|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
แพรนด้าฯปรับเป้ายอดขายปีนี้โตติดลบเพิ่มเป็น 10%จากเดิมลบ 5% เนื่องจากราคาทองคำในตลาดโลกสูง ทำให้ลูกค้าหันไปสั่งซื้อเครื่องประดับที่ทำจากเนื้อเงินแทน มั่นใจคงอัตรากำไรขั้นต้นไว้เท่าเดิม ชี้ปีนี้ราคาทองคำสูงกว่าปีก่อน 12% ขณะที่เนื้อเงินลดลง 16%
นางสุนันทา เตียสุวรรณ์ ประธานการเงินกลุ่มบริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯปรับเป้าหมายยอดขายใหม่จากเดิมขยายตัวติดลบ 5% เพิ่มเป็นติดลบ 10 %จากปีก่อนที่มียอดขายรวม 4,030 ล้านบาท เนื่องจากวิกฤติการเงินโลกทำให้ลูกค้าชะลอการสั่งซื้อเครื่องประดับที่ทำจากทองคำโดยหันมาซื้อเครื่องประดับเงินแทน โดยจำนวนผลิตไม่ได้ลดลง ทำให้บริษัทฯยังคงอัตรากำไรขั้นต้นไว้เท่าเดิม 32% และมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 8-9%ของรายได้รวม
โดยปีนี้ราคาทองคำยังสูงเฉลี่ย 978 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 12% ขณะที่เนื้อเงินปีนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 12.6 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ลดลง 16%
“ในปีนี้บริษัทดูแลบริหารอัตราแลกเปลี่ยนให้เข้มข้นขึ้น มั่นใจว่าจะไม่มีตัวเลขขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน เหมือนปีก่อนที่ขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนถึง 88 ล้านบาท เนื่องจากค่าเงินบาทในปีนี้อ่อนค่ามากกว่าปีที่แล้ว และมีการซื้อฟอร์เวิร์ดเพื่อป้องกันความเสี่ยงด้วย รวมทั้งปีนี้จะไม่มีการบันทึกค่าเผื่อด้อยค่าของค่าความนิยมของบริษัทย่อยในต่างประเทศเหมือนปีก่อน ที่มีผลทำให้กำไรสุทธิปี 2551 เหลือเพียง 184 ล้านบาท ”
จากยอดคำสั่งซื้อสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของแพรนด้าฯในช่วง 2 เดือนนี้ (ม.ค.-ก.พ.)พบว่าลดลง 20% แต่ขณะนี้ออเดอร์เดือนมี.ค.-เม.ย.เริ่มกลับเข้ามา เชื่อว่าครึ่งปีแรกออเดอร์จะลดลง 10-15% แต่ครึ่งปีหลัง ออเดอร์จะดีขึ้น เนื่องจากทุกประเทศต่างอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจภายใน ซึ่งจะเห็นผลภายใน 6เดือนข้างหน้า ขณะเดียวกันบริษัทมีฐานลูกค้าที่แกร่งทำให้มีออเดอร์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการสร้างแบรนด์สินค้าของตนเองทำให้มาร์จินยังดีอยู่ ผนวกกับบริษัทฯได้มีการเจาะตลาดใหม่ไปยังจีน อินเดีย ตะวันออกกลางและรัสเซีย ซึ่งเป็นตลาดที่ยังมีอัตราการขยายตัวดีอยู่โดยปีนี้ตั้งเป้าตลาดใหม่โตขึ้น 5% แม้ว่าจะชดเชยตลาดสหรัฐฯที่หดไปไม่ได้ก็ตาม
โดยสัดส่วนตลาดส่งออกของแพรนด้าฯในปีนี้จะมาจากตลาดสหรัฐฯ 38% ลดลงจากปีก่อน 4 % สหภาพยุโรป 30 ลดลง1% ตลาดใหม่ (รัสเซีย อินเดีย จีนและตะวันออกกลาง) 30% เพิ่มขึ้น 5% ส่วนตลาดญี่ปุ่นคงที่ 2%
นางสุนันทา กล่าวต่อไปว่า ในปีนี้บริษัทฯตั้งงบลงทุนไว้ 50 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบที่ใช้ในการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและการทำตลาดในการขยายร้านค้าเครื่องประดับesse ที่จีนจาก 9 สาขาเพิ่มเป็น 15สาขาในเซิ่นเจิ้น แต่จะไม่มีการลงทุนขยายกำลังการผลิตเพิ่มในปีนี้ รวมทั้งจะมีการนำเครื่องประดับเงินแบรนด์CAI จากเดิมที่ขายเฉพาะยุโรปมาทำตลาดในอินเดียเพิ่มขึ้น
สำหรับภาพรวมการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับปี 2552 คาดว่าจะลดลงจากปีก่อนประมาณ 20% ซึ่งเป็นผลจากกำลังซื้อลดลงจากตลาดภูมิภาคต่างๆของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐฯ เนื่องจากสหรัฐฯมีการยกเลิกจีเอสพีเครื่องประดับทองของไทย ทำให้ต้องเสียภาษีนำเข้า 5.5% ดังนั้นกลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับจึงร้องรัฐให้จัดเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก เนื่องจากสถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ โดยจะมีการลงนามสัญญากับกระทรวงพาณิชย์ในการปล่อยเงินกู้เสริมสภาพคล่องในกลางเดือนนี้ และรักษาอัตราแลกเปลี่ยนให้เหมาะสม รวมทั้งขอให้รัฐยกเว้นการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)ในพลอยนำเข้า ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการค้าอัญมณีของโลก
จากตัวเลขการส่งออกสินค้าของไทยช่วงม.ค. 2552 พบว่า การส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยมีมูลค่าการส่งออกสูงเป็นอันดับ 1 อยู่ที่ 1,028 ล้านเหรียญสหรัฐ โตขึ้น 37.41% แต่พบว่าเป็นการส่งออกทองคำที่ยังไม่ขึ้นรูป780 ล้านเหรียญสหรัฐ โตขึ้น 99% ขณะที่ยอดส่งออกเครื่องประดับทองลดลง 40.70%และเครื่องประดับเงินลดลง 8.18% โดยเชื่อว่ายอดส่งออกก.พ.นี้ กลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับน่าจะรักษาแชมป์ส่งออกติดอันดับ 1อยู่
|
|
|
|
|