|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
เตรียมเก็บภาษี "ชา – กาแฟ – เครื่องดื่มบำรุงกำลัง" รมช.คลังเผยข้อเสนอกรมสรรพสามิต เหตุเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย-ทำลายสุขภาพ เตรียมเรียกผู้ประกอบการถกก่อนออกเป็นประกาศกระทรวงฯ ดันยอดภาษีบาป 3 หมื่นล้าน ส่วนผลสรุปภาษีซานติก้าไม่คืบ สั่งยืดเวลาให้คณะกรรมการตรวจสอบไปอีก 30 วัน ดึงดีเอสไอร่วมทีมเพิ่มอำนาจสอบคนนอกได้ บิ๊ก "กระทิงแดง-โออิชิ" ค้าน ชี้ซ้ำเติมผู้ประกอบการ-ผู้บริโภค ขณะที่ รมว.สธ.ชงคุมขายเหล้าช่วงสงกรานต์ 3 วัน เล็งยกเว้นในโรงแรม
นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิตได้เสนอแนวทางการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตสินค้าฟุ่มเฟือยและสินค้ากลุ่มที่ทำลายสุขภาพ โดยเฉพาะเครื่องดื่มสำเร็จรูปประเภทชา กาแฟและเครื่องดื่มบำรุงกำลัง เพื่อชดเชยรายได้จากภาษีของรัฐบาลที่ลดลงจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในขณะนี้ โดยจะเชิญผู้ประกอบการสินค้าทั้ง 3 ประเภทเข้ามาหรือเพื่อหาแนวทางการจัดเก็บที่ทุกฝ่ายยอมรับ
การเก็บภาษีของสินค้าประเภททำลายสุขภาพดังกล่าวกรมสรรพสามิตสามารถดำเนินการได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องขอมติจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่อย่างใด โดยสามารถออกประกาศเป็นกฎกระทรวงเพื่อดำเนินการจัดเก็บภาษีในส่วนนี้ จากการประเมินการจัดเก็บรายได้ภาษีบาปที่จะดำเนินการครั้งใหม่นี้จะทำให้รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้จากภาษีในส่วนนี้เพิ่มขึ้นทันที 3 หมื่นล้านบาทในปีงบประมาณ 2552
“ได้ให้แนวทางในการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในภาษีบาปหรือ SIN TAX โดยเน้นในกลุ่มที่เป็นสินค้าทำลายสุขภาพและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะที่เป็นเครื่องดื่มบรรจุกระป๋อง และขวดที่วางจำหน่ายตามตู้ในร้านค้าทั่วไปที่จะทำให้ระบบจัดเก็บมีความชัดเจนและรอบคอบมาก ซึ่งจะขอหารือกับผู้ประกอบการที่ผลิตสินค้าในกลุ่มนี้ก่อนประกาศเป็นกฎกระทรวง” นพ.พฤฒิชัยกล่าว
สอบภาษีซานติก้าเจอโรคเลื่อน
สำหรับการตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบการเสียภาษีสรรพสามิตสถานบริการกรณีซานติก้าผับ โดยให้นายสถิต ลิ่มพงศ์พันธุ์ รองปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธานนั้น นพ.พฤฒิชัยกล่าวว่า หลังครบกำหนด 15 วันนายสถิตได้ยื่นจดหมายเพื่อชี้แจงว่าอำนาจในการตรวจสอบของคณะกรรมการมีจำกัดไม่สามารถเรียกผู้เกี่ยวข้องที่เป็นบุคคลภายนอกเข้ามาสอบสวนได้ ประกอบกับระยะเวลาในการตรวจสอบที่กำหนดไว้ 15 วันกระชั้นชิดเกินไปจึงขอให้พิจารณาทบทวนการสอบสวนเรื่องนี้อีกครั้ง
ซึ่งจากการชี้แจงดังกล่าวนั้นได้ตัดสินใจขยายเวลาการสอบสวนออกไปอีก 30 วันเพื่อให้สอดคล้องกับกรมสรรพสามิตที่ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องดังกล่าวเช่นกัน โดยการพิจารณาตัดสินใจจะยึดคณะกรรมการชุดของนายสถิตเป็นหลัก นอกจากนี้ยังได้ตั้งเจ้าหน้าที่จากกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ เข้ามาร่วมเป็นคณะกรรมการสอบสวนด้วยและยังเพิ่มอำนาจในการเรียกตัวบุคคลภายนอกเข้ามาให้ข้อมูลได้เพิ่มขึ้น
