เรื่องของนารายณ์ภัณฑ์และเดอะมอลล์ที่จับมือกันเปิดโครงการศูนย์หัตถกรรมสินค้าไทย
ดูจะเป็นตัวอย่างของการปรับตัวของธุรกิจที่มีจุดเริ่มต้นต่างกันเป็นคนละเรื่อง
นารายณ์ภัณฑ์จนถึงปีนี้เป็นปีที่ 51 นับจากปี 2480 ที่เริ่มก่อตั้งในชื่อร้านไทยอุตสาหกรรม
ที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของกองอุตสาหกรรม กระทรวงเศรษฐการ การเจริญเติบโตเป็นฉันใดคงไม่ต้องเอ่ยอ้างอีก
แม้ในปี 2505 จะย้ายมาขึ้นกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมกระทรวงอุตสาหกรรม ก็หาได้ทำให้ผลประกอบการของนารายณ์ภัณฑ์ดีขึ้นอย่างที่ควรจะเป็นก็หาไม่
จนขวบปีที่ 47 ของนารายณ์ภัณฑ์จึงได้เกิดปรากฎการณ์ประหลาดที่ไม่เกิดบ่อยนัก
กระทรวงอุตสาหกรรมก็หาได้ทำให้ผลประกอบการของนารายณ์ภัณฑ์ดีขึ้นอย่างที่ควรจะเป็นก็หาไม่
จนขวบปีที่ 47 ของนารายณ์ภัณฑ์จึงได้เกิดปรากฎการณ์ประหลาดที่ไม่เกิดบ่อยนัก
กระทรวงอุตสาหกรรม สมัย อบ วสุรัตน์ เป็นรัฐมนตรี ประกาศ "ปรับปรุงการดำเนินงานของนารายณ์ภัณฑ์
ให้มีลักษณะเป็นธุรกิจเพื่อให้สามารถสนองนโยบายของรัฐบาลในการส่งเสริมอุตสาหกรรมภายในครอบครัว"
นารายณ์ภัณฑ์ถูก อบ วสุรัตน์ PRIVATIZATION เข้าสู่อ้อมอกเอกชนไปในที่สุด
ปี 2528 เป็นปีแรกที่เอกชนแสดงศักยภาพให้เห็นตามทฤษฎีที่ว่า "ไม่มีกิจการแสวงหากำไรสูงสุดใดที่ราชการทำได้ดีเท่าเอกชน"
สุภีร์ สนิทวงศ์ เป็นกรรมการผู้จัดการคนแรกหลังการเปลี่ยนโฉม โดยเอกชนถือหุ้น
70% ในขณะที่กระทรวงอุตสาหกรรมถือเพียง 30% ที่เหลือ
ปี 2529 อภิชัย จันทรเสน ก็ก้าวขึ้นเป็นกรรมการผู้จัดการคนที่สอง
ผลจากการที่เอกชนเข้าบริหาร ได้มีการขยายสาขาออกไปมากมายจากที่หลานหลวงเพียงแห่งเดียว
ก็ขยายไปที่โซโก้ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ เพนนินซูลาพลาซ่า ร้านค้าปลอดภาษีของการบินไทยที่สีลม
และที่พาต้าอินทรา
นอกจากนี้ยังขยายไปต่างจังหวัด ที่เชียงใหม่ ร้านค้าปลอดภาษีที่ภูเก็ต
ในโรงแรมเมอริเดียนและที่พัทยาในโรงแรมรอยัลคลิฟ
ปีนี้เป็นปีเติบโตแบบก้าวกระโดดของนารายณ์ภัณฑ์อย่างเห็นได้ชัด "เราจะร่วมกับทางเดอะมอลล์เปิดศูนย์หัตถกรรมสินค้าไทยที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์
