|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
ตลาดสีหืดขึ้นคอหลังเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลธุรกิจเกี่ยวเนื่องทรุดตาม ส่วนตลาดสีทาอาคารทรุดหนักหดตัวกว่า 20% ด้าน“โจตัน”ปรับกลยุทธ์หวังพลิกฟื้นโต 5-10% ในปี 52 พร้อมเร่งออกผลิตภัณฑ์ใหม่ดึงยอดขาย ล่าสุดเปิดตัว “โจตาการ์ด” จับกลุ่มอุตสาหกรรมเรือ
นายอีริค มัลเลส กรรมการผู้จัดการ บริษัท โจตันไทย จำกัด เปิดเผยว่า นับจากไตรมาส4ปี51ตลาดสีทาอาคารปรับตัวลดลง ตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว อย่างไรก็ตามในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ตลาดรวมเริ่มปรับตัวดีขึ้น แต่การปรับตัวดังกล่าวยังไม่สามารถชีนำตลาดได้ทั้งปี เพราะปีนี้คาดการณ์ได้ยาก เนื่องจากมีปัจจัยลบหลายอย่าง แต่เชื่อว่าในช่วงไตรมาส 3- 4 จะปรับตัวดีขึ้น
โดยตลาดสีทาอาคารคาดว่าจะลดลงจากปี 51 ประมาณ 10-20% จากมูลค่าตลาดรวม 11,000 ล้านบาท โจตันมีส่วนแบ่งตลาด 13% ทั้งนี้คาดว่าอสังหาริมทรัพย์จะปรับตัวดีขึ้นในกลางปีหน้า เพราะเป็นอุตสาหกรรมที่มีการฟื้นตัวช้า ต้องอาศัยระยะเวลาของการพัฒนาโครงการ
ส่วนสีอุตสาหกรรมจะชะลอตัวตามภาคธุรกิจที่ไม่ขยายการลงทุน ร่วมถึงการซ่อมแซมเครื่องจักรและโรงงาน จากปัจจุบันมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 3,200 ล้านบาท โจตันมีส่วนแบ่งตลาด 27% อย่างไรก็ตามแม้ว่าอุตสาหกรรมจะชลอดตัว แต่ยังมีการลงทุนขนาดใหญ่ของบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตเลี่ยม จำกัด (มหาชน) เข้ามาช่วยเสริมทำให้ตลาดสีอุตสาหกรรมทรงตัวได้ในปีนี้
สำหรับสีที่ใช้ในอุตสาหกรรมเรือนั้นจะชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ประมาณ 10% จากภาวะว่าจ้างส่งสินค้าลดลงทำให้เจ้าของเรือบางรายถึงต้องกับขายเรือทิ้ง ส่วนที่เป็นอู่ต่อเรือก็จะถูกยกเลิกหรือชะลอการต่อออกไปก่อน อย่างไรก็ตามในส่วนที่ยังดำเนินธุรกิจอยู่ตามกฎหมายจะต้องให้ทาสีเรืออยู่เสมอทำให้ตลาดดังกล่าวไม่ชะลอตัวไปมากนัก โดยในปีที่ผ่านมามูลค่าตลาดรวมของสีทาเรือมีประมาณ 1,000 ล้านบาท โจตันมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 36%
นายมัลเลส กล่าวต่อว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจทำให้ โจตันต้องทบทวนกลยุทธ์การตลาดใหม่ เพื่อให้สามารถรักษาส่วนแบ่งการตลาดให้ได้และให้สามารถมีอัตราการเติบโต 5-10% ในปีนี้ โดยจะเน้นการออกผลิตภัณฑ์สีใหม่ๆในทุกเซ็กเมนต์ และยังคงให้น้ำหนักไปที่สีทาอาคารเช่นเดิม เนื่องจากเป็นฐานลูกค้ากลุ่มใหญ่ พร้อมทั้งเพิ่มเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายเพื่อทำตลาดในพื้นที่ที่ยังไม่มีสินค้าของโจตันหรือมีน้อย
ล่าสุดออกผลิตภัณฑ์สี “โจตาการ์ด” เพื่อมาทดแทนสี โคลทาร์ อีพ๊อกซี่ (Coal tar epoxy) ที่บริษัทจะเลิกผลิต เพราะเป็นสีที่ต้องใช้ตามขั้นตอนการทาสีและใช้อย่างถูกวิธีเท่านั้น หากใช้ผิดวิธีจะทำให้เกิดอันตรายได้ นอกจากนี้ยังมีกลิ่นฉุน และแสบจมูก แสบตาขณะทา สีดังกล่าวจะใช้ในอุตสาหกรรมเรือและสีอุตสาหกรรม โดยในแต่ละปีโจตันจะมียอดขายจากสีดังกล่าวปีละ 150 ล้านบาท
สำหรับ โจตาการ์ด มีคุณสมบัติจะมีคุณสมบัติที่ดีกว่ามาก คือ 1.มีเนื้อสีมากกว่าโคลทาร์ อีพ๊อกซี่ 15% ทำให้ทาได้พื้นที่มากกว่าอย่างน้อย15% 2.ไม่มีกลิ่นฉุน แสบจมูก มีเพียงกลิ่นทินเนอร์เล็กน้อยเท่านั้นเหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไป และลดปริมาณสาร VOC ที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนได้ถึง 50% อย่างไรก็ตาม โจตาการ์ดจะมีราคาสูงกว่าโคลทาร์ อีพ๊อกซี่ ประมาณ15% หรือราคาขายปลีก 155-160 บาท/ลิตรแต่หากเทียบกับปริมาณพื้นที่ที่ทาได้มากกว่าแล้วจะมีราคาเท่ากัน
|
|
|
|
|