|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บล.บีฟิท ยืนยันพร้อมเปิดรับดีลควบรวมกิจการทั้งจากพันธมิตรใหม่และเก่า หวังช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ หลังดีล UOBKH ล้มด้วยสาเหตุผู้บริหารตกลงกันไม่ได้ แต่ย้ำมีกระแสเงินสดถึง2พันล้านช่วยอยู่รอดแม้ไม่มีใครร่วม ด้านผู้บริหารมั่นใจไม่หวั่นตลาดหลักทรัพย์ฯ ตรวจสอบข้อมูลเชิงลึก เพราะขั้นตอนต่างๆ มีการเปิดเผยอยู่ตลอด ส่วนปีนี้ตั้งเป้ามาร์เก็ตแชร์ที่ 6%
นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บีฟิท จำกัด (มหาชน) หรือ BSEC เปิดเผยว่า แม้แผนควบรวมกิจการกับทางบล.ยูโอบี เคเฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (UOBKH) ต้องเป็นอันยุติลงไป แต่ทางบริษัทฯ ก็ยังไม่ได้ปิดกั้นโอกาสและพร้อมที่จะเปิดรับข้อเสนอจากพันธมิตรรายใหม่หรือการพูดคุยกับทาง UOBKH ในการดีลอีกครั้ง เพียงแต่ว่าดีลดังกล่าวนั้นต้องสามารถช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับ BSEC ได้ในอนาคต และการที่จะเข้ามาของพันธมิตรนั้นควรแจ้งทาง BSEC ทราบก่อน
“เมื่อวันที่ 2 มีนาคม ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้มีการประชุมและได้พูดคุยกับทาง UOBKH เรื่องโครงสร้างผู้บริหาร แต่ไม่สามาตกลงในเรื่องนี้ได้ก็เลยทำให้ดีลต้องเป็นอันล้มไป ขณะเดียวกันในส่วนของ BSEC เองไม่ว่าจะมีพันธมิตรเข้ามาหรือไม่ก็สามารถที่จะอยู่ได้ เพราะมีกระแสเงินสดอยู่เกือบ 2 พันล้าบบาท ส่วนทาง UOBKH จะเข้ามาคุยอีกรอบหรือไม่นั้นเรื่องนี้คงไม่สามารถตอบได้” นายประสิทธิ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวไม่วิตกกังวลต่อการที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จะทำการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึก (อินไซด์) ในเรื่องดีลการควบรวมของบริษัทฯ กับ UOBKH เพราะที่ผ่านมาได้มีการแจ้งข้อมูลต่างๆ ต่อตลาดหลักทรัพย์และสื่อมวลชนอยู่ตลอดเวลา จึงเชื่อว่าขั้นตอนการดำเนินงานเป็นไปด้วยความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้
สำหรับในปี 2552 บริษัทตั้งเป้ามีส่วนแบ่งทางการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) 5-6 % จากปีที่ผ่านมาซึ่งมีมาร์เก็ตแชร์กว่า 4 % อีกทั้งจะพยายามทำให้ BSEC ติดอันดับ 1 ใน 5 ของธุรกิจหลักทรัพย์ในปีนี้ โดยมาร์เก็ตแชร์ที่เพิ่มขึ้นนั้นมาจากการให้บริการลูกค้าที่ดีและทีมผู้บริหารที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงลูกค้าส่วนใหญ่เคยติดต่อกับบริษัทเป็นระยะเวลานาน
พร้อมกันนี้ BSEC มีแผนจะเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งการการขยายฐานลูกค้า เพิ่มทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจให้กับผู้ลงทุนเพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมไว้ เพื่อลดความเสี่ยงในช่วงที่ภาวะตลาดหุ้นผันผวนสูง จากปัญหาเศรษฐกิจโลกที่เป็นปัจจัยกดดันตลาดทั่วโลก ซึ่งเชื่อว่าด้วยการบริหารจัดการต้นทุนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และกระจายช่องทางสร้างรายได้ให้หลากหลายมากขึ้น จะทำให้ BSEC สร้างรายได้และผลกำไรให้ขยายตัวต่อเนื่องได้
ทั้งนี้ จากผลสำรวจในปี2551 พบว่ามีบริษัทหลักทรัพย์ที่ติดอยู่ใน 5 อันดับแรก คือ 1.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (KSET) 2.บล.ภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ PHATRA 3.บล.เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) (ASP) 4.บล.เครดิต สวิส (ประเทศไทย) จำกัด 5.บล.ซิมิโก้ จำกัด (มหาชน) (ZMICO)
โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2551 BSEC มีกำไรสุทธิในงบการเงินรวมบริษัทย่อยจำนวน 94.54 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.1171 บาท/หุ้น มีมูลค่าหุ้นตามบัญชี (Book Value) อยู่ที่ 2.63 บาท/หุ้น มีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้นกว่า 2,500 ล้านบาท และมีกระแสเงินสดจำนวน 2,000 ล้านบาท ที่สำคัญมีหนี้เสียเพียง 3.6 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทฯ มีฐานะทางการเงินที่ดี ในขณะเดียวกันสามารถบริหารลูกหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพจนทำให้หนี้เสียอยู่ในอัตราค่อนข้างต่ำดังกล่าว
ดร.ประสิทธิ์กล่าวต่อถึงลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อให้เกิดความชัดเจนกับผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายว่า เริ่มจากเมื่อวันที่ 18 ก.พ.2552 บริษัทฯได้แจ้งผ่านทางตลาดหลักทรัพย์ว่าตามที่มีข่าวปรากฏตามหน้าหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับกระแสนักลงทุนต่างชาติเจรจาขอซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่นั้น บริษัทขอชี้แจงให้ทราบว่าปัจจุบันบริษัทยังคงมีการบริหารงานตามปกติและไม่ทราบถึงการเจรจาขอซื้อหุ้นดังกล่าวแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ทำหนังสือสอบถามไปยังบริษัท เงินทุนกรุงเทพ ธนาทร จำกัด (มหาชน) (BFIT) ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยให้ตอบกลับมา
|
|
|
|
|