Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน5 มีนาคม 2552
‘บีฟิท’ไม่หวั่น ตลท.สอบหุ้นรุกหาคู่ขาใหม่             
 


   
search resources

Funds
บีฟิท, บล.
ประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ




บล.บีฟิท ยืนยันพร้อมเปิดรับดีลควบรวมกิจการทั้งจากพันธมิตรใหม่และเก่า หวังช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ หลังดีล UOBKH ล้มด้วยสาเหตุผู้บริหารตกลงกันไม่ได้ แต่ย้ำมีกระแสเงินสดถึง2พันล้านช่วยอยู่รอดแม้ไม่มีใครร่วม ด้านผู้บริหารมั่นใจไม่หวั่นตลาดหลักทรัพย์ฯ ตรวจสอบข้อมูลเชิงลึก เพราะขั้นตอนต่างๆ มีการเปิดเผยอยู่ตลอด ส่วนปีนี้ตั้งเป้ามาร์เก็ตแชร์ที่ 6%

นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บีฟิท จำกัด (มหาชน) หรือ BSEC เปิดเผยว่า แม้แผนควบรวมกิจการกับทางบล.ยูโอบี เคเฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (UOBKH) ต้องเป็นอันยุติลงไป แต่ทางบริษัทฯ ก็ยังไม่ได้ปิดกั้นโอกาสและพร้อมที่จะเปิดรับข้อเสนอจากพันธมิตรรายใหม่หรือการพูดคุยกับทาง UOBKH ในการดีลอีกครั้ง เพียงแต่ว่าดีลดังกล่าวนั้นต้องสามารถช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับ BSEC ได้ในอนาคต และการที่จะเข้ามาของพันธมิตรนั้นควรแจ้งทาง BSEC ทราบก่อน

“เมื่อวันที่ 2 มีนาคม ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีการประชุมและได้พูดคุยกับทาง UOBKH เรื่องโครงสร้างผู้บริหาร แต่ไม่สามาตกลงในเรื่องนี้ได้ก็เลยทำให้ดีลต้องเป็นอันล้มไป ขณะเดียวกันในส่วนของ BSEC เองไม่ว่าจะมีพันธมิตรเข้ามาหรือไม่ก็สามารถที่จะอยู่ได้ เพราะมีกระแสเงินสดอยู่เกือบ 2 พันล้าบบาท ส่วนทาง UOBKH จะเข้ามาคุยอีกรอบหรือไม่นั้นเรื่องนี้คงไม่สามารถตอบได้” นายประสิทธิ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวไม่วิตกกังวลต่อการที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จะทำการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึก (อินไซด์) ในเรื่องดีลการควบรวมของบริษัทฯ กับ UOBKH เพราะที่ผ่านมาได้มีการแจ้งข้อมูลต่างๆ ต่อตลาดหลักทรัพย์และสื่อมวลชนอยู่ตลอดเวลา จึงเชื่อว่าขั้นตอนการดำเนินงานเป็นไปด้วยความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้

สำหรับในปี 2552 บริษัทตั้งเป้ามีส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) 5-6 % จากปีที่ผ่านมาซึ่งมีมาร์เก็ตแชร์กว่า 4 % อีกทั้งจะพยายามทำให้ BSEC ติดอันดับ 1 ใน 5 ของธุรกิจหลักทรัพย์ในปีนี้ โดยมาร์เก็ตแชร์ที่เพิ่มขึ้นนั้นมาจากการให้บริการลูกค้าที่ดีและทีมผู้บริหารที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงลูกค้าส่วนใหญ่เคยติดต่อกับบริษัทเป็นระยะเวลานาน

พร้อมกันนี้ BSEC มีแผนจะเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งการการขยายฐานลูกค้า เพิ่มทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจให้กับผู้ลงทุนเพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ เพื่อลดความเสี่ยงในช่วงที่ภาวะตลาดหุ้นผันผวนสูง จากปัญหาเศรษฐกิจโลกที่เป็นปัจจัยกดดันตลาดทั่วโลก ซึ่งเชื่อว่าด้วยการบริหารจัดการต้นทุนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และกระจายช่องทางสร้างรายได้ให้หลากหลายมากขึ้น จะทำให้ BSEC สร้างรายได้และผลกำไรให้ขยายตัวต่อเนื่องได้

ทั้งนี้ จากผลสำรวจในปี2551 พบว่ามีบริษัทหลักทรัพย์ที่ติดอยู่ใน 5 อันดับแรก คือ 1.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (KSET) 2.บล.ภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ PHATRA 3.บล.เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) (ASP) 4.บล.เครดิต สวิส (ประเทศไทย) จำกัด 5.บล.ซิมิโก้ จำกัด (มหาชน) (ZMICO)

โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551 BSEC มีกำไรสุทธิในงบการเงินรวมบริษัทย่อยจำนวน 94.54 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.1171 บาท/หุ้น มีมูลค่าหุ้นตามบัญชี (Book Value) อยู่ที่ 2.63 บาท/หุ้น มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้นกว่า 2,500 ล้านบาท และมีกระแสเงินสดจำนวน 2,000 ล้านบาท ที่สำคัญมีหนี้เสียเพียง 3.6 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทฯ มีฐานะทางการเงินที่ดี ในขณะเดียวกันสามารถบริหารลูกหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพจนทำให้หนี้เสียอยู่ในอัตราค่อนข้างต่ำดังกล่าว

ดร.ประสิทธิ์กล่าวต่อถึงลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อให้เกิดความชัดเจนกับผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายว่า เริ่มจากเมื่อวันที่ 18 ก.พ.2552 บริษัทฯได้แจ้งผ่านทางตลาดหลักทรัพย์ว่าตามที่มีข่าวปรากฏตามหน้าหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับกระแสนักลงทุนต่างชาติเจรจาขอซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่นั้น บริษัทขอชี้แจงให้ทราบว่าปัจจุบันบริษัทยังคงมีการบริหารงานตามปกติและไม่ทราบถึงการเจรจาขอซื้อหุ้นดังกล่าวแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ทำหนังสือสอบถามไปยังบริษัท เงินทุนกรุงเทพ ธนาทร จำกัด (มหาชน) (BFIT) ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยให้ตอบกลับมา   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us