ตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 4/51 ทรุดหนักกว่า 180% ขาดทุนสุทธิรวม 1 แสนล้านบาท จากปีก่อนกำไรสุทธิ 8 หมื่นล้านบาท หลังกลุ่มพลังงาน-สาธารณูปโภคเจอวิกฤตจากผลขาดทุนสต็อกน้ำมัน-อัตราแลกเปลี่ยน ขณะที่กำไรสุทธิทั้งปี 3 แสนล้านบาท ลดลงจากปีก่อนกว่า 1 แสนล้าน คิดเป็นอัตราส่วน 25% ระบุมีเพียง 2 กลุ่มอุตสาหกรรม “การเงิน-เกษตร” ที่มีผลงานดีขึ้นจากปีก่อน
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยถึง ผลการดำเนินงานประจำปี 2551 ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ว่า บริษัทจดทะเบียนจำนวน 532 บริษัท หรือ 97% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 546 บริษัท (รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ 21 กองทุน) มีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 313,068 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 109,086 ล้านบาท หรือลดลง 25%
ทั้งนี้ หากไม่รวมผลการดำเนินงานของบริษัทในกลุ่ม NC (Non-Compliance) และ NPG (Non-Performing Group) ในงวดปี 2551 บริษัทจดทะเบียนจะมีกำไรสุทธิเท่ากับ 309,973 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 27% โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจการเงิน กลุ่มทรัพยากร และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง
สำหรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) ที่นำส่งงบการเงินประจำปี 2551 จำนวน 481 บริษัท (จากทั้งหมด 495 บริษัท) กำไรสุทธิรวม 310,549 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 25% ขณะที่ยอดขายรวม 7,326,283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22%
ขณะที่ ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 4 ปี 2551 ขาดทุนสุทธิรวม 83,401 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 104,819 ล้านบาท หรือลดลง 180% โดยส่วนใหญ่มาจากผลประกอบการของบริษัทในหมวดพลังงานและสาธารณูปโภคที่ขาดทุนสุทธิ 77% ของขาดทุนสุทธิของบริษัทจดทะเบียนรวม ซึ่งมีสาเหตุมาจากผลขาดทุนของสต็อกน้ำมันจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วแล ะขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน
ส่วนสาเหตุหลักที่ทำให้กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในปี 2551 ลดลงจากปี 2550 เกิดจากผลขาดทุนจากการดำเนินงานของกลุ่มพลังงานในไตรมาส 4/51 และการอ่อนค่าของเงินบาทส่งผลให้บริษัทจดทะเบียนที่มีภาระหนี้ต่างประเทศขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวนรวมทั้งสิ้น 15,456 ล้านบาท ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศมีแนวโน้มตกต่ำในช่วงปลายปี
อย่างไรก็ตาม แม้กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนรวมจะลดลง แต่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และเอ็มเอไอ ยังสามารถทำยอดขายสูงถึง 7.3 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 22% ขณะเดียวกันหากพิจารณาด้านอัตราเงินปันผลตอบแทนที่มีบริษัทจดทะเบียน 272 แห่งประกาศจ่ายเงินปันผลงวดปี 2551 พบว่ามีอัตราเงินปันผลตอบแทนสูงถึง 6.65%
สำหรับบริษัทในกลุ่ม SET50 กำไรสุทธิ 260,498 ล้านบาท คิดเป็น 83% ของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนรวมทั้งหมด ลดลงจากปีก่อน 22% ยอดขายเพิ่มขึ้น 26% ขณะที่ต้นทุนขายเพิ่มขึ้น 32% ส่งผลทำให้กำไรขั้นต้นลดลงเป็น 16% ขณะที่บริษัทในกลุ่ม SET100 กำไรสุทธิ 266,085 ล้านบาท คิดเป็น 85% ของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด ลดลงจากปีก่อน 30% ยอดขายเพิ่มขึ้น 25% ขณะที่ต้นทุนขายเพิ่มขึ้น 31% ทำให้กำไรขั้นต้นลดลงเป็น 16%
หากแยกพิจารณารายกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีอัตราการเติบโตของกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเพียง 2 กลุ่มอุตสาหกรรม คือ กลุ่มธุรกิจการเงิน กำไรสุทธิรวม 89,945 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 396% และกลุ่มเกษตรและกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร กำไรสุทธิ 18,079 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 67% โดยบริษัทจดทะเบียนมีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก คือ บมจ. ปตท. (PTT) บมจ. ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม(PTTEP) บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) บมจ.ธนาคารกรุงเทพ (BBL) และบมจ. ปูนซิเมนต์ไทย (SCC)
ส่วนผลการดำเนินงานปี 2551 ของบริษัทจดทะเบียน 8 กลุ่มอุตสาหกรรม (Industry Group) (ที่นำส่งงบการเงินและไม่รวมบริษัทในกลุ่ม NC และ NPG) รวม 463 บริษัท มีกำไรสุทธิลดลงเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ยกเว้นกลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร โดยกำไรสุทธิรวม 307,454 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 27% ขณะที่มียอดขายเพิ่มขึ้น 22% แต่อัตรากำไรขั้นต้นปรับลดจาก 20% เหลือ 16%
|