วิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ทำให้คนต้องตกงานนับล้านๆ คน พวกเขาคิดและรู้สึกอย่างไร และมีความในใจอะไรที่อยากระบายให้คุณได้รับรู้
Caterpillar 20,000 Alcoa 15,000 Boeing 10,000 Pfizer 8,300 นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของผู้ถูกเลิกจ้างจากบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกในสหรัฐฯ ในขณะที่ยอดรวมคนตกงานเพราะถูกเลิกจ้างทั่วสหรัฐฯ นับตั้งแต่เริ่มเกิดวิกฤติเศรษฐกิจเป็นต้นมา กำลังจะพุ่งสูงถึง 3 ล้านคนในปีนี้
วิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง เพราะไม่ได้จำกัดอยู่แต่ภาคเทคโนโลยีหรือการผลิต แต่ทุกภาคส่วนของเศรษฐกิจต่างได้รับผลกระทบอย่าง "เท่าเทียม" ถ้วนหน้า คนที่ถูกเลิกจ้างทั่วสหรัฐฯ มีทั้งที่เป็นคนหนุ่มสาวและอายุมาก ทั้งคนงานที่ยากจนและระดับผู้บริหาร ไม่เว้นแม้กระทั่งในท้องถิ่นชนบทที่ห่างไกลจนถึงในเมืองใหญ่ จะเป็นใครก็ได้ แม้แต่ตัวคุณเอง
ผู้ถูกเลิกจ้างเหล่านี้อาจมีพื้นเพที่แตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ความรู้สึกสิ้นหวัง ความกลัว และการพยายามที่จะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง พวกเขาต้องการทำงานอีกครั้ง และได้เรียนรู้แล้วว่า ไม่มีใครที่จะหันหน้าไปพึ่งพาได้ นอกจากตนเป็นที่พึ่งแห่งตนเท่านั้น
เมื่อคนเหลือค่าเพียงอะไหล่ชิ้นหนึ่ง
Barbara Philpot วัย 50 ใช้เวลาที่เหลือไม่กี่สัปดาห์สุดท้าย หลังจากได้รับแจ้งว่าถูกเลิกจ้าง ไปกับการนั่งรอเวลาให้หมดไปวันๆ 31 สิงหาคม 2007 คือวันสุดท้ายของการสิ้นสุดชีวิตการทำงาน 22 ปีในโรงงานแห่งนั้น แต่ความจริงโรงงานปิดไปแล้วตั้งแต่ก่อนหน้านั้น คนงานได้แต่นั่งสัปหงกอยู่ในห้องประชุม หรือเล่นไพ่ฆ่าเวลาไปวันๆ "มันน่าหดหู่" Philpot เล่า โรงงานแจกข้าวกลางวัน ฟรีในวันสุดท้าย แต่ใครจะมีแก่ใจกินลง "ฉันอยากให้เขาแจกเงิน ที่เอาไปใช้ซื้อไก่ทอดมาให้แทนดีกว่า 5 ดอลลาร์ก็ยังดี"
Philpot และเพื่อนร่วมงานอีก 2 คน Michele Scales วัย 52 และ Annette Ison วัย 48 ทำงานในโรงงานผลิตชิ้นส่วน รถยนต์ในเมือง Dayton มายาวนานขนาดนับเวลาทำงานของทั้งสามรวมกันแล้วได้ถึง 60 ปี โรงงานแห่งนั้นเป็นของ Delphi ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ซึ่งเคยเป็นของ GM มาก่อนปี 1999 Philpot ทำงานกับเครื่องเชื่อมโลหะขนาดยักษ์ ส่วน Ison ทำงานในสายพานการผลิต และ Scales เพิ่งจบหลักสูตรฝึกอบรมช่างประปาประจำโรงงาน พวกเธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า จะต้องเป็นคนสุดท้ายในตระกูลที่จะได้ทำงานที่โรงงานเก่าแก่แห่งนี้ แต่การตกต่ำของ GM เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินกว่าใครจะคาดคิด ในปี 2005 Delphi ยื่นขอคุ้มครองล้มละลาย และอีกเพียง 2 ปีต่อมา ทั้งสามก็เป็นเหมือนอะไหล่รถเก่าๆ ที่ถูกทิ้ง
