|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ตลาดหลักทรัพย์ฯประเดิมคลอดมาตรการแรก “ลดช่วงราคาซื้อขาย” (สเปรด) ให้แคบลง หวังสนับสนุนนักลงทุนเทรดหุ้นมากขึ้น เพิ่มความสะดวกกและลดต้นทุนการซื้อขาย และสอดคล้องกับกลยุทธ์การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของตลาดทุนไทย ด้านตลาดหุ้นไทยวานนี้ (23 มี.ค.) คึกคัก นักลงทุนลุ้นเก็งกำไรมาตรการแก้หนี้เน่าภาคการเงินของสหรัฐฯ
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (23 มี.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวอยู่ในแดนบวกตลอดทั้งวัน สอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาค ที่ต่างรอลุ้นมาตรการกระตุ้นภาคการเงินของสหรัฐฯ โดยดัชนีได้ปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 440.09 จุด ต่ำสุดที่ 432.15 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ 438.17 จุด เพิ่มขึ้นจากวันก่อน 8.53 จุด หรือคิดเป็น 1.99% มูลค่าการซื้อขายรวม 15,333.34 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิถึง 1,249.13 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 401.81 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 1,650.94 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.ปตท. (PTT) ราคาปิดที่ 160 บาท เพิ่มขึ้น 9 บาท หรือคิดเป็น 5.96% มูลค่าการซื้อขาย 2,735.41 ล้านบาท บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) ราคาปิด 98 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือ 0.51% มูลค่าการซื้อขาย 1,929.44 ล้านบาท และบมจ.บ้านปู (BANPU) ราคาปิด 224 บาท เพิ่มขึ้น 12 บาท หรือ 5.66% มูลค่าการซื้อขาย 1,220.10 ล้านบาท
รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แจ้งว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ส่งหนังสือเวียนไปยังบริษัทหลักทรัพย์สมาชิกทุกแห่งและบริษัทหลักทรัพย์ที่ไม่ใช้สมาชิก เรื่องการปรับปรุงหลักเกณฑ์ช่วงราคาซื้อขาย (Price Spread) เพื่อเสริมสภาพคล่องและลดต้นทุนในการซื้อขายหลักทรัพย์ (Execution Cost) โดยให้ลดจำนวนระดับราคาจากเเดิม 10 ระดับ (เริ่มใช้ตั้งแต่พ.ย. 2544) เหลือ 8 ระดับ และปรับลดระดับความกว้างของช่วงราคาจากเดิม 0.48-0.97% เป็น 0.34-0.79% ซึ่งหลักเกณฑ์ดังกล่าวได้ผ่านการรับฟังความเห็นจากที่ประชุมสมาชิกแล้ว
ขณะเดียวกัน ตลาดหลักรัพย์ฯ ยังได้ปรับปรุงการเผยแพร่ข้อมูลราคาและปริมาณเสนอซื้อที่ดีที่สุด (Best Bid) และราคาเสนอขายที่ดีที่สุด (Best Offer) ไปยังสมาชิกและผู้รับข้อมูล (Subscriber) จาก 3 ระดับ ราคาเป็น 5 ระดับราคา เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับปรุงช่วงราคาซื้อขาย โดยหลักเกณฑ์ข้างต้นมีผลบับคับใช้ตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม 2552
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ปรับเกณฑ์ช่วงราคาซื้อขายใหม่ด้วยการโดยปรับให้ช่วงราคาซื้อขายตั้งแต่ 50 บาทขึ้นไปแคบลง ซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสในการซื้อขายของผู้ลงทุนมากขึ้น และสอดคล้องกับตลาดหุ้นต่างประเทศที่มีแนวโน้มจะปรับช่วงราคาให้แคบลง นับเป็นการเพิ่มความน่าสนใจให้ตลาดทุนไทย ที่มุ่งอำนวยความสะดวกและลดต้นทุนในการซื้อขายของผู้ลงทุน สอดคล้องกับกลยุทธ์การเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของตลาดทุนไทย
โดยช่วงราคาเสนอซื้อขายที่ปรับใหม่ ได้กำหนดให้ราคาเสนอซื้อขายตั้งแต่ 25 บาทแต่ต่ำกว่า 100 บาท มีช่วงราคาเท่ากับ 0.25 บาท ราคาเสนอซื้อขายตั้งแต่ 100 บาท แต่ต่ำกว่า 200 บาท ช่วงราคา 0.50 บาท ราคาเสนอซื้อขายตั้งแต่ 200 บาท แต่ต่ำกว่า 400 บาท ช่วงราคา 1.00 บาท และราคาเสนอซื้อขายตั้งแต่ 400 บาทขึ้นไป ช่วงราคา 2.00 บาท สำหรับราคาเสนอซื้อขายที่ต่ำกว่า 50 บาท ให้ใช้ช่วงราคาเดิม
อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะปรับปรุงการเผยแพร่ข้อมูลราคาเสนอซื้อและราคาเสนอขายที่ในปัจจุบันแสดงราคาที่ดีที่สุด (Best bid/Best offer) 3 ระดับแรก เป็น 5 ระดับ เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับปรุงช่วงราคาซื้อขาย อีกทั้งเป็นการเพิ่มข้อมูลประกอบการตัดสินใจซื้อขายให้แก่ผู้ลงทุน เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถวิเคราะห์ภาวะตลาดและเสนอราคาซื้อขายได้ตรงความต้องการมากที่สุด
ลุ้มมาตรการแก้หนี้เน่าสหรัฐฯ
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟาร์อีสท์ จำกัด กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้น วานนี้ (23 มี.ค.) เคลื่อนไหวอยู่ในแดนบวกตลอดทั้งวันท่ามกลางความคาดหวังของนักลงทุนในเชิงบวกต่อแผนจัดการหนี้เสียภาคสถาบันการเงินของสหรัฐฯ ที่มูลค่าถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะกลายเป็นตัวแปรที่สำคัญในการกำหนดทิศทางระบบการเงินโลก ขณะที่ความเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเทศไม่ได้ส่งผลต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยมากนัก
สำหรับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ น่าจะปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่นักลงทุนควรจับตาตลาดหุ้นต่างประเทศ ราคาน้ำมันโลก และการเมืองในประเทศ รวมถึงรายละเอียดของมาตรการบริหารจัดการหนี้เสียภาคการเงินของสหรัฐฯ ดังนั้นนักลงทุนควรเทขายหุ้นทำกำไรหากดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นใกล้ระดับ 445 จุด โดยประเมินแนวรับไว้ที่ 430 จุด และแนวต้านที่ 445 จุด
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) หรือ CNS กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยค่อนข้างคึกคักจากแรงซื้อของนักลงทุนสถาบันและกองทุนก่อนปิดงวดบัญชี (Window Dressing) ของผลประกอบการไตรมาส 1/52 ที่เชื่อว่าจะเกิดขึ้นในช่วง 2-3 วัน ของต้นสัปดาห์นี้ เนื่องจากในช่วงปลายสัปดาห์จะมีการนัดชุมนุมของกลุ่ม นปช.เพื่อต้องการขับไล่รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ขณะที่ตัวแปรนอกประเทศที่สำคัญจะเป็นเรื่องการประเมินของนักลงทุนว่ามาตรการแก้ไขหนี้ภาคการเงินของสหรัฐฯ ผ่านพ้นไปด้วยดี และน่าจะทำให้นักลงทุนหันมาสนใจซื้อหุ้นของกลุ่มธนาคารและสถาบันการเงินในตลาดหุ้นทั่วโลก
“ตลาดหุ้นไทยน่าจะแกว่งตัวในกรอบแคบๆ โดยนักลงทุนควรจับตลาดหุ้นต่างประเทศ ราคาน้ำมันโลก และการเมืองในประเทศ แต่แนะนำให้นักลงทุนควรชะลอการลงทุนออกไปก่อนเพื่อรอดูสถานการณ์ โดยมีแนวรับอยู่ที่ 430 จุด แนวต้านที่ 450 จุด”
ด้านนายธวัชชัย อัศวพรไชย ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.โกลเบล็ก จำกัด กล่าวว่า นักลงทุนในตลาดหุ้นต่างคาดหวังนโยบายการคลังของสหรัฐฯ ที่จะร่วมทุนกับภาคเอกชนในการซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของสถาบันการเงินในประเทศ ซึ่งจะส่งผลดีและภาคการเงิน ทำให้นักลงทุนกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นค่อนข้างคึกคัก
“วันนี้ตลาดหุ้นไทยน่าจะยังปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งนักลงทุนต้องติดตามทิศทางตลาดหุ้นดาวโจนส์และเอเชีย ราคาน้ำมันโลก ตลอดจนการชุมนุมขทางการเมือง ดังนั้นนักลงทุนต้องระวังแรงเทขายที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อดัชนีใกล้แตะ 444 จุด โดยให้แนวรับที่ 432-440 จุด และแนวต้านที่ 444 จุด”
|
|
|
|
|