคาค่าจ้างและปัญหาค่าก่อสร้างประธานกรรมการการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยซึ่งได้แก่นายบุญชู โรจนเสถียรรองนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้มอบหมายให้ไกรศรีเป็นประธานคณะทำงาน เพื่อทำการพิจารณาข้อเสนอของฟูลออร์และให้ดำเนินการต่อรองกับบริษัทฯ

"วันที่ประชุมจะเซ็นสัญญากันบริษัทฯ บอกกับกรรมการค่า CONSULTANT ที่คิด 45 ล้านเหรียญคิดผิดขอเพิ่มเป็น 50 ล้านเหรียญ เราก็ไม่ตกลงผมก็ไปคำนวณ COST ต่างๆ ว่าควรจะเป็นเท่าไหร่คิดออกมาประมาณ 20 ล้านเหรียญ แล้วก็ยังส่งเรื่องไปให้ธนาคารโลกช่วยคำนวณปรากฎว่าธนาคารโลกก็ดีใจหายบอกว่าที่คุณคิดนะเป็นแนวทางที่ถูกต้อง แต่เขาคิดได้ถูกกว่าเราอีก 5 ล้านเหรียญ สัปดาห์ต่อมาบริษัทมาบอกว่าคิดผิดอีกควรจะเป็น 55 ล้าน เราก็เลยเลิกสัญญา และเปิดประมูลใหม่บริษัทที่ประมูลได้คือลินเด้ย์ ประเทศเยอรมันในราคาเพียง 11 ล้านเหรียญ" งานนี้ส่งผลให้รัฐบาลประหยัดเงินไปกว่าพันล้านบาท

การกระทำของไกรศรีครั้งนี้ "ผู้จัดการ" ทราบมาว่า ทำให้บุคคลผู้หนึ่งต้องสูญเสียค่านายหน้าไปถึง 100 ล้านบาท และบุคคลผู้นั้นขณะนี้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการร่วมรัฐบาลอยู่ด้วย

ปี 2523 ดร.อำนวย วีรวรรณ รัฐมนตรีกระทรวงการคลังต้องการให้ไกรศรี รีบจัดตั้งโรงงานถลุงแร่เป็นนโยบายของรัฐบาลที่มีเจตนาที่จะส่งเสริมการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมอย่างเร่งด่วน ซึ่งมีนโยบายมานานแต่ก็ยังไม่สำเร็จเสียที

"เดิมทีเรากำหนดจะเซ็นสัญญาร่วมทุนกับบริษัทแห่งหนึ่งของเกาหลี วันนั้นจะเซ็นสัญญาอยู่แล้ว พอดีมีคนมากระซิบบอกผมว่าบริษัทนี้เพิ่งจ่ายเช็คเด้งไป 15 ล้าน ผมเลยขอเลื่อนไปอีกวันเพื่อเช็คข้อมูล ปรากฏว่าวันรุ่งขึ้นบริษัทนี้ล้ม ซึ่งก็นับว่าเรารอดตัวได้อย่างหวุดหวิด ผมเสนอว่าไม่ต้องไปผ่านบริษัทนายหน้าหรอก เอารัฐบาลไทยกับรัฐบาลเบลเยี่ยมโดยตรงและดีกว่า โดยตั้งบริษัทใหม่ชื่อบริษัทผาแดง ซึ่งเป็นชื่อของผาในจังหวัดตากที่มีแร่สังกะสี บริษัทนี้ทุนจดทะเบียน 800 ล้าน ประกอบด้วยกระทรวงการคลัง 160 ล้าน, ธนาคารกรุงไทย 104 ล้าน และเราก็ได้ขอความร่วมมือจากทุกแบงก์ให้มาถือหุ้น ตามสัดส่วนของแบงก์ ก็ต้องมีการล็อบบี้อย่างมากเพื่อให้เขายอมเพราะบางแบงก์เขาเห็นว่าเป็นโครงการที่เสี่ยง คราวนั้นนายแบงก์ที่ช่วยลุ้นมากคือชาตรี โสภณพานิช และสมบูรณ์ นันทาภิวัฒน์" ไกรศรีเล่าเบื้องหลังการตั้งบริษัทผมแดงกับ "ผู้จัดการ"

บริษัทผาแดงปัจจุบันมีกำไรดี ราคาหุ้นเคยขึ้นไปถึง 600 บาท (21 กรกฎาคม 2530) แต่ปัจจุบัน (25 มกราคม 2530) ราคาเหลือ 344 บาท แต่ก็ยังนับว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี

