Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน26 มีนาคม 2552
"โชติกา"ดันSCBAMโต20%ประกาศรั้งแชมป์เบอร์1ต่อ             
 


   
www resources

โฮมเพจ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด

   
search resources

โชติกา สวนานนท์
Funds
ไทยพาณิชย์, บลจ.




“โชติกา” ประกาศยก บลจ.ไทยพาณิชย์ รักษาแชมป์เบอร์หนึ่งกองทุนรวม ตั้งเป้าดันสินทรัพย์เติบโต 20% แม้ธุรกิจกองทุนรวมแข่งเดือด แถมมีหุ้นกู้เอกชนให้ผลตอบแทนสูง ออกมาล่อใจ กางแผนออกกองทุนปีนี้ เตรียมส่ง "บอนด์อิตาลี" อายุสั้นๆ 6 เดือนอีก 2 กอง พร้อมมองหาการลงทุนในประเทศอื่นต่อ เน้นหาผลตอบแทนหลังสวอปค่าเงินแล้ว สูงกว่าเงินฝาก ลั่น พร้อมสานต่อนโยบายเดิม หวังเติบโตยั่งยืน ชูยุทธศาสตร์เชิงรุก 4 ด้าน เดินหน้าคู่แบงก์แม่ รองรับฐานลูกค้ารายย่อย สถาบัน และลูกค้าที่มีเงินลงทุนสูง

นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายในการเพิ่มสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) ในปีนี้ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 3.5 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการขยายตัวของสินทรัพย์รวมประมาณ 20% ซึ่งเทียบเท่ากับเป้าหมายอัตราการเติบโตของธุรกิจกองทุนโดยรวม แม้ว่าสถานการณ์ในด้านธุรกิจกองทุนรวมมีการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่ดี และความเสียงต่ำจะหายากขึ้น ขณะที่อีกปัจจัยหนึ่งที่อาจจะเป็นคู่แข่งในตลาดคือการออกหุ้นกู้ภาคเอกชนที่ให้ผลตอบแทนสูงเพื่อจูงใจนักลงทุนซึ่งอาจตัดสินใจลงทุนโดยตรง

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว มักจะทำให้เม็ดเงินลงทุนไหลเข้ามายังธุรกิจกองทุนรวมมากขึ้น เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลง นักลงทุนจึงโยกย้ายเงินลงทุนเข้ามา เพื่อต้องการให้เม็ดเงินงอกเงยสำหรับในปีนี้มองว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯจะเคลื่อนไหวอยู่ระดับ 380 - 440 จุด

ทั้งนี้ บริษัทต้องการรักษาความเป็นอันดับ 1 ในธุรกิจกองทุนรวมต่อไป แต่จะเน้นการวางรากฐานที่ดีในระยะยาวมากกว่า เพื่อให้สามารถเจริญเติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยการสร้างฐานที่แข็งแกร่ง ได้แก่บุคลากรสำคัญที่สุดในองค์กร ขณะที่ลูกค้าเองบริษัทให้ความสำคัญเป็นอันดับ 1 อยู่แล้ว สำหรับนโยบายในปีนี้จะสานต่อนโยบายเดิม พร้อมเพิ่มศักยภาพและสร้างความแข็งแกร่งให้บริษัทในระยะยาว โดยจะให้ความสำคัญกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นลูกค้า ผู้ขายหน่วยลงทุนและพนักงาน เพื่อมอบผลประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ลงทุน

กรรมการผู้อำนวยการ บลจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า สำหรับผลิตภัณฑ์ของบริษัทถือว่ายังไม่ครบถ้วน แต่หากนับเฉพาะการลงทุนที่เป็นพื้นฐานก็มีทั้งหมดแล้วไม่ว่าจะเป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ และอสังหาริมทรัพย์ ส่วนการลงทุนในทองคำ น้ำมัน ฟิวเจอร์ ยังไม่ออกมาเสนอขายในช่วงนี้ แต่มองว่าควรจะมีการลงทุนในสินทรัพย์ดังกล่าวในอนาคต เพื่อให้ลูกค้าได้จัดสรรเงินลงทุน (Asset Allocation) ได้อย่างครบถ้วน

