ภ า พ ร ว ม
โนเกียเป็นกิจการผลิตโทรศัพท์มือถืออันดับ 1 ของโลก โดยมีอินเทอร์เน็ตเคลื่อนที่
เป็นกุญแจผลักดันความสำเร็จ บริษัทมีฐานกิจการอยู่ในฟินแลนด์ โดยมีจอร์มา
โอลิลา รั้งตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และเป็นผู้เผยแพร่โฆษณาว่า "จะนำอินเทอร์เน็ตเข้าไปไว้ในกระเป๋าของทุกๆ
คน"
แม้ว่ายอดขายราวสองในสามของโนเกียจะมาจากธุรกิจโทรศัพท์มือถือ บริษัทก็เพิ่มเข็มมุ่งไป
ที่ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานโดยการพัฒนาเทคโนโลยีสำหรับ เครือข่ายไร้สายรุ่นที่สาม
โนเกียจำหน่ายโทรศัพท์ และเซิร์ฟเวอร์สำหรับ WAP ซึ่งเป็นอินเทอร์เน็ตรุ่นที่ใช้ในอุปกรณ์สื่อสาร
นอกจากนั้น โนเกียยังเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง "บลูทูธ สเปเชียล อินเทอเรส กรุ๊ป"
ซึ่งเป็นระบบสื่อสารโดยใช้อุปกรณ์ไร้สาย และมีหน้าจออินเตอร์แอคทีฟอยู่ด้วย
แต่เครือข่ายไร้สายรุ่นที่สามจะเป็นกุญแจสำคัญต่อไปของโนเกีย ทั้งนี้บริษัทวิ่งแซงหน้าคู่แข่งไปก่อนด้วยโทรศัพท์ดิจิตอล
และครอบงำตลาดระบบการสื่อสารไร้สายระดับโลกไว้ได้ แต่ในตลาดสหรัฐฯ นั้น โนเกียยังทิ้งห่างคู่แข่งอยู่มาก
เพราะผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือหลายรายใช้มาตรฐาน QUALCOMM โนเกียจึงกำลังพัฒนาฐานธุรกิจสำหรับรองรับเทคโนโลยีรุ่นที่สามให้รอบด้าน
รวมทั้งยังร่วมมือกับโมโตโรล่าพัฒนาเทคโนโลยี 1Xtreme ให้เป็นมาตรฐาน อันจะเป็นการสู้กับระบบ
QUALCOMM ต่อไป
ค ว า ม เ ป็ น ม า
โนเกียเริ่มต้นกิจการเมื่อปี 1865 เมื่อเฟรดริก ไอเดสแตม วิศวกรชาวฟินแลนด์สร้างโรงงานผลิตกระดาษ
และเยื่อกระดาษริมฝั่งแม่น้ำโนเกีย จนกระทั่งกิจการเติบโตอย่างมาก แต่บริษัทก็ไม่เป็นที่รู้จักนอกประเทศมากนัก
จนกระทั่งบริษัทพยายาม ที่จะเป็นผู้นำในตลาดภูมิภาคในช่วงต้นทศวรรษ 1960
โดยในปี1962 บริษัทคอมพิวเตอร์ฝรั่งเศสชื่อ "แมชีน บุล" ได้คัดเลือกโนเกียเป็นตัวแทนของฟินแลนด์
และให้โนเกียเริ่มทำวิจัยทางด้านเทคโนโลยีแปลงสัญญาณวิทยุ ต่อมาในปี 1967
บริษัทได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลให้เข้าผนวกกิจการกับ "ฟินนิช รับเบอร์
เวิร์ค" (Finnish Rubber Work) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตรองเท้า และยาง (ก่อตั้งเมื่อปี
1898) และผนวกกิจการกับ "ฟินนิช เคเบิล เวิร์ค" (Finnish Cable Work) กิจการด้านเคเบิล
และอิเล็กทรอนิกส์ ที่ ก่อตั้งเมื่อปี 1912 แล้วตั้งเป็นบริษัทโนเกีย คอร์ปอเรชัน
วิกฤติการณ์น้ำมันในปี 1973 ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง และเกิดปัญหาขาดดุลการค้าในฟินแลนด์
โนเกียต้องประเมินสถานการณ์การค้า ที่เคย พึ่งพิงตลาดสหภาพโซเวียต (ชื่อในขณะนั้น
) เสียใหม่ และหันมามุ่งเน้น ที่สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ที่ใช้ตามบ้านเรือน