เป็นนารายณ์ภัณฑ์พาวิลเลี่ยน" กรรมการผู้จัดการนารายณ์ภัณฑ์บอกถึงจังหวะก้าวล่าสุด
นารายณ์ภัณฑ์เริ่มต้นจากระบบราชการแล้วไม่ประสบความสำเร็จ แต่กลับมีชีวิตชีวาเอามากๆ
เมื่อเอกชนเข้ามาเทคโอเวอร์
ช่างแตกต่างเป็นตรงข้ามกับเดอะมอลล์ 1 ที่ราชดำริเสียเหลือเกิน
เดอะมอลล์เป็นห้างสรรพสินค้าที่เกิดจากการจับมือของภัทรประสิทธิ์และอัมพุชที่ดองกันโดยเกิดขึ้นเมื่อ
6 ปีที่แล้ว
สมัยนั้นแถวราชดำริยังเป็นทำเลทอง จะมีก็แต่เพียงไทยไดมารู ซึ่งนับวันมีแต่จะโรยรา
และเซ็นทรัล ชิดลม ที่ไม่รุ่งเรืองมากๆ อย่างที่จิราธิวัฒน์คิด เดอะมอลล์ในช่วงนั้นก็เลยตักตวงกำไรอย่างสนุกสนาน
"ตอนนั้นว่ากันว่าเขาขายพื้นที่ 100 ยูนิต ได้ภายใน 3 วัน หลังเปิดจอง
ขึ้นหรือไม่ขึ้นผมต้องบอกไหม" คนวงการห้างสรรพสินค้าทวนอดีตให้ฟัง
อัมพุชเองก็หวังว่าราชดำริคงจะเป็นทำเลทองให้ตนเก็บเกี่ยวตลอดไป แต่เป็นธรรมดาของเมืองไทยอยู่เอง
ธุรกิจใดที่ทำกำไรดีมักจะมี NEW COMER เข้ามาอยู่เรื่อยๆ ช่วงปี 2527 ห้างสรรพสินค้าในย่านใกล้เคียงผุดขึ้นมามากมาย
มากเสียจนอัมพุชต้องหาทำเลทองใหม่ให้เดอะมอลล์
อัมพุชไปเบิกเดอะมอลล์ที่รามคำแหง ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้ละเลยเดอะมอลล์ที่ราชดำริ
เดอะมอลล์ที่ราชดำริได้รับการปรับโฉมเป็น "โมเดอร์นคอมเพล็กซ์"
เน้นบูติก แต่ช่างเป็นโชคร้ายเสียนี่กระไร บูติกตลาดล่างก็บูมตามและฟาดฟันโมเดอร์นคอมเพล็กซ์เสียอยู่หมัด
มาถึงวันนี้ เดอะมอลล์ต้องมาคิดถึงอนาคตของตัวเองแล้วเพราะ "ก็อยู่ในสภาพที่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงมาก
ห้างเก่าที่มีอยู่ก็มากมาย แถมยังจะมีเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ที่กำลังจะเปิดที่จอดรถเราก็ไม่มี
พื้นที่ก็ขยายไม่ออก" ศุภลักษณ์ อัมพุช ลูกสาวคนเก่งของศุภชัย อัมพุช
เจ้าของห้างเดอะมอลล์ระบายให้ฟัง
เดอะมอลล์จึงต้องวางตำแหน่งตัวเองใหม่ "เราตกลงใจที่จะร่วมกับทางนารายณ์ภัณฑ์เปิดเป็นนารายณ์ภัณฑ์พาวิลเลี่ยน"
ศุภลักษณ์ บอก
ว่าไปแล้วก็เป็นทางออกของทั้ง 2 ฝ่าย ในขณะที่เดอะมอลล์ต้องการปรับโฉม
ส่วนนารายณ์ภัณฑ์ต้องการขยายอาณาจักร
และงานนี้ทางนารายณ์ภัณฑ์ได้มานิ รัตนสุวรรณ นักการตลาดระดับ GURU อดีตกรรมการผู้จัดการพรีเมียร์มาเก็ตติ้ง
