แบงก์กรุงศรีฯ ยอมรับมีการเจรจาซื้อธุรกิจรายย่อยเพิ่มเติมอีก 2 โครงการ ปัดสนใจซื้อหุ้นสินเอเซียจากแบงก์กรุงเทพ ขณะที่ประชุมผู้ถือหุ้นวานนี้ไฟเขียวซื้อหุ้นเอไอจีแบงก์คาดได้รับอนุมัติจากแบงก์ชาติภายในเดือนมีนาคมนี้ ประเมินภายหลังรวมทรัพย์สินเอไอจีทำให้สเปรดเพิ่มเป็น 4.25% จากปัจจุบัน 3.2%
นายวีระพันธุ์ ทีปสุวรรณ ประธานกรรมการ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY เปิดเผยว่า ธนาคารยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีความสนใจที่จะซื้อหุ้นของธนาคารสินเอเชีย จำกัด (มหาชน) หรือ ACL แต่อย่างใด แต่ขณะนี้ธนาคารอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อซื้อธุรกิจรายย่อยเพิ่มเติมอีก 2 แห่ง
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 12 มีนาคมที่ผ่านมา ธนาคารได้จัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2552 ขึ้น ที่สำนักงานใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ซึ่งที่ประชุมได้มีมติรับรองการเข้าซื้อหุ้นทั้งหมดของธนาคารเอไอจี เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) และบริษัทเอไอจี คาร์ด (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งการซื้อหุ้นดังกล่าวทำให้สัดส่วนการทำธุรกิจรายย่อยของธนาคารเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 36%
สำหรับความคืบหน้าในการซื้อหุ้นของเอไอจีครั้งนี้ ธนาคารคาดว่าจะได้รับการอนุมัติจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ภายในสิ้นเดือนมีนาคมนี้ และจะเข้าทำรายการซื้อหุ้นได้ภายในต้นเดือนเมษายน
"จากการซื้อหุ้นดังกล่าวธนาคารยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำการเพิ่มทุนแต่อย่างใด เนื่องจากขณะนี้สภาพคล่องของธนาคารยังอยู่ในระดับที่เพียงพอ และรองรับการซื้อกิจการได้อีก 1-2 โครงการที่เจรจาอยู่ด้วย"
นายวีระพันธุ์ กล่าวอีกว่า จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และบริษัทแม่ของจีอีก็ได้รับผลกระทบทำให้ราคาหุ้นตกลงค่อนข้างมากนั้น ไม่ได้ส่งผลต่อการถือหุ้นในธนาคารแต่อย่างใด เนื่องจากหากทางจีอีจะถอนการลงทุนในธนาคาร ก็จะต้องหาผู้เข้ามาลงทุนใหม่ ซึ่งเชื่อว่าภาวะปัจจุบันไม่น่าจะมีนักลงทุนรายใดที่จะลงทุนด้วยวงเงินที่สูง
นายตัน คอง คูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ในการเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ธนาคารได้ทำการวิเคราะห์เกี่ยวกับจำนวนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ไว้หมดแล้ว ซึ่งเอ็นพีแอลที่จะเข้ามานั้นถือว่าเป็นจำนวนที่ไม่มากและอยู่ในระดับที่ธนาคารสามารถจะจัดการได้ สำหรับส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (สเปรด) นั้นก็จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4.2% จากปัจจุบันอยู่ที่ 3.2% ส่วนการทำกำไรก็คงมีเพิ่มขึ้นบ้างแต่จะเห็นชัดเจนในปีหน้า
ทั้งนี้ การปล่อยสินเชื่อของธนาคารในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมายังอยู่ในระดับที่ทรงตัว ส่วนเป้าหมายการเติบโตจากสินเชื่อปกติที่ 6% นั้นคงจะเป็นไปได้ยาก เนื่องจากขณะนี้คาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจน่าจะติดลบอยู่ที่ 0.5-1% ทำให้คาดว่าสินเชื่อปกติปีนี้น่าจะทรงตัว แต่จากการเข้าซื้อกิจการของเอไอจีนี้ทำให้ธนาคารมีการเติบโตแล้ว 4-5%
สำหรับแนวโน้มของการผิดนัดชำระในขณะนี้ก็เริ่มมีเพิ่มขึ้น ในส่วนของการผิดนัดชำระ 30 วัน แต่ยังไม่ได้เป็นเอ็นพีแอล โดยส่วนที่ผิดนัดชำระส่วนใหญ่จะมาจากภาคส่วนธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม Reply Reply to all Forwardning is not available to chat
อนึ่ง เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ธนาคารกรุงศรีอยุธยาได้แจ้งว่า ธนาคารกรุงศรีอยุธยาจะเข้าซื้อหุ้น 99.5% ใน ธนาคารเอไอจี เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) และ 100% ในบริษัท เอไอจีคาร์ด (ประเทศไทย) จำกัด ในราคารวมประมาณ 2,055 ล้านบาท โดยราคาดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลง ณ วันที่ซื้อขายสำเร็จ ซึ่งการดำเนินการในขั้นตอนต่อไปจะต้องได้รับอนุมัติจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมทั้งที่ประชุมผู้ถือหุ้นของธนาคารกรุงศรีอยุธยา
ทั้งนี้ การเข้าซื้อกิจการสองบริษัทในครั้งนี้ จะทำให้ธนาคารกรุงศรีอยุธยามีสินทรัพย์เพิ่มขึ้นประมาณ 32,000 ล้านบาท จาก 745,000 ล้านบาท เป็นประมาณ 777,000 ล้านบาท และส่งผลให้ฐานสินเชื่อรายย่อยของธนาคารเพิ่มขึ้น 14% และจำนวนบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นประมาณ 222,000 บัตร ซึ่งการเข้าซื้อธนาคารเอไอจี เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เอไอจีคาร์ด (ประเทศไทย) จำกัด ตอกย้ำกลยุทธ์ที่สำคัญประการหนึ่งของธนาคารที่จะเติบโตจากภายนอก (Inorganic Growth) ควบคู่ไปกับการขยายธุรกิจปกติ
นอกจากนี้ จากการเข้าซื้อกิจการของธนาคารเอไอจี เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน) ดังกล่าว ยังทำให้เกิดกระแสว่า ธนาคารกรุงศรีอยุธยามีแนวโน้มที่จะเข้าซื้อหุ้นของธนาคารสินเอเซีย จำกัด (มหาชน) จากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่รายหนึ่งของธนาคารสินเอเซีย โดย ณ สิ้นปี 2551 ธนาคารสินเอเซียมีสินทรัพย์รวม 70,000 ล้านบาท และยอดคงค้างสินเชื่อ 44,000 ล้านบาท โดยมูลค่าหุ้นทางบัญชีอยู่ที่ระดับ 7.92 บาท
|