Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน11 มีนาคม 2552
JMTคาดธุรกิจตามหนี้ปี52โต100%             
 


   
search resources

Investment
เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซส, บจก.




เจ เอ็ม ที ตั้งเป้าปี 52 ซื้อหนี้เข้ามาบริหารไม่ต่ำกว่า 4.5 พันล้านบาท หรือเติบโตขึ้นกว่า 100%จากปี 51 ที่ทำได้ 2.5 พันล้านบาท จากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวลดลงภายใต้วิกฤตเศรษฐกิจ ส่งผลดีต่อธุรกิจติดตามหนี้ที่โตสวนกระแสจากธุรกิจอื่น รวมถึงจำนวนมูลค่าหนี้ทีบริษัทเตรียมงบลงทุนกว่า 280 ล้านบาท เพื่อซื้อหนี้เข้ามาบริหารจากสถาบันการเงินทั้งในและนอกประเทศ

นายปิยะ พงษ์อัชฌา ผู้อำนวยการบริหารสายการตลาด บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซส จำกัด หรือ JMT เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าการเพิ่มมูลค่าหนี้ที่ติดตามคงเหลือในปี 2552 เติบโตขึ้น 100% หรืออยู่ที่ 4,500 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มีมูลค่าอยู่ที่ 2,500 ล้านบาท จากการที่อัตราดอกเบี้ยมีจำนวนถูกลงกว่าที่ผ่านมา จึงถือเป็นโอกาสที่ดีในการเติบโตของธุรกิจในช่วงระยะเวลาเช่นนี้ โดยบริษัทได้คาดการณ์การเพิ่มมูลค่าหนี้ที่ติดตามคงเหลือไว้ล่วงหน้าเพิ่มขึ้นเป็น 6,000 ล้านบาทในปี 2553 ซึ่งหนี้เสียที่บริษัทซื้อมานี้จะเป็นในส่วนของ Non-Bank

ทั้งนี้ด้วยมูลค่าหนี้ดังกล่าวส่งผลให้บริษัทถือครองพอร์ตสินเชื่อจากการขายหนี้ของสถาบันต่างๆในประเภท Retail และ Consumer Loan โดยบริษัทได้ลงทุนในการซื้อหนี้พอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อ และสินเชื่อส่วนบุคคลจากสถาบันการเงินด้วยมูลค่าหนี้ติดตามคงเหลือที่ 1,000 ล้านบาท และได้ทำการซื้อเพิ่มจากสถาบันการเงินอื่นทั้งในประเทศและสถาบันการเงินสาขาจากต่างประเทศ ทำให้ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่าหนี้ที่ติดตามคงเหลือกว่า 2,000 ล้านบาท จากพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อ สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อเงินกู้และบัตรเครดิต

สำหรับการลงทุนบริษัทมีเงินที่จะนำใช้ในการซื้อหนี้จำนวน 280 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นซื้อภายในสิ้นปีนี้ประมาณ 200 ล้านบาท สำหรับกาเข้าซื้อหนี้จำนวนกว่า 4พันล้าน และอีกจำนวน 80 ล้านบาท ที่จะนำไปลงทุนในการซื้อหนี้เพิ่มให้ได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ที่ 6,000 ล้านบาท ซึ่งเงินที่บริษัทนำมาใช้ลงทุนในการซื้อหนี้นั้นมาจากเงินกู้จำนวน 70% และจากกำไรของธุรกิจจำนวน 30%

อย่างไรก็ตามในธุรกิจการติดตามหนี้กับสภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวเช่นนี้ มีผลอย่างมากที่จำนวนลูกหนี้เพิ่มตัวสูงขึ้น จากหลายๆปัจจัยไม่ว่าจะเป็นการว่างงานหรือการถูกปรับลดอัตราการจ้างงาน ส่งผลให้ประชาชนไม่มีรายได้เข้ามาเพื่อผ่อนจ่ายภาระที่ตนเองมี ซึ่งบริษัทเริ่มเห็นสัญญาณของการติดตามหนี้ที่ยากช่วงปลายปี 2551 หรือช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจการเงินโลก

“บริษัทเราไม่มีการปรับลดพนักงาน แต่จะเพิ่มด้วยซ้ำ เพราะเรามีแผนขยายงานรับซื้อหนี้ไปสู่ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ และสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินต่างๆเพิ่ม ทำให้เราต้องเพิ่มจำนวนพนักงานเร่งรัดหนี้สิน และพนักงงานในส่วนอื่นๆอีกรวมกว่า 200 อัตรา จากปัจจุบันที่มีพนักงานอยู่ 400 อัตรา” นายปิยะ กล่าว   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us