Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน5 มีนาคม 2552
ทริสคงเครดิตBGHที่ระดับA จับตาภาระหนี้สินสูง-กำไรลด             
 


   
www resources

โฮมเพจ ไทยเรทติ้งแอนด์อินฟอร์เมชั่นเซอร์วิส (ทริส)
โฮมเพจ กรุงเทพดุสิตเวชการ

   
search resources

ไทยเรทติ้งแอนด์อินฟอร์เมชั่นเซอร์วิส, บจก. - TRIS
กรุงเทพดุสิตเวชการ, บมจ.
Hospital




ทริสคงเครดิตเรทติ้งกรุงเทพดุสิตเวชการที่ระดับ A แนวโน้ม "คงที่" จากความเป็นผุ้นำตลาดในธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ แต่ยังคงจับตาภาระหนี้สินที่ยังอยู่ในระดับสูงจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำอาจจะทำให้ไม่สามารถปรับขึ้นค่ารักษาพยายาลได้

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันของ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน)(BGH) ที่ระดับ A ด้วยแนวโน้ม Stable หรือ "คงที่" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความเป็นผู้นำตลาดในฐานะผู้ประกอบธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ที่สุดในประเทศ ตลอดจนจำนวนผู้รับบริการที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก แพทย์และผู้บริหารโรงพยาบาลที่มีความสามารถและประสบการณ์ รวมทั้งคุณภาพบริการที่อยู่ในระดับสูง ในการให้อันดับเครดิตดังกล่าวยังพิจารณาถึงเครือข่ายที่แข็งแกร่งของบริษัทภายใต้ชื่อกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ โรงพยาบาลสมิติเวช และโรงพยาบาลบีเอ็นเอช อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากอัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุนถาวรที่ค่อนข้างต่ำ ภาระหนี้ที่ค่อนข้างสูงจากการขยายตัวอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ความกังวลเกี่ยวกับภาระหนี้ในอนาคตเนื่องจากบริษัทมีการขยายกิจการทั้งในและต่างประเทศ และการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

ส่วนแนวโน้มอันดับเครดิต Stable หรือ "คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะสามารถรักษาผลการดำเนินงานให้อยู่ในระดับในปัจจุบันเอาไว้ได้ นอกจากนี้ ยังคาดว่าการลงทุนในอนาคตของบริษัทจะใช้เงินทุนจากการดำเนินงานเป็นหลักเพื่อให้สามารถคงอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนให้อยู่ที่ระดับ 50% หรือต่ำกว่า อย่างไรก็ตาม หากแผนการลงทุนของบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงจนทำให้ระดับหนี้สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญก็อาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่ออันดับเครดิตหรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัท

ทั้งนี้ กิจการของบริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการขยายตัวอย่างรวดเร็วนับตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมาเนื่องจากการควบรวมกิจการ โดยบริษัทได้ซื้อกิจการของ บริษัท สมิติเวช จำกัด (มหาชน) บริษัท บีเอ็นเอช เมดิคอล เซ็นเตอร์ จำกัด และโรงพยาบาลอีกหลายแห่งในภาคตะวันออก ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น บริษัท โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา จำกัด บริษัท โรงพยาบาลกรุงเทพระยอง จำกัด บริษัท โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต จำกัด บริษัท โรงพยาบาลกรุงเทพหาดใหญ่ จำกัด และ บริษัท โรงพยาบาลกรุงเทพราชสีมา จำกัด รายได้จากการดำเนินกิจการโรงพยาบาลของบริษัทในช่วงปี 2547-2551 มีอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสมที่ระดับ 42% การควบรวมกิจการโรงพยาบาลหลายแห่งในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาทำให้อัตราส่วนเงินกู้ยืมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 40% ในปี 2547 เป็น 54.5% ในปี 2549 ก่อนจะลดลงมาอยู่ที่ 46% ในปี 2551 และภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้บริษัทต้องชะลอแผนการลงทุนในการก่อสร้างโรงพยาบาลสมองขนาด 60 เตียงและโรงพยาบาลในกรุงอาบู ดาบี

อย่างไรก็ดี บริษัทยังมีแผนใช้จ่ายในปี 2552 ประมาณ 2,600 ล้านบาท หรือประมาณ 11% ของรายได้จากผู้ป่วยรวม เพื่อการบำรุงรักษาโรงพยาบาลที่มีอยู่และก่อสร้างโรงพยาบาลใหม่ที่หัวหิน และพนมเปญ และจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ประกอบกับอัตราการว่างงานในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น อาจส่งผลให้จำนวนผู้ป่วยลดลงและทำให้บริษัทไม่สามารถปรับเพิ่มราคาค่ารักษาได้ ดังนั้นความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจึงขึ้นอยู่กับความสามารถในการควบคุมต้นทุนและใช้สินทรัพย์และบริการที่มีอยู่ร่วมกันภายในกลุ่มให้เกิดประโยชน์มากที่สุด การมีสินทรัพย์ที่ค่อนข้างมากซึ่งบางส่วนยังไม่มีการใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่นั้นมีผลทำให้บริษัทมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุนถาวรค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่ง อย่างไรก็ดี อัตราส่วนดังกล่าวปรับตัวดีขึ้นจาก 11.13% ในปี 2550 มาอยู่ที่ 12.84% ในปี 2551   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us