|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
รายย่อยยังแห่ซื้อสุทธิ751 ล้าน แม้ดัชนีตลาดหุ้นวูบ! ล่าสุดพบแรงเข้าเก็งกำไรหุ้นกลุ่มเหล็ก ไม่สนปัจจัยลบนอกประเทศ ดัน“เพิ่มสินสตีลเวิร์ค”ดีดตัว 29.91% รับข่าวจ่อได้กรรมการใหม่จากกลุ่มเสรีดีเลิศ หลังบอร์ดนำรายชื่อเข้าถกในที่ประชุม ซึ่งท้ายสุดอาจได้บทสรุปคล้ายEMC-EWC ส่วน “เอเชียเมทัล”โตทั้งแม่และลูก รับการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้น หลังกลุ่มยงวงศ์ไพบูลย์ตัดขายบิ๊กล็อต45.6ล้านหุ้นให้กลุ่มสุธีรชัย
บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (9มี.ค.) ได้มีแรงซื้อขายทำกำไรในหุ้นกลุ่มเหล็ก จนทำให้ราคาหุ้นของบริษัท เพิ่มสินสตีลเวิร์ค จำกัด (มหาชน) (PERM) และบมจ.เอเชียเมทัล จำกัด (มหาชน) หรือ AMC และAMC-W1 ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอย่างน่าสนใจ โดย PERM ปิดที่ระดับ 1.39 บาท เพิ่มขึ้น 0.32 บาท หรือ 29.91% ระหว่างวันปรับตัวสูงสุด 1.39บาท ต่ำสุด 1.13 บาท มูลค่าการซื้อขาย 15.616ล้านบาท ขณะที่AMC ปิดที่ 1.06 บาท เพิ่มขึ้น0.09 บาท หรือ 9.28% ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ 1.15 บาท ต่ำสุดที่ 0.98 บาท มูลค่าการซื้อขาย 10.176 บาท และ AMC-W1 ปิดที่ 0.45 บาท เพิ่มขึ้น0.11 บาท หรือ32.35% ระหว่างวันสูงสุด0.51 บาท ต่ำสุด 0.37บาท มูลค่าซื้อขาย 1.644ล้านบาท
ทั้งนี้ ประเมินว่าเป็นแรงซื้อเก็งกำไรตามข่าว นายยุทธพงษ์ เสรีดีเลิศ ที่ได้ยื่นเรื่องต่อศาล และศาลได้นัดไกล่เกลี่ยกรณีที่เข้าถือหุ้นPERMแล้วกว่า 19% แต่ไม่ได้มีสิทธิการบริหาร แต่วานนี้ นางชไมพร ยงวงศ์ไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ PERM ได้ชี้แจงต่อตลาดหลักทรัพย์ฯว่า นายยุทธพงษ์ ได้มีข้อเสนอให้พิจารณาแต่งตั้ง นายวรพจน์ เสรีดีเลิศ และ นายกรนริศ ทองสมแก้ว เพื่อเป็นกรรมการบริษัท พร้อมเสนอแต่งตั้งนาย สงวนเกียรติ ลิ่วมโนมนต์ เป็นกรรมการตรวจสอบใหม่ ซึ่งขั้นต่อไปบริษัทจะพิจารณาเรื่องคุณสมบัติของบุคคลดังกล่าว และจะนำเข้าพิจารณาที่ประชุมกรรมการบริษัท (9มี.ค.) แต่เรื่องนโยบายการบริหารงานในขณะนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่ประการใด
อย่างไรก็ตาม มีข่าวลือว่าผู้ถือหุ้นกลุ่มเดิมบางรายยังมีความกังวลว่าอาจจะเกิดการแบ็กดอร์บริษัท เนื่องจากนายยุทธพงษ์ ก็มีบริษัทที่ทำธุรกิจที่เกี่ยวกับเหล็ก และอยากที่จะนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จึงใช้PERM เป็นทางเชื่อม โดยในอนาคตหากเก็บหุ้นจนเกิน 25% ก็สามารถประกาศรับซื้อในราคาที่สูงกว่าราคากระดานได้ ซึ่งจะทำให้กุมอำนาจในบอร์ดทั้งหมดเหมือน EMC และ EWC ที่นายชนะชัย ลีนะบรรจง เข้ามายึดอำนาจ โดยจุดนี้นักวิเคราะห์ให้ความว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดแรงซื้อเข้ามา