เมื่อประมาณระหว่างปี 2524-2525 ธนาคารอาคารสงเคราะห์กำลังประสบวิกฤติการณ์ทางการเงินคือขาดเงินหมุนเวียน ไม่สามารถชำระหนี้เงินกู้ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศได้ไกรศรีเป็นมือกระบี่ที่ถูกส่งไปเคลียร์ปัญหา ปีแรกเขาไปเป็นกรรมการต่อมาพลเอกอำนาจ ดำริการประธารกรรมการเสียชีวิต ไกรศรีได้รับเลือกให้เป็นประธานแทนในทัศนะของไกรศรีธนาคารนับว่าอยู่ในภาวะที่เลวร้ายมาก เพราะแม้แต่ตั๋วสัญญาใช้เงินที่ครบกำหนด ก็ยังไม่สามารถใช้คืนแก่ผู้ถือได้ตามกำหนดเวลา รวมทั้งการอาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินอีกมากมาย ซึ่งเมื่อธนาคารไม่มีเงินชำระให้แก่เจ้าหนี้ต่างๆ ย่อมส่งผลกระเทือนถึงรัฐบาล เพราะกระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันการชำระหนี้

ไกรศรีเห็นว่าการที่จะแก้ไขความเสียหายและฟื้นฟูธนาคารนั้น ประการแรกต้องเปลี่ยนตัวผู้จัดการ ไกรศรีเสนอให้ครม.ปลดมานะศักดิ์ อินทรโกมารสุต และแต่งตั้งกิตติ พัฒนพงศ์พิบูล ซึ่งขณะนั้นเป็นรองผู้จัดการฝ่ายสินเชื่อธนาคารกรุงไทย เพราะไกรศรีเห็นฝีมือกิตติตอนที่กิตติรับผิดชอบโปรเจ็คผาแดงในฐานะตัวแทนของกรุงไทย ไกรศรีกับกิตติได้ร่วมกันบริหารธนาคารกลับคืนมาอยู่ในฐานะที่มั่นคงและมีกำไรจนกระทั่งปัจจุบัน

นี่คือตัวอย่างชิ้นสำคัญๆ แต่ละงานค่อนข้างจะโหดและมีลักษณะบุกเบิกแต่เมื่อผ่านมือไกรศรีซึ่งเป็นคนมีสไตล์การทำงานแบบเฉียบขาด ถึงลูกถึงคนและถ้าจะต้องมีการฟันในบางครั้งเขาก็ไม่เกรงกลัวผลกระทบใดๆ ที่จะเกิดขึ้น ดังนั้นในหลายกรณีอาจจะก่อให้เกิดศัตรู ผลงานของเขาส่งผลให้ขึ้นสู่ตำแหน่งผู้อำนวยการสศค. และในปี 2525 ไกรศรีได้รับแต่งตั้งให้เป็นอธิบดีกรมศุลกากร

ที่นี่เขาได้ปฏิวัติทั้งบุคลากรและระบบการทำงานหลายอย่างซึ่งส่งผลทำให้ระเบียบขั้นตอนต่างๆ ลดความยุ่งยากไปมากและการทุจริตต่อหน้าที่ลดน้อยลงเนื่องจากถ้ามีการจับได้ไกรศรีก็จะเล่นบทโหดคือฟันไม่เลี้ยง

แหล่งข่าวระดับสูงในกรมศุลกากรวิจารณ์สไตล์การทำงานของไกรศรีว่า "ท่านพยายามจะเอาระบบเอกชนมาใช้กับระบบราชการ คือเอาประสิทธิภาพของงานเป็นหัวใจ ถ้าใครทำงานได้เร็วและดี ไม่ว่าจะเป็นหนุ่มหรือแก่จะได้รับการโปรโมท ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนหนุ่มสาวมากกว่าทำให้คนที่อาวุโสแต่ไม่ค่อยมีผลงานไม่พอใจ ซึ่งพวกเขาติดกับระบบแบบราชการ ซึ่งเป็นสิ่งที่สั่งสมมานาน ยิ่งกรมศุลฯ เป็นแหล่งที่มีผลประโยชน์มาก การที่คุณไกรศรีเข้ามาส่วนหนึ่งก็เป็นการกระโดดเข้ามาขวางลำการหากินของบางพวก ศัตรูก็ย่อมจะต้องมีเป็นธรรมดา"