“ในระหว่างที่คณะกรรมการชุดนายสถิตดำเนินการตรวจสอบนั้นกรมสรรพสามิตก็ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นมาด้วยเช่นกัน โดยได้ส่งจดหมายมายังคณะกรรมการชุดนายสถิตเพื่อให้พิจารณาผลการสอบสวนของกรมสรรพสามิตประกอบด้วย จึงได้ตัดสินใจขยายเวลาให้อีก 30 วันและเพิ่มอำนาจการตรวจสอบเพิ่มขึ้น ซึ่งในระยะเวลา 30 วันนี้ทุกอย่างจะต้องมีความชัดเจนว่าจะเก็บภาษีซานติก้าผับหรือไม่และมีใครบ้างที่จะต้องรับผิดชอบการเลี่ยงภาษีที่เกิดขึ้นในครั้งนี้” นพ.พฤฒิชัยกล่าว
เอกชนอ้อนรัฐคิดให้รอบคอบ
นายสานิต หวังวิชา ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เครื่องดื่มกระทิงแดง จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลังกระทิงแดง กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้รับการชี้แจงเกี่ยวกับแนวทางการปรับภาษีกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลังเพิ่มขึ้น หรือปรับภาษีนำเข้าวัตถุดิบแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม อยากให้ภาครัฐพิจารณาถึงการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการเครื่องดื่มชูกำลังด้วยว่า สภาพตลาดมูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาท เริ่มอิ่มตัวและเติบโตน้อยมาก ปีนี้คาดว่าโตไม่ถึง 1% ซึ่งที่ผ่านมาก็ทำตลาดยากลำบากด้วยข้อจำกัดต่างๆ นาๆมากพอแล้ว
ปัจจุบันเครื่องดื่มชูกำลัง มีการนำเข้าวิตามินบางชนิดมาเป็นส่วนประกอบ แต่ขณะนี้ไม่สามารถบอกรายละเอียดได้ว่า เสียภาษีนำเข้าเท่าไร คงต้องเช็ครายละเอียดกันอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตามการที่ภาครัฐปรับภาษีเพิ่มขึ้น อาจมีผลทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น และสินค้าต้องปรับตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่ในภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย คงไม่มีผู้ประกอบการรายใดต้องการปรับราคาสินค้า
ด้านนายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้จัดการ บริษัท โออิชิกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หากรัฐมีนโยบายที่จะจัดเก็บภาษีเครื่องดื่มเพิ่มเติม ย่อมส่งผลกระทบในภาพรวมทั้งหมดแน่นอน เพราะทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น และคงไม่มีผู้ประกอบการรายใดที่จะทนแบกรับภาะระเอาไว้โดยที่ไม่จำเป็น จึงต้องไปเพิ่มราคาขายขึ้นให้เป็นไปตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นผู้บริโภคก็จะเดือดร้อนอีกเพราะต้องซื้อของที่แพงขึ้น และเมื่อสินค้าขายได้น้อยลงก็กระทบกับอุตสาหกรรม ซึ่งที่ผ่านมา เราก็เสียภาษีแวตอยู่แล้ว 7%และไปเสียภาษีกำไรสุทธิอีกตอนหลัง
“จริงๆ แล้วรัฐควรจะหันมาสนับสนุนผู้ประกอบการด้วยการให้การสนับสนุนภาคเกษตรในการปลูกวัตถุดิบในการผลิตต่างๆเช่น ใบชา เป็นต้น เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยมีต้นทุนที่ต่ำลงสามารถต่อสู้กับต่างประเทศได้ ดังนั้นจึงอยากจะวอนให้ภาครัฐช่วยพิจารณาให้รอบคอบก่อนที่จะมีการปรับภาษีอะไรขึ้นมาอีก” นายตันกล่าว