และในภาคธุรกิจแทน ธุรกิจพื้นฐานของโนเกียไม่ว่าจะเป็นกระดาษ เคมีภัณฑ์ กระแสไฟฟ้า
และเครื่องจักร ถูกปรับปรุงให้ทันสมัย และขยายไปสู่ด้านการผลิต หุ่นยนต์
ไฟเบอร์ออพติก และเยื่อกระดาษคุณภาพสูง
ปี 1981 บริษัทเข้าซื้อหุ้น 51% ในฟินนิช เทเลคอม ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งแล้วเปลี่ยนชื่อเป็น
"เทเลโนเกีย" ปีถัดมาโนเกียได้ออกแบบ และติดตั้งระบบโทรศัพท์ดิจิตอลยุโรปแห่งแรก
และยังได้ซื้อหุ้นในกิจการ "ซาโลรา" (Salora) ซึ่งเป็นผู้ผลิตโทรทัศน์สีรายใหญ่ที่สุดในกลุ่มสแกนดิเนเวีย
รวมทั้งซื้อกิจการ "ลักเซอร์" (Luxor) รัฐวิสาหกิจด้านคอมพิวเตอร์ และอิเล็กทรอนิกส์ของสวีเดนด้วย
โนเกียเข้าถือครองหุ้นกิจการ "Sahkoliikkeiden" ผู้ขายส่งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใหญ่ที่สุดของฟินแลนด์
ในปี 1986 จากนั้น สร้างกลุ่มธุรกิจไอที ที่ใหญ่ที่สุดในสแกนดิเนเวียขึ้นในชื่อ
"โนเกีย เดต้า" ด้วยการซื้อแผนกข้อมูลจากอีริคสัน กรุ๊ปในปี 1988 ปรากฏว่ายอดขายของโนเกียพุ่งพรวด
แต่กำไรหดลงเนื่องจากการแข่งขันกัน ตัดราคาในสินค้าคอนซูเมอร์อิเล็กทรอนิกส์
ในที่สุดบริษัทก็ต้องขาย "โนเกีย เดต้า" ให้กับบริษัทไอซีแอลในปี 1991
เพื่อระดมเงินสด และซื้อกิจการผลิตโทรศัพท์ของอังกฤษคือ "เทคโนโฟน" (Technophone)
ซึ่งเป็นอันดับ 2 ในตลาดยุโรปรองจากตนเอง ภายใต้การนำของโอลิลา โนเกียมุ่งให้ความสำคัญกับธุรกิจโทรคมนาคม
และขายกิจการที่ไม่เกี่ยวกับธุรกิจหลักออกไป ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ ยาง และเครื่องจักรเคเบิล
ปลายปี 1993 โนเกียก็เริ่มวางจำหน่ายโทรศัพท์ระบบดิจิตอล โดยขั้นแรกคาดหมายยอดขาย
ที่ 400,000 เครื่อง แต่ปรากฏว่ายอดขายจริงทะลุ 20 ล้านเครื่อง นำความสำเร็จพร้อมกำไรหลายพันล้านดอลลาร์ให้บริษัทในปี
1995
ในปี 1998 โนเกียจำหน่ายโทรศัพท์ได้กว่า 40 ล้านเครื่อง และกลายเป็นบริษัทอันดับหนึ่งทางด้านโทรศัพท์เคลื่อนที่
ปีเดียวกันนั้น เอง ที่บริษัทขยายฐานธุรกิจไปด้านอินเทอร์เน็ต โดยการซื้อบริษัทขนาดเล็ก
ที่พัฒนาอี-คอมเมิร์ซ และเทคโนโลยีด้านโทรศัพท์ ปีต่อมาจึงขยายไปจับซอฟต์แวร์
WAP (Wireless Application Protocal) โดยใช้เซิร์ฟเวอร์เครือข่ายของฮิวเลตต์-แพคการ์ด
และไอบีเอ็ม พร้อมกันนั้น ยังได้เปิดตัวโทรศัพท์อีกหลายรุ่นที่ใช้กับ WAP
ในการเข้าสู่อินเทอร์เน็ต โนเกีย จึงขยายการเป็นผู้นำในตลาดโทรศัพท์ไร้สายได้ต่อไป
และซื้อกิจการอีกหลายราย เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านธุรกิจเครือข่าย IP
ปี 2000 โนเกียเข้าซื้อกิจการ "เน็ตเวิร์ค อัลเคมี" ผู้ผลิตซอฟต์แวร์ป้องกันระบบซื้อขายทางอิเล็กทรอนิกส์
ปีต่อมาจึงเริ่มผลักดันเทคโนโลยี 1Xtreme ของโมโตโรล่าให้เป็นมาตรฐานสำหรับเครือข่ายไร้สายรุ่นที่สาม