เพื่อนสนิทของไกรศรีวิจารณ์บุคลิกและการทำงานของเขาให้ "ผู้จัดการ" ฟังว่า "เขาบริหารงานแบบขายส่ง เขามันจะวางอะไรเป็นหลักการกว้างๆ แล้วไว้ใจให้ลูกน้องไปทำโดยไม่ค่อยตามดูในรายละเอียดมากนัก ความไม่ค่อยละเอียดนี้เป็นนิสัยเขาแต่เด็กๆ แล้ว คุณจะเห็นว่าบางแห่งที่เขาไปรับงานซึ่งส่วนใหญ่ก็ประสบความสำเร็จแต่อาจจะมีปัญหาในรายละเอียดบ้าง เขาเป็นคนกล้าได้กล้าเสียและเป็นคนที่ยึดถือหลักการมากๆ อย่างเรื่องรถไกรศรีอาจจะพลาดตรงที่ไม่ได้ดูก่อนว่ารถนี้เสียภาษีถูกต้องไหม ซึ่งเป็นเพราะเขาไว้ใจเพื่อน แต่ถ้าบอกว่าตรงนี้คือความไม่ละเอียดผมว่าให้คนรอบคอบแค่ไหนก็มีสิทธิพลาดได้เพื่อนๆ เลยลงความเห็นว่าไกรศรีเป็นคนที่ซวยที่สุดในรอบปี"

ภาพพจน์ของคน "จาติกวณิช" เป็นภาพของคนมีฝีมือแต่มักจะโดนมรสุมทางการเมืองเล่นงานเมื่อก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งระดับสูง สมัยที่หลุยเป็นอธิบดีกรมตำรวจเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎร์ หลุยอยู่ฝ่ายเจ้าจึงถูกจับรวมกัน ผู้รักษาพระนครแทนรัชกาลที่ 7

เกษม จาติกวณิช จากฝีมือการทำงานของเขา "ผู้จัดการ" เคยเสนอ ว่าเขาเหมาะกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมากที่สุด ซึ่งว่ากันว่าทำให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเกิดเขม่นและนำมาสู่ขบวนการตามล้างตามเช็ด "ซุปเปอร์เค" การลาออกจากประธานโครงการปุ๋ยแห่งชาติและธนาคารสยาม (อ่าน "ผู้จัดการ" ฉบับที่ 43) เนื่องมาจากนโยบายที่ไม่แน่ชัดและรวนเรของรัฐบาลซึ่งบีบให้เกษมต้องลาออกในที่สุด กล่าวถึงปัจจุบันเกษมหลุดออกจากวงการอำนาจแล้ว

มาถึงไกรศรีซึ่งล่าสุดเป็นอธิบดีกรมธนารักษ์ จากประวัติการทำงานที่ดีเด่น และเขาอายุ 57 เขามีสิทธิที่จะเป็น

CANDIDATE ตำแหน่งปลัดกระทรวงซึ่งเป็นตำแหน่งที่สูงสุดสำหรับการเป็นข้าราชการประจำ แต่เมื่อมีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นซึ่งยังไม่แน่ว่าเขาจะขออุทธรณ์ต่อกรรมการข้าราชการพลเรือนหรือไม่ (เพราะเขายังไม่แน่ใจว่าความยุติธรรมอยู่ตรงไหน) แต่ถึงเขาจะอุทธรณ์เป็นผลสำเร็จเขายืนยันกับ "ผู้จัดการ" ว่าจะไม่หวนกลับเข้ามารับราชการอีกต่อไป

ผลตอบแทนข้าราชการคนหนึ่งซึ่งมีเกียรติประวัติขาวสะอาดในการทำงานคือการให้ออกจากราชการ คงไม่ต้องถามให้ไกรศรีว่าเขารู้สึกเจ็บช้ำเพียงไร ประเด็นที่ไกรศรีเจ็บใจที่สุดคือ การที่บอกว่าหากให้เขารับราชการต่อไปจะเป็นผลเสียหายต่อราชการ เขาเคยให้สัมภาษณ์ "สู่อนาคต" อย่างเผ็ดร้อนตอนหนึ่งว่า "ผมไม่ได้ตำหนิคณะกรรมการสอบสวนอะไร ผมตำหนิการใช้ดุลยพินิจของ อกพ.กระทรวงว่ามันชุ่ยขนาดไหน กรรมการที่ลงโหวต AGAINST ผมนี่…คุณดูไปนะ บางคนเป็นอธิบดีกรมใหญ่กรมหนึ่งแต่เนื่องจากปฏิบัติราชการไม่ได้ผล ถูกย้ายมาเป็นผู้ตรวจกระทรวงและตอนหลังรัฐมนตรีสุธี ให้มาเป็นรองปลัด บางคนเป็นรองปลัดทั้งๆ ที่จะเกษียณอยู่แล้วโดยไม่ได้เป็นอธิบดี แสดงว่าฝีมือไม่มี ไม่มีสิทธิเป็นอธิบดี แล้วบุคคลพวกนี้เหรอจะมาตัดสินว่าถ้าผมปฏิบัติราชการต่อไปจะเกิดผลเสียหาย เป็นไปไม่ได้" เมื่อรู้ข่าวในสัปดาห์แรกยังปรับใจไม่ทันเขาเครียดและนอนไม่ค่อยหลับ