ส่วนกองทุนเปิดไทยพาณิชย์พันธบัตรอิตาลี 2Y1 (SCBIBF2Y1) ที่เน้นลงทุนในพันธบัตรหรือตราสารภาครัฐของประเทศอิตาลีได้เริ่มมีคำสั่งซื้อหน่วยลงทุนเข้ามาแล้ว คาดว่ากองทุนนี้จะสามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 2.1% แต่อาจจะออกได้เพียง 3 กองทุนเท่านั้น โดยกองทุนที่ออกมาหลังจากนี้จะมีอายุโครงการประมาณ 6 เดือน และมีอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ AA- โดยจะเข้าไปลงทุนในสถาบันการเงินที่มีปัญหาน้อย และคาดว่าจะสามารถให้ผลตอบแทนประมาณ 1.4% ต่อปี เนื่องอุปทานมีค่อนข้างน้อย

สาเหตุที่เลือกเข้าไปลงทุนในประเทศอิตาลี เนื่องจากเป็นประเทศในกลุ่ม G7 ซึ่งมีผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) มากกว่าประเทศไทยประมาณ 9 เท่า ซึ่งเมื่อสวอปค่าเงินกลับมาแล้วยังสามารถให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลไทย ส่วนที่ไม่ไปลงทุนยุโรปตะวันออก เนื่องจากคาดการณ์ว่าจะเป็นภูมิภาคที่มีปัญหามาก ซึ่งอิตาลีมีการลงทุนกับยุโรปตะวันออกเพียง 9% เท่านั้น ขณะที่การลงทุนในตราสารหนี้ของประเทศเกาหลีใต้แม้ว่าจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในประเทศไทย แต่ว่าความเสี่ยงก็เริ่มเพิ่มขึ้นตามลำดับเช่นกัน และเกาหลีใต้เองมี Credit Default Swap มีค่อนข้างสูง

ขณะเดียวกัน บริษัทเตรียมมองหาการลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศทุกภูมิภาคทั่วโลก ที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยเน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ และสถาบันการเงิน ส่วนบริษัทเอกชนจะไม่เข้าไปลงทุนเลย เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ไม่ทราบว่าอุตสาหกรรมใดจะได้รับกระทบบ้าง และลูกค้าไม่ชอบความเสี่ยง แต่ผลตอบแทนเมื่อหักการสวอปค่าเงินแล้วจะต้องมีส่วนต่างมากกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ 0.50% โดยประมาณ

ส่วนการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย หากสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีก็จะเปิดเสนอขายกองทุนออกเป็นระยะ แต่หากไม่สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีก็อาจจะหันมาออกหุ้นกู้ภาคเอกชนแทน ซึ่งจะคัดเลือกหุ้นกู้ที่มีคุณภาพดีเท่านั้น และมีอันดับความน่าเชื่อถือตั้งแต่ระดับ A-ขึ้นไป แต่จะไม่เข้าไปลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มที่มีหนี้มาก อาทิ ธุรกิจเครดิตการ์ด ธุรกิจลีสซิ่ง เป็นต้น

ทั้งนี้ เพื่อรองรับกองทุนตราสารหนี้ที่มีอายุ (Term Fund) ที่จะครบกำหนดในปีนี้มีประมาณ 4 หมื่นล้านบาท โดยในช่วงไตรมาสแรกมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้ามากองทุนเปิดไทยพาณิชย์สะสมทรัพย์ตราสารหนี้ (SCBSFF) ประมาณ 2.5 หมื่นล้านบาท ขณะที่หุ้นกู้ภาคเอกชนที่ออกมาในช่วงนี้ส่วนใหญ่จะมีอายุยาว และสามารถให้ผลตอบแทนที่ประมาณ 5 – 7% หากไม่สามารถนำมาออกกองทุนได้ บริษัทก็จะนำเสนอแก่ลูกค้าโดยตรงแทน