และยังเป็นนายกสมาคมการตลาดแห่งประเทศไทยมาร่วมวงไพบูลย์ด้วยคนหนึ่ง
มานิตเข้ามาเป็นเพียงที่ปรึกษาทางด้านการตลาดของนารายณ์ภัณฑ์ แต่บทบาทของเขาคงจะไม่เป็นเพียงแค่ที่ปรึกษาเท่านั้น
"เขาคงจะเข้ามาวางแนวคิดทางการตลาด เขานี่แหละที่จะเป็นตัวที่จะบอกทิศทางตลาดในอนาคตของนารายณ์ภัณฑ์พาวิลเลี่ยน"
คนในวงการทำนายเหมือนอย่างที่หลายๆ คนคิด
มานิตเข้ามาร่วมในโครงการนารายณ์ภัณฑ์พาวิลเลี่ยนเพราะการชักชวนของอาจารย์เก่า
คือ ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน ซึ่งเป็นประธานที่ปรึกษานารายณ์ภัณฑ์ และตัวมานิตเองก็ชอบ
เพราะอยากทำมาร์เก็ตติ้งศิลปวัฒนธรรมไทยอยู่แล้วด้วย
"ผมจะเอาหลักมาร์เก็ตติ้งเข้ามาใช้ในการจัดการนารายณ์ภัณฑ์พาวิลเลี่ยน
ในอนาคตจะมีการตั้งโรงละครที่นำเอาเทคโนโลยีมาใช้ทุกรูปแบบ" มานิต กล่าวถึงโครงการในอนาคตอันใกล้
แผนการจอยน์เวเจอร์ของเดอะมอลล์และนารายณ์ภัณฑ์ในวันนี้ยังไม่ลงตัวนัก
เพราะ "เรายังไม่ได้เตรียมแผนการอะไรสมบูรณ์ดีเลย เพราะหนังสือพิมพ์ผู้จัดการของคุณไปลงข่าวก่อนเราเลยต้องแถลงข่าวอย่างกะทันหัน
มานิต รัตนสุวรรณ ยอมรับ
เดอะมอลล์จึงเพียงแค่มอบพื้นที่ 15,000 ตารางเมตรให้นารายณ์ภัณฑ์จัดการปรับเปลี่ยนเป็นศูนย์สินค้าหัตถกรรมที่สมบูรณ์แบบที่สุด
ปัญหาที่จะตามมาก็คือ "เรื่องเกี่ยวกับร้านค้า คุณดูต่อไปเถอะเดี๋ยวต้องมีการโวยวายแน่ๆ
พวกบูติคเขาจะปรับตัวกันอย่างไร เมื่อพบกับสภาพการเปลี่ยนโฉมชนิดหน้ามือเป็นหลังมือแบบนี้"
คนที่เฝ้ามองตั้งข้อสังเกต
มองนารายณ์ภัณฑ์และเดอะมอลล์จับมือกันในครั้งนี้คงจะเห็นสัจธรรมทางธุรกิจได้ดี
นารายณ์ภัณฑ์เริ่มต้นด้วยการบริหารแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ แบบราชการแล้วก็หันมาบุกแหลกนั่นเป็นเพราะเอกชนเข้ามาบริหารแทนรัฐส่วนเดอะมอลล์สตาร์ทด้วยความรุ่งโรจน์
แต่จบลงด้วยลักษณะไม่น่าประทับใจในสายตาผู้เฝ้ามอง
นารายณ์ภัณฑ์พาวิลเลี่ยนจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการเดือนเมษายนนี้ จนถึงวันนี้การตกลงอย่างเป็นทางการยังไม่ลงตัว
แต่สำหรับอนาคตแล้ว "น่าจะโชติช่วงชัชวาลอย่างไม่ต้องสงสัย" แหล่งข่าวทำนายผลของการผนึกกำลังครั้งนี้กับ
"ผู้จัดการ"