|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
เครือสหวิริยาเชื่อโครงการโรงถลุงเหล็กไม่ได้รับผลกระทบจากการยื่นฟ้องศาลปกครองเอาผิดเจ้าหน้าที่เพิกเฉยการดูแลป่าพรุที่อ.บางสะพาน อ้างได้รับเอกสารสิทธิ์อย่างถูกต้องตามกฎหมายแถมตัดพื้นที่ดังกล่าวออกจากโครงการไปแล้ว มองแง่ดีศาลชี้ขาดจะได้ยุติข้อสงสัย ยันบริษัทพร้อมลงทุนหากรัฐมีนโยบายสนับสนุนที่ชัดเจน
นายวิน วิริยประไพกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) และกรรมการ เครือสหวิริยา เปิดเผยกรณีที่ศาลปกครองกลางรับฟ้องคดีสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนยื่นฟ้องหน่วยงานรัฐ 11 แห่งในฐานะหน่วยงานปกครองหรือเจ้าหน้าที่รัฐเพิกเฉย ละเลยหน้าที่ในการอนุรักษ์ดูแลพื้นที่ป่าพรุ ป่าชายเลน ต.แม่รำพึง อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะประโยชน์ โดยขอให้เพิกถอนเอกสารสิทธิที่ออกโดยไม่ชอบว่า การยื่นฟ้องดังกล่าว คงไม่ส่งผลกระทบต่อการลงทุน เนื่องจากเอกสารสิทธิต่างๆที่บริษัทฯถือครองที่ดินในพื้นที่นั้นออกมาอย่างถูกกฎหมาย ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ได้มีการตรวจสอบยืนยันว่าเป็นเอกสารที่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ได้มีการบุกรุกป่า
อย่างไรก็ตาม การยื่นฟ้องศาลปกครองกลางครั้งนี้ หากพิจารณาในแง่บวกก็เป็นโอกาสดีที่จะให้ศาลพิจารณาเพื่อยุติข้อสงสัยดังกล่าว
“ บริษัทฯยืนยันว่า เอกสารใบถือครองที่ดินเพื่อลงทุนโครงการโรงถลุงเหล็กที่อ.บางสะพานนั้นมาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยบริษัทฯได้ซื้อมาจากชาวบ้านมานานหลายสิบปีก่อนหน้านี้ จึงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ซึ่งการออกมาของสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนแบบนี้ ย่อมส่งผลกระทบต่อการลงทุน และเป็นการบั่นทอนความเชื่อมั่นนักลงทุนด้วย”
นอกจากนี้ พื้นที่ตั้งโครงการโรงถลุงเหล็กของเครือสหวิริยาทั้งหมด 1,163 ไร่ แม้ว่าจะ เป็นพื้นที่เอกสารสิทธิที่ถูกต้อง แต่เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาข้อพิพาท ทางเครือสหวิริยาจึงได้ตัดพื้นที่ที่มีข้อโต้แย้งดังกล่าวออกจากผังของโครงการฯ ไปจำนวน 17 แปลง กินพื้นที่ประมาณ 200 ไร่ไปนานแล้ว ซึ่งเป็นพื้นที่อยู่ในข่ายที่สมาคมฯได้ยื่นร้องต่อศาลปกครองกลางครั้งนี้
ส่วนความคืบหน้าโครงการลงทุนโรงงานถลุงเหล็ก ขณะนี้ได้ชะลอไปก่อนเนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนจากรัฐบาลที่จะสนับสนุนโครงการดังกล่าวเกี่ยวกับระบบสาธารณูปโภคทั้งไฟฟ้า โลจิสติกส์ อย่างไรก็ตาม หากรัฐมีนโยบายในเรื่องนี้ชัดเจนขึ้นบริษัทฯก็พร้อมที่จะลงทุน ขณะเดียวกันบริษัทฯก็ศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนโครงการดังกล่าวในจีนและเวียดนามด้วย
นายวิน กล่าวต่อไปว่า โครงการโรงถลุงเหล็กมีความจำเป็นในแง่เศรษฐกิจที่ภาครัฐต้องการส่งเสริมการลงทุนให้เกิดการจ้างงานในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ ขณะเดียวค่าใช้จ่ายในการลงทุนก่อสร้าง อุปกรณ์เครื่องจักรต่ำลงด้วย เนื่องจากหลายประเทศชะลอการลงทุนลง
สำหรับสถานการณ์ราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนขณะนี้ราคาทรงตัวอยู่ หลังจากปลายปีที่แล้วปรับตัวลดลงมาก ทำให้ลูกค้ามีการใช้สต็อกเหล็กจนปัจจุบันสต็อกสินค้าลดลง ส่วนผลกระทบจากอุตสาหกรรมยานยนต์ที่มียอดการผลิตลดลงนั้น ไม่ส่งผลกระทบมากนัก เนื่องจากธุรกิจยานยนต์ใช้เหล็กแผ่นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้ตลาดส่งออกยังมีความต้องการอยู่บ้าง ทำให้บริษัทฯหันไปส่งออกเหล็กแผ่นรีดร้อนเพิ่มขึ้น โดยราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนอยู่ที่ตันละ 500 เหรียญสหรัฐ
เมื่อเร็วๆนี้ ศาลปกครองกลางได้รับฟ้องคดีที่สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน พร้อมพวกรวม 50 คน ยื่นฟ้องหน่วยงานของรัฐ 11 แห่ง ในฐานะหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเพิกเฉยหรือละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติในการอนุรักษ์ รักษา คุ้มครองดูแลพื้นที่ป่าพรุ ป่าชายเลน ตำบลแม่รำพึง อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณประโยชน์ชุมชนใช้ร่วมกันมายาวนาน ประกอบด้วย 1. อบต.แม่รำพึง 2. อบต.กำเนิดนพคุณ 3. เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สาขาบางสะพาน 4.นายอำเภอบางสะพาน 5.ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
6.อธิบดีกรมที่ดิน 7.อธิบดีกรมป่าไม้ 8.อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์พืช 9.อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง 10.คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ 11.รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และมี บริษัท ประจวบพัฒนาดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (คู่กรณีฝ่ายที่สาม) ผู้ร้องสอด
|
|
|
|
|