หลังจากเซ็นรับทราบคำสั่งให้ออกจากราชการ ไกรศรีไปยื่นใบลาออกจากตำแหน่งประธานอาคารสงเคราะห์ และประธานบริษัทผาแดงอินดัสตรีซึ่งช่วงพักราชการเขายังไปนั่งทำงานทั้งสองแห่งนี้อยู่ ซึ่ง "ผู้จัดการ" ทราบมาว่า ผู้ที่จะไปเป็นประธานธอส.แทนอาจจะชื่อ วิโรจน์ เลาหะพันธ์

วันนี้เขากลายเป็นคนตกงานแล้วโดยสมบูรณ์ เพราะเขาไม่มีธุรกิจส่วนตัวใดๆ มีเพียงบ้านหลังขนาดย่อมในซอยเทียนเซี้ยงสาธรใต้ ซึ่งพ่อเขาปลูกให้และที่ดินที่ซื้อทิ้งๆ ไว้อีกไม่กี่ไร่ ช่วงที่เกิดเรื่องนี้ เวลากลางวันมักจะหมดไปกับการอ่านหนังสืออยู่บ้าน หรือไม่ก็ไปตีกอล์ฟซึ่งเป็นกีฬาที่โปรดปราน ตอนเย็นมีคนมาเยี่ยมให้กำลังใจเขาเป็นจำนวนมาก ยกเว้นข้าราชการกรมศุลฯ ที่บางคนไม่กล้ามาด้วยเหตุว่ากลัวนายใหม่จะเขม่น และไปพักผ่อนที่บ้านชายทะเลของเขาที่ชะอำเป็นครั้งคราว

คู่ชีวิตของไกรศรีชื่อ รัมภา เธอเคยเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ เมื่ออายุ 32 ลาออกมาทำงานอยู่ที่ยูซ่อมระยะหนึ่ง และเนื่องจากไกรศรีต้องไปปฏิบัติงานที่ต่างประเทศรัมภาจึงลาออกไปอยู่เป็นเพื่อนกับไกรศรี ปัจจุบันจึงไม่ได้ประกอบอาชีพอะไร ซึ่งรัมภาบอกกับ "ผู้จัดการ" ว่า การที่พี่ไม่ได้ทำงานก็ดีจะได้อยู่เป็นเพื่อนกัน"

ไกรศรีมีบุตรชาย 3 คน คนโตชื่ออธิไกร อายุ 26 ปีทำงานอยู่ฝ่ายการตลาด โดยเป็น SALES MANAGER บริษัทผาแดง คนกลางชื่อกรณ์ อายุ 23 ปี ปัจจุบันทำงานที่ SG WARBURY BANK ที่อังกฤษ คนสุดท้ายอนุตร์อายุ 21 ปี เรียนวิศวะอยู่ LEHIGH UNIVERSITY ที่อเมริกา กรณ์และอนุตร์บินกลับมาอยู่เป็นเพื่อนคุณพ่อตอนคริสต์มาสที่ผ่านมาด้วย อธิไกรแสดงความรู้สึกของตัวเองว่า ผมว่าผมคิดถูกที่ตัวเองไม่รับราชการ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผมเสียใจมาก คนที่ผาแดงเป็นห่วงคุณพ่อกันทั้งนั้น"

วันนี้ไกรศรียังไม่ตัดสินใจที่จะทำอะไร มีคนมาชวนเขาไปทำธุรกิจหลายราย แต่ยังไม่ตัดสินใจเพราะเขาบอกว่าไม่อยากให้ใครมาเดือดร้อน "ผมอยากอยู่เฉยๆ สักระยะหนึ่ง ตอนนี้ยังเร็วไปที่จะบอกว่าจะทำอะไร ไม่ต้องห่วงผมคงไม่อดตายหรอก" ไกรศรีเล่ากับ "ผู้จัดการ" เป็นประโยคสุดท้ายด้วยเสียงหัวเราะขื่นๆ เหมือนจะเยาะโชคชะตาที่เล่นตลกกับเขา

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us