สธ.ชงคุมขายเหล้าสงกรานต์ 3 วัน
นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการหารือเกี่ยวกับมาตรการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาลสงกรานต์กับนายมานิต นพอมรบดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เบื้องต้นจะเสนอใช้มาตรการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบบตลอดทั้งวัน รวม 3 วัน คือระหว่างวันที่ 12 -14 เมษายน ซึ่งถือว่าเป็นแนวทางที่เป็นไปได้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม สธ. จะต้องเสนอเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ ที่มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และมีกรรมการเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอื่นอีก 7 กระทรวง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการรอกำหนดวันประชุมจากนายกรัฐมนตรี
"ที่ผ่านมายังไม่เคยหารือเรื่องการห้ามขายเหล้า เบียร์ ช่วงสงกรานต์กับนายกฯ เลยจึงไม่ทราบว่าท่านมีความเห็นอย่างไร แต่ได้คุยกับกระทรวงอื่นๆ บ้างแล้ว ซึ่งมีข้อท้วงติงบ้าง ว่า ไม่อยากให้กระทบกระเทือนกับการท่องเที่ยว โดยขอให้ยกเว้นโรงแรมในกรุงเทพฯ และโรงแรมในพื้นที่ท่องเที่ยว ให้สามารถขายเหล้า เบียร์ได้ตามปกติ เพราะคนที่กิน ดื่ม เป็นนักท่องเที่ยวที่พักอยู่ในโรงแรม และไม่มีรถขับ ซึ่งจะเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณาในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายฯ ต่อไป" นายวิทยา กล่าว
นายวิทยา กล่าวด้วยว่า หากสธ. มีอำนาจตัดสินใจจะเสนอให้ออกมาตรการห้ามขายตลอดทั้ง 7 วัน เพื่อลดปัญหาอุบัติเหตุลง หรือถ้าจะให้ดีอยากจะสั่งให้เลิกขาย เลิกผลิตเหล้า เบียร์ ไปเลย เพราะเป็นสิ่งไม่ดี แต่เรื่องนี้กระทบกับหลายฝ่าย จึงต้องพิจารณาให้รอบด้าน เพื่อแก้ปัญหาให้ตรงจุดที่สุด
ด้าน นพ.สมาน ฟูตระกูล ผู้อำนวยการสำนักงานควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาสูบ กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการสรุปผลการเปิดรับฟังความเห็นของภาคส่วนต่างๆ เพื่อเสนอให้นายวิทยา พิจารณา โดยจะเสนอเป็นมาตรการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็น 3 รูปแบบ คือ 1.ห้ามจำหน่าย 3 วัน ระหว่างในที่ 12-14 เมษายน 2.ห้ามจำหน่าย 4 วัน ระหว่างวันที่ 12-15 เมษายน และ3.ห้ามจำหน่าย 5 วัน ระหว่างวันที่ 12-16 เมษายน ทั้งนี้ ห้ามจำหน่ายตลอดทั้งวัน และห้ามทั้งคนไทยและต่างชาติ โดยไม่มีข้อยกเว้น เพราะที่ปรึกษากฎหมาย ได้พิจารณาแล้วว่า หากยกเว้นให้ขายชาวต่างชาติได้ จะถือเป็นการขัดกับรัฐธรรมนูญไทย เรื่องความเสมอภาค
“ส่วนข้อเสนอให้จัดโซนนิ่งให้สามารถขายเหล้า เบียร์ได้ในร้านอาหารในโรงแรม นั้น ก่อนหน้านี้ได้มีการหารือกับคณะกรรมาธิการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร์ ได้ท้วงติงว่า เป็นไปยากและอาจเกิดโกลาหลได้ ซึ่งปัจจุบัน กฎหมายได้อนุโลมให้กับโรงแรมสามารถขายเหล้า เบียร์ ในส่วนของมินิบาร์ให้ห้องพักในโรงแรมอยู่แล้ว” นพ.สมาน กล่าว
|
|
|
|
|