นางโชติกา กล่าวว่า จากประสบการณ์การทำงานมากว่า 13 ปี ในธุรกิจกองทุน ทำให้เล็งเห็นว่าปัจจัยสำคัญในการผลักดันให้องค์กรก้าวสู่ความสำเร็จคือบุคคลากรที่นอกจากจะต้องมีความรู้ความสามารถแล้ว ยังต้องทำงานในลักษณะทีมเวิร์กภายใต้วัฒนธรรมองค์กรเดียวกัน และที่สำคัญคือจะต้องมีหัวใจของการบริการ นอกจากนี้ หัวใจที่สำคัญของธุรกิจกองทุนรวม คือความเชื่อมั่น และความไว้วางใจจากนักลงทุนนั่นเอง

ดังนั้น ในการเข้ามาบริหารงานที่ บลจ.ไทยพาณิชย์ ได้วางนโยบายการดำเนินงานในเชิงรุก โดยจะให้ความสำคัญกับการแบ่งกลุ่มลูกค้าอย่างชัดเจน โดยแบ่งเป็น กลุ่มลูกค้ารายย่อย ลูกค้าสถาบัน และลูกค้าที่มีเงินลงทุนสูง (High Networth) โดยมีแผนเพื่อรองรับกับการเติบโตอย่างมั่นคง 4 ด้าน ได้แก่ ด้านแรกคือการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ถือหน่วยอย่างต่อเนื่อง โดยจะเน้นกองทุนประเภทความเสี่ยงต่ำ แต่ยังสามารถให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารพาณิชย์ โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มสินทรัพย์จากกลุ่มลูกค้านิติบุคคล SMEs และลูกค้าที่มีเงินลงทุนสูง ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท

ด้านที่สอง คือการเพิ่มศักยภาพทีมงานให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละกลุ่ม โดยเฉพาะความสามารถในการให้คำปรึกษาด้านการจัดการลงทุน (Investment Management) เพื่อให้คำแนะนำในด้านการจัดสรรเงินลงทุน ส่วนลูกค้ารายย่อยจะมีทีงานออกไปให้คำแนะนำด้านการลงทุนผ่านพนักงานสาขาของธนาคาร

สำหรับการดำเนินงานในด้านที่สามคือการพัฒนาช่องทางการจำหน่ายใหม่ๆ เพิ่มจากการขายผ่านสาขาของธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นตัวแทนขายหรือ Selling Agent ลูกค้ากลุ่ม Private Wealth ลูกค้านิติบุคคล และลูกค้าสถาบัน รวมไปถึงการพัฒนาช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (E-Channel) พร้อมพัฒนาบริการต่างๆ ในช่องทางดังกล่าว เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้ามากขึ้น และยังเป็นการขยายฐานลูกค้าด้วย โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มลูกค้าขึ้นไป 20% เป็น 4.2 แสนราย

ในส่วนของแผนงานด้านที่สี่คือการสร้างองค์กรให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น โดยจะพัฒนากระบวนการทำงานให้สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจ และเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ นอกเหนือจากการบริหารจัดการที่ดีแล้ว ยังต้องมีวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นการทำงานเป็นทีม มีความรับผิดชอบ ซื้อสัตย์ และมีคุณธรรม

นางโชติกา กล่าวทิ้งท้ายว่า ในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารไทยพาณิชย์ได้ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ทั้งด้านการขายผ่านสาขาเกือบ 1 พันสาขาทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีการขายผ่านสาขาของธนาคารถึง 99% และกว่า 90% ก็เป็นลูกค้าแบงก์ด้วย รวมทั้งการสนับสนุนด้านการบริการผ่านระบบที่สมบูรณ์แบบ เช่น การทำธุรกิจออนไลน์ผ่านทาง SCB Easy Net อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนที่จะออกบริการใหม่ๆ รวมทั้งสร้างยังสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น ดังนั้น ในช่องต่อไปก็จะเห็นกิจกรรม CRM ที่บริษัทจัดขึ้นเพื่อลูกค้าแต่ละกลุ่มมากยิ่งขึ้น   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us