บอร์ดแบงก์กรุงศรีอยุธยา อนุมัติออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิ มูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท
เพื่อนำเงินไปไถ่ถอนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดปีหน้า หวังลดภาระต้นทุนดอกเบี้ยที่สูงถึง
11-12% ด้านผู้บริหาร ยันไม่เกี่ยวกับนโยบายของแบงก์ชาติที่ให้ธนาคารพาณิชย์มีการตั้งสำรองเพิ่ม
ระบุสำรองอยู่ที่ระดับ 130% แล้ว
นายกฤตย์ รัตนรักษ์ ประธานกรรมการ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา หรือ BAY กล่าวว่า ที่ประชุมคณะกรรมการธนาคารครั้งที่
9/2546 เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2546 ได้มีมติให้ออกและเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิ ชนิดระบุชื่อผู้ถือ
ไม่มีหลักประกัน ไม่แปลงสภาพ มูลค่าไม่เกิน 12,000 ล้านบาท โดยจะเสนอขายหุ้นกู้แบบกรณีทั่วไป
ตามประกาศคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รวมทั้งธนาคารมีแผนที่จะนำหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่ออกในครั้งนี้เข้าจดทะเบียนในศูนย์ซื้อขายตราสารหนี้ไทยด้วย
สำหรับวัตถุประสงค์ของการเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิดังกล่าว เพื่อประโยชน์ในการเสริมฐานะเงินกองทุนชั้นที่
2 และลดต้นทุนทางการเงินของธนาคาร ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมความพร้อมในการไถ่ถอนหุ้นกู้ด้อยสิทธิของธนาคารที่จะครบกำหนด
และเพื่อการขยายธุรกิจธนาคารในอนาคต
ส่วนรายละเอียดและเงื่อนไขเกี่ยวกับหุ้นกู้ด้อยสิทธิ และรายละเอียดของการเสนอขาย
อาทิ มูลค่าที่ตราไว้ อัตราดอกเบี้ย ราคา เสนอขาย การไถ่ถอน ระยะเวลาการออกและเสนอขาย
วิธีการจัดสรร รวมถึงดำเนินการที่เกี่ยวข้องหรือจำเป็นในการออกและเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิ
และ/หรือการไถ่ถอนหุ้นกู้ด้อยสิทธิดังกล่าว ได้มอบหมายให้คณะกรรมการบริหาร หรือบุคคล
ที่คณะกรรมการบริหารมอบหมาย หรือประธานกรรมการ หรือกรรมการผู้จัดการใหญ่เป็นผู้ดำเนินการ
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการธนาคาร ยังได้มีมติให้งดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล
สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก สิ้นสุด วันที่ 30 มิถุนายน 2546 เนื่องจากยังมีขาดทุนสะสม
ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535
แหล่งข่าวจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่าธนาคารมีนโยบายที่จะไถ่ถอนหุ้นกู้ด้อยสิทธิทั้งหมดที่มีจำนวนประมาณ
21,000 ล้านบาท เพื่อเป็นการลดภาระต้นทุนอัตราดอกเบี้ย จึงได้เสนอคณะกรรมการให้อนุมัติออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิจำนวน
12,000 ล้านบาท เพื่อเตรียมพร้อมของการไถ่ถอนหุ้นกู้ของเก่าจำนวนดังกล่าว
สำหรับจำนวนหุ้นกู้ด้อยสิทธิของธนาคารที่มีจำนวน 21,000 ล้านบาทนั้น ส่วนหนึ่งเป็นหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่ธนาคารได้ออกมาก่อนหน้านี้จำนวน
8,000 ล้านบาท ซึ่งธนาคารมีสิทธิไถ่ถอน ก่อนครบกำหนด (Call Option) ในเดือนพฤศจิกายน
2546 อัตราดอกเบี้ยประมาณ 12.5% และส่วนที่สอง จะเป็นสลิปส์ที่ธนาคารได้ออกมา ช่วงก่อนจำนวน
