บสท.ยอมรับเศรษฐกิจชะลอตัวกระทบยอดขายสินทรัพย์ ปีนี้ตั้งเป้าขาย 9,400 ล้านบาท ขณะที่ปี 51 ขายได้ 10,548 ล้านบาท ล่าสุดจัดกลุ่มที่ดินเปล่าเมืองท่องเที่ยวออกขาย หลังที่ดินเพื่อการเกษตรได้ผลทำยอดได้ 1,000 ล้านบาท เผยปี 54 ครบกำหนด 10 ปีต้องยุบเลิกกิจการ เล็งแบ่งทรัพย์ให้ บสก.และบบส.สุขุมวิทสางต่อ
นายชวรัตน์ เชาวน์ชวานิล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) กล่าวว่า ในปัจจุบันภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวไปมาก และส่งผลกระทบต่อยอดขายสินทรัพย์รองการขายของ บสท. อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตามหน้าที่ของบสท. คือการระบายหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) และทรัพย์รองการขาย (เอ็นพีแอล) ออกสู่ตลาด โดยในปี 51 ที่ผ่านมาสามารถจำหน่ายสินทรัพย์ได้ทั้งสิ้น 10,548 ล้านบาท และปรับโครงสร้างหนี้ได้ 17,000 ล้านบาท
ส่วนในปีนี้จึงมีแผนที่จัดกลุ่มทรัพย์สินรอการขายที่มีอยู่ในพอร์ตปัจจุบันจำนวน 6,000 รายการ มูลค่า 76,000 ล้านบาท หลังจากที่ประสบความสำเร็จจากจัดกลุ่มที่ดินเพื่อการเกษตรในปีช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยมียอดขาย 110 รายการ มูลค่า 1,000 ล้านบาท ทั้งนี้ลูกค้าที่ซื้อทรัพย์สินจากบสท.ต้องเป็นนักลงทุนจริงๆ เพราะต้องจ่ายเงินทั้งหมดภายใน 90 วัน และที่สำคัญบสท.ไม่มีสินเชื่อหรือส่วนลดให้ นอกจากภาษีที่ได้รับการยกเว้นเท่านั้น
ล่าสุดได้จัดกลุ่มทรัพย์สินตามเมืองท่องเที่ยวภายใต้แคมเปญ “ที่ดินผืนงาม สวย ครบ คุ้ม ทุกทำเล” โดยคัดเลือกทรัพย์ประเภท ที่ดินเปล่าในจังหวัดที่เป็นแหล่งธุรกิจ แหล่งท่องเที่ยว กว่า 20 รายการมูลค่า ประมาณ 4,000 ล้านบาท อาทิ ที่ดินเปล่าริมทะเลบนเกาะยาวจ. พังงา จำนวน 7 รายการ ประมาณ 1,610 ไร่, ที่ดินเปล่า ขนาด 27 ไร่ริมทะเลหัวหิน (ร้านอาหารชมทะเล) และริมทะเลสามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์, ที่ดินเปล่า กว่า 50 ไร่ จำนวน 5 รายการ ริมถนนมิตรภาพ ใกล้ด่านเขาใหญ่
“การทำตลาดในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัวจะต้องประชาสัมพันธ์ทรัพย์สินแบบเฉพาะเจาะจง จัดกลุ่มชัดเจน เพื่อนำเสนอและดึงดูดให้คนเข้ามาซื้อมากๆ นอกจากนี้ยังต้องขยายช่องทางจำหน่ายด้วยการจัดบูธในต่างจังหวัด รวมถึงการให้เจ้าหน้าที่ทำงานนอกเวลาเพิ่มขึ้น”
สำหรับในปี 52 บสท.ตั้งเป้ายอดขายเอ็นพีเอ จำนวน 9,400 ล้านบาท ตามสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้การขายเอ็นพีเอปีนี้ยากกว่าปีที่แล้ว เพราะสถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ขณะที่กำลังซื้อของลูกค้าและนักลงทุนลดลงจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดย บสท.ยังมั่นใจว่า ยังมีนักลงทุนที่สนใจจะลงทุนระยะยาวในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยจะมีการโยกเงินจากเงินออมอัตราดอกเบี้ยต่ำ การลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดทองคำที่มีความเสี่ยงสูง เข้ามาลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
อย่างไรก็ตาม ในเดือนกรกฎาคม 2554 การดำเนินงานของ บสท.จะครบกำหนดตามพระราชกำหนด บสท. ที่ให้มีอายุการดำเนินงาน 10 ปี ซึ่งขณะนี้ บสท.ได้เสนอแนวทางการยุบเลิกให้กระทรวงการคลังพิจารณาแล้ว และจะโอนทรัพย์สินรอการขายที่เหลือทั้งหมดให้แก่ 2 สถาบันที่กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ซึ่งได้แก่ บริษัทบริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.) และ บริษัท บริหารสินทรัพย์ สุขุมวิท จำกัด ( บบส. สุขุมวิท) ส่วนวิธีพิจารณาแบ่งสินทรัพย์ให้ทั้ง 2 แห่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำ ซึ่งในเบื้องต้น บสก.ได้ยื่นข้อเสนอนำสินทรัพย์ของบสก.ที่นำส่งมายังบสท.ก่อนหน้านี้กลับไปบริหารเองมูลค่าประมาณ 70,000 ล้านบาท
สำหรับสินทรัพย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันจำนวน 770,000 ล้านบาท แบ่งเป็นเอ็นพีเอ 76,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนบังคับคดีและจะใหลเข้าสู่บสท.อีกกว่า 30,000 ล้านบาท รวมเป็นเอ็นพีเอประมาณ 110,000 ล้านบาท ในปี 53 ตั้งเป้าขายเอ็นพีเอ 9,400 ล้านบาท เท่ากับปีนี้ และในปีสุดท้าย 54 ตั้งเป้าขาย 3,000 ล้านบาท ที่เหลือจะจัดกลุ่มแบ่งให้แก่ บสก. และบบส.สุขุมวิทบริหารต่อ รวมไปถึงหนี้สินที่อยู่ระหว่างปรับโครงสร้างหนี้ ลูกค้าอยู่ระหว่างผ่อนชำระด้วย
|