แต่ที่ผ่านมา นายยุทธพงษ์ ยืนยันว่า เป็นการทยอยเข้าเก็บหุ้น เนื่องจากเห็นว่าเป็นหุ้นที่น่าลงทุน และมั่นใจว่าธุรกิจส่วนตัว และธุรกิจของ PERM จะสามารถเกื้อหนุนกันได้ อย่างไรก็ตามนายยุทธพงษ์ ยังเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้น บมจ.ยานภัณฑ์(YNP) ราว 5%
ด้าน นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แอ๊ดคินซัน (ASL) กล่าวว่า ราคาหุ้น PERMที่เพิ่มขึ้น คาดว่าจะเป็นการเข้ามาเล่นเก็งกำไรของนักลงทุนตามข่าวที่เกิดขึ้น โดยสัญญาณทางเทคนิคได้มีแนวต้านที่ 1.35 บาท แนวรับ 1.25 บาท
ส่วนสาเหตุที่หุ้น AMC และAMC-W1มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นน่าจะมาจากการซื้อหุ้นลักษณะบิ๊กล็อต ผ่านตลาดหลลักทรัพย์ของนายวีระชัย สุธีรชัย จำนวน45.6 ล้านหุ้นจากนายชูศักดิ์ ยงวงศ์ไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอเซีย เมทัล 24.6ล้านหุ้นหรือ 5.12%ของทุนจดทะเบียน และนางสาวเพ็ญจันทร์ โยธินอุปไมย 21ล้านหุ้นหรือ4.38% ในราคาหุ้นละ1.00บาท
ทั้งนี้ ภายหลังการขายหุ้นดังกล่าว ทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของกลุ่มชูศักดิ์ เหลือถือหุ้นใน AMC ที่ 24.30% จากเดิม 33.80% ส่วนกลุ่มสุธีรชัย ถือหุ้นเพิ่มเป็น 17.86% จากเดิมที่ถือ 8.36% แต่การเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ครั้งนี้ไม่มีผลต่อการดำเนินงานด้านการบริหารแต่อย่างใด
ก่อนหน้านี้ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า การแบ่งขายหุ้นให้กับผู้บริหารระดับสูงของบริษัททั้งนี้ เพื่อสร้างแรงจูงใจและร่วมกันมาเป็นเจ้าของในการร่วมกันทำธุรกิจให้เติบโตและฝ่าวิกฤตไปข้างหน้าให้ได้ อีกทั้งต้องยอมรับว่าปีนี้เป็นปีที่ยากลำบากในการทำธุรกิจ ดังนั้นกลยุทธ์ในการทำธุรกิจในปีนี้จะมุ่งปรับโครงสร้างและพัฒนาระบบงานภายใน เพื่อเตรียมความพร้อมรับเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวก็จะทำให้บริษัทโตขึ้นตามได้ด้วย
ขณะที่ภาพรวมตลาดหุ้นไทยดัชนีปิดที่ 411.27 จุด ลดลง 8.24 จุด หรือ -1.96% มูลค่าการซื้อขาย 5,521.27 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการปรับตัวลงค่อนข้างมาก และมีมูลค่าซื้อขายซบเซา โดยมีแรงขายนำจากหุ้นบิ๊กแคป คือหุ้นในกลุ่มพลังงาน-แบงก์ เพราะนักลงทุนยังกังวลปัจจัยเสี่ยงในต่างประเทศ และเศรษฐกิจที่ชะลอตัว เช่นเดียวกับตลาดในภูมิภาค สำหรับสัดส่วนการลงทุน พบว่านักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 751.20ล้านบาท นักลงทุนสาถบันขายสุทธิ 297.66 ล้านบาท นักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 453.54 ล้านบาท
นางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลงค่อนข้างมาก เช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย ส่วนวันนี้ดัชนีฯคงจะแกว่งตัวตามกระแสข่าวที่เกิดขึ้นรายวัน และจะต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจในสหรัฐฯ, ความเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบ และติดตามข่าวของสถาบันการเงินในสหรัฐฯด้วย โดยมีกรอบแนวรับ 410-400 แนวต้าน 420, 430 จุด
|
|
|
|
|