|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
 |
หุ้นสหรัฐฯเริ่มรับสัญญาณดี แต่ฉุดราคาทองคำทั่วโลกปรับตัวลดลงต่อเนื่อง หลังนักลงทุนและบรรดากองทุนต่างชาติรุกเทขายทำกำไร พร้อมโยกเงินลงทุนไปสู่วอลล์สตรีท ล่าสุดตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมจนถึงวานนี้(11มี.ค.)ลดลงไปแล้วร่วม 700บาท เหลือ 15,400 บาท อีกทั้งมีโอกาสลดลงไปแตะ 14,800 บาทได้หากดัชนีหุ้นมะกันยังปรับตัวขึ้นต่อเนื่องภายในช่วง1เดือนจากนี้
จากการที่ ดัชนีดาวโจนส์ แนสแด็กและเอสแอนด์พี 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดบวกเมื่อคืนวันที่10มี.ค. ตามแรงเข้าช้อนซื้อหุ้นกลุ่มสถาบันการเงินจากนักลงทุน หลัง Citigroup กลับมามีความสามารถในการทำกำไรในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2551 อีกทั้งเป็นผลการดำเนินงานในปีนี้จะออกมาดีที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 3/2007 เร่องดังกล่าวได้ส่งผลต่อราคาซื้อขายทองคำในต่างประเทศและในประเทศไทยให้ปรับตัวลดลงด้วย
นายจิตติ ตั้งสิทธิภักดี นายกสมาคมผู้ค้าทอง เปิดเผยว่า วานนี้(11มี.ค.) ราคาทองคำปรับตัวลดลง บาทละ 300 บาท มีสาเหตุมาจากราคาทองในตลาดโลกปรับตัวลดลงมากกว่า 10 เหรียญ ล่าสุดอยู่ที่ 896 เหรียญต่อออนซ์ และแนวโน้มจากนี้อาจปรับลงมาอีกเล็กน้อย แต่จะมีโอกาสปรับตัวขึ้นในอนาคตอันใกล้ ซึ่งการปรับลงมาครั้งนี้มาจากเป็นการปรับฐานก่อนรอจังหวะปรับขึ้นอีกครั้ง โดยนักลงทุนสามารถลงทุนได้เล็กน้อย
นายพิชญา พิสุทธิกุล เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ และผู้บริหารห้างทองเลี่ยงเส็งเฮง กล่าวให้ความเห็นถึงเรื่องดังกล่าวว่า แม้ราคาทองคำได้ปรับตัวลดลงมาแล้ว แต่ช่วงนี้การซื้อขายของบรรดาร้านทองในเยาวราชยังเป็นปกติ ไม่เหมือนช่วงที่ผ่านมา เมื่อเวลาทองคำปรับตัวลดลงจะมีคนเข้ามาซื้อเป็นจำนวนมาก และจากที่ดูข้อมูลช่วงก่อนปิดตลาดพบว่าราคายังได้ปรับลดลงมาถึง 891 เหรียญ/ออนซ์ จึงนับว่าเป็นภาวะที่ราคายังมีโอกาสลดลงไปได้อีก
ทั้งนี้ สาเหตุที่ทำให้ราคาทองปรับตัวลดลง มาจากปัจจัยหลัก 2 ประการ เรื่องแรกคือการที่ Citigroup ประกาศผลดำเนินงานที่มีกำไร ช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาจะเริ่มดีขึ้น และมีผลมาถึงตลาดหุ้นในวอลล์สตรีท ทำให้ดัชนีตลาดปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น เพราะนักลงทุนมีความมั่นใจทำให้เกิดการเทขายทองคำจากนักลงทุนรายใหญ่ และบรรดากองทุนออกมาเพื่อทำกำไร และนำเงินต้นพร้อมกำไรบางส่วนโยกกลับเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯที่เริ่มเป็นบวกขึ้นมา
“หากหุ้นในวอลล์สตรีทดัชนีเริ่มเป็นบวกขึ้นไปเรื่อยๆ ก็ถือว่าจะเป็นผลดีต่อภาพรวมการลงทุน ดังนั้นในจุดนี้ทำให้นักลงทุนและกองทุนหลายรายมองว่าเป็นโอกาสที่จะเข้าเป็นเก็บหุ้นราคาถูก หรือต่ำกว่าบุ๊คแวลู เพื่อรอให้ดัชนีช่วยดีดราคาหุ้นเหล่านี้กลับมา”นายพิชญา กล่าว
ขณะเดียวกัน สาเหตุที่สอง นั่นคือ การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน หลังจากที่ผ่านมามีการปรับตัวลดลงไปอย่างต่อเนื่อง นายพิชญา กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นเป็น 48เหรียญ/บาร์เรล จากเดิม 45เหรียญ/บาร์เรลถือเป็นเร่องที่ดีต่อนักลงทุนที่ชอบการลงทุนประเภทนี้ เพราะโอกาสที่ราคาน้ำมันจะเริ่มดีดตัวกลับมาก็มีความเป็นไปได้
นายพิชญา กล่าวเพิ่มเติมว่า จากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นส่งผลให้ตัวเลขการบริโภคทองคำที่แท้จริงปรับตัวลดลงเป็นอย่างมาก โดยในอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีการบริโภคทองคำมาที่สุด ตัวเลขในเดือนมกราคมก็มีการปรับตัวลดลงไปกว่า60%
ส่วนแนวโน้มทิศทางของราคาทองคำในช่วงต่อไปนี้ นายพิชญา กล่าวว่า คาดการณ์ได้ลำบากแต่ในภาพรวมการปรับตัวลดลงของราคาทองน่าจะเป็นไปในระยะสั้นๆ ซึ่งจำเป็นต้องรอดูความชัดเจนของดัชนีตลาดหุ้นในสหรัฐฯอีก1สัปดาห์ว่ามีทิศทางไปในทางใด เพราะหากดัชนีอยู่ในช่วงขาขึ้นราคาทองก็จะปรับตัวลดลงไปอีก ซึ่งภายใน 1- 2 เดือนจากนี้จะมีโอกาสได้เห็นราคาปรับตัวลดลงมาแตะที่ระดับประมาณ 14,800 – 15,000 บาทได้
สำหรับความเคลื่อนไหวของราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมา (2 – 11 มี.ค.) พบว่า ทองคำแท่ง 96.5% ที่มีการซื้อขายในประเทศมีการราคาสูงสุดที่ราคารับซื้อ 16,100 บาท เมื่อวันที่ 2 มีนาคม และมีราคารับซื้อต่ำสุด 15,400 บาทของวานนี้ ซึ่งมีส่วนต่างถึง 700 บาท
|
|
 |
|
|