Ison เล่าว่า Dayton เคยเป็นเมืองที่มีชีวิตชีวา แต่ตอนนี้เหมือนเมืองร้าง แม้แต่ Moraine ชุมชนชานเมืองแถบนั้นก็พลอยเสื่อมสูญไปด้วย ภัตตาคารเก่าแก่อายุ 30 ปีต้องปิดตัวลง ป้ายยึดบ้านติดเต็มทั่วเมือง คนงานหญิงทั้งสามยังต้องรู้สึกหงุดหงิดที่หลายคนยังคงเข้าใจว่า Delphi ยังเป็นบริษัทของ GM Philpot รู้สึกเบื่อที่คนมักคิดว่า พวกเธอยังทำงานให้กับ GM และมีชีวิตที่สุขสบาย ตอนนี้เธอต้องดิ้นรนไปวันๆ เธอรักงานของเธอและขอเพียงได้ตื่นขึ้นมาตอกบัตรเข้าทำงานและทำงานจนครบ 8 ชั่วโมงทุกวันก็พอใจ และไม่เคยคิดฝันเลยว่าจะต้องมาพบจุดจบเช่นนี้
คนงาน Delphi ที่เป็นสมาชิกสหภาพจะได้รับสวัสดิการสำหรับคนว่างงาน สวัสดิการรักษาพยาบาล และค่าจ้าง 70% ของค่าจ้างรายชั่วโมงที่เคยได้รับไปจนถึงปี 2010 และยังได้รับเงินเป็นค่าเรียนต่อ แต่การที่ทั้งสามไม่เข้าใจเรื่องเงื่อนไขของเงินชดเชยการถูกเลิกจ้าง ทำให้เข้าใจผิดคิดว่าจะได้รับเงินที่มากกว่านี้ เมื่อถูกเลิกจ้าง และไม่รู้ว่าพวกเธอจะต้องกลับไปเรียนต่อ จึงจะสามารถรักษาสิทธิ์การได้รับเงินสวัสดิการคนว่างงานได้ พวกเธอยังไม่รู้ด้วยว่า วิชาที่สามารถจะกลับไปเรียนต่อได้นั้นมีจำกัด ถูกเลิกจ้างก็แย่พออยู่แล้ว ยังจะต้องกลับไปเรียนหนังสืออีก
Scales บอกว่าครั้งสุดท้ายที่อยู่เรียนหนังสือ เธอเป็นเนื้องอกที่รังไข่ ช่วง 5 ปีมานี้เธอต้องรับการผ่าตัดถึง 21 ครั้ง เนื่องจากโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากการตัดเต้านมและมดลูก Scales เพิ่งจบหลักสูตรฝึกอบรมในเดือนพฤษภาคม 2007 แล้วเธอก็ถูกเลิกจ้าง เธอจึงไปทำงานที่เม็กซิโก แต่ประสบการณ์การเป็นช่างประปาในโรงงานอุตสาหกรรม ใช้ไม่ได้กับบ้านที่อยู่อาศัย แล้วก็ไม่มีงานช่างประปาโรงงานที่เม็กซิโกเลย ตอนนี้เธอหวังว่าจะได้งานระดับหัวหน้า หากเธอกลับไปเรียนต่อจนได้อนุปริญญา แต่เธอไม่มีสิทธิ์ได้รับเงินสวัสดิการการศึกษา จึงต้องพึ่งเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษาและเธอกำลังจะถูกยึดบ้าน การไม่รู้ว่าจะมีที่ซุกหัวนอน ได้อีกนานแค่ไหน ทำให้ Scales ยากจะสงบใจเพื่อตั้งใจเรียนได้ และเธอรู้สึกว่า "ชีวิตฉันขึ้นอยู่กับสิ่งนี้เท่านั้น"
เมื่อคนที่เคยให้คำปรึกษาคนตกงาน ถึงคราวให้คำปรึกษาตัวเอง
Greg Dillon เป็นอาสาสมัครที่ศูนย์จัดหางานและที่โบสถ์ คอยช่วยแนะนำวิธีเขียนประวัติย่อและช่วยวางแผนเรื่องงาน เขารู้สึกสุขใจที่ได้ใช้ความรู้ของตัวเองให้เป็นประโยชน์แก่คนอื่น ในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการฝึกอบรมและการพัฒนา ในวันนี้ เขาจึงไม่จำเป็นต้องพึ่งหนังสือพิมพ์เพื่อติดตามข่าวผลกระทบของ วิกฤติเศรษฐกิจในละแวก Cobb County ที่เขาอยู่ ซึ่ง "เลวร้ายที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอ" Dillon กล่าว งานที่เขาเป็นอาสาสมัครทำให้ได้รู้เห็นจำนวนคนตกงานที่เพิ่มขึ้นด้วยตนเอง
ขณะนี้ตัว Dillon เองอาจต้องให้คำปรึกษาแก่ตัวเองในเรื่องการหางาน เมื่อเขาถูกเลิกจ้างจากบริษัท Forum Co. เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนปีที่แล้ว 1 วันก่อนวันเกิดอายุครบ 49 ปี เป็นครั้งที่ 2 แล้วที่เขาต้องตกงานในรอบ 18 เดือน เขารู้สึกโชคร้าย และรู้ดีเรื่องการตกงาน "คนที่เคยสอนคนอื่นถึงวิธีแก้ผมร่วง แต่ตอนนี้กลับต้องกลายมาเป็นคนใช้วิธีนั้นเสียเอง"
อาชีพของ Dillon มั่นคงตลอดมา แต่หลังจากทำงานที่สำนักจัดหางานในตำแหน่งผู้