26,000 ล้านบาท ครึ่งหนึ่งของ สลิปส์จะเป็นหุ้นกู้ด้อยสิทธิจำนวน 13,000 ล้านบาท
ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนมีนาคม 2547 อัตราดอกเบี้ยที่ออกหุ้นกู้ช่วงนั้นประมาณ
11%
ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยหุ้นกู้ของทั้ง 2 ส่วน ถือว่าเป็นอัตราที่สูงมากเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบัน
ทำให้เป็นภาระต้นทุนในแต่ละปีของธนาคารจำนวนมาก ดังนั้นธนาคารจึงต้อง การที่จะลดภาระดอกเบี้ยที่สูง
จึงมีนโยบายที่จะไถ่ถอนทั้งหมด
"การขอมติออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อรีไฟแนนซ์หุ้นกู้เดิมที่มีดอก
เบี้ยสูงเท่านั้น เพื่อบริหารต้นทุนปกติ ไม่เกี่ยวข้อง กับการตั้งสำรอง เพราะขณะนี้แบงก์มีการตั้งสำรองเกินกว่าเกณฑ์ของแบงก์ชาติกำหนดไว้แล้ว
คือมีสำรองประมาณ 130% นับได้ว่าเป็นสัดส่วน ที่สูงมากเมื่อเทียบกับระบบ"
สำหรับฐานะของธนาคารนั้น มีความเข้มแข็งอย่างมาก โดยหลังจากมีการเพิ่มทุนในช่วงที่ผ่านมา
ธนาคารมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง ตามมาตรฐานบีไอเอสประมาณ 12.77% เป็นเงิน
กองทุนขั้นที่ 1 ประมาณ 8.5% ที่เหลือจะเป็นเงิน กองทุนขั้นที่ 2 ซึ่งถือว่าสูงกว่าเกณฑ์ธนาคารแห่ง
ประเทศไทยกำหนดเท่าตัว และเมื่อรวมกับกำไร ของงวดเดือนมิถุนายนแล้วจะส่งผลให้เงินกอง
ทุนของธนาคารสูงขึ้นตามไปด้วย ทำให้สามารถรองรับการขยายธุรกิจได้อย่างมาก
"แบงก์ไม่มีปัญหาเรื่องเงินกองทุนหรือเรื่องการตั้งสำรอง การขอออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิครั้งนี้วัตถุประสงค์หลักเป็นเพียงการบริหารต้น
ทุนที่ลดภาระดอกเบี้ยเท่านั้น ซึ่งมั่นใจว่าดอกเบี้ย ในขณะนี้จะต่ำกว่าช่วงที่ผ่านมาแน่นอน
รวมทั้งสภาพคล่องส่วนเกินที่มีอยู่สูงในระบบขณะนี้ จะเป็นตัวสนับสนุนให้หุ้นกู้ด้อยสิทธิของแบงก์เป็นที่สนใจของนักลงทุน"
แหล่งข่าวกล่าว
ส่วนระยะเวลาหรือจำนวนที่ธนาคารจะออก หุ้นกู้ด้อยสิทธินั้น ธนาคารคงจะต้องพิจารณากันอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อมีช่วงที่เหมาะสมแล้ว
ก่อนหน้านี้ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ได้ทำการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 1,000
ล้านหุ้น ราคาเสนอขายหุ้นละ 10 บาท กำหนดเปิดจองซื้อและรับชำระหุ้นระหว่างวันที่
19 - 22 สิงหาคม 25746 ที่ผ่านมา ปรากฏว่า ขายได้หมดทั้งจำนวน ทำให้ได้เงินค่าหุ้นรวมทั้งสิ้น
10,000 ล้านบาท หักค่าใช้จ่ายในการขาย 425 ล้านบาท คงเหลือสุทธิจำนวน 9,575 ล้านบาท
BAY-W 1 เทรด 8 ก.ย.นี้
ขณะเดียวกันวานนี้ (4 ก.ย.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายงานว่าตลาดหลักทรัพย์ฯได้สั่งรับใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของธนาคารกรุงศรีอยุธยา
จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1 จำนวน 1,239,067,755 หน่วย เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน
และกำหนดให้เริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ตั้งแต่วันที่ 8 กันยายน 2546
เป็นต้นไป โดยจัดอยู่ในหมวดใบสำคัญแสดงสิทธิและใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์
ว่า "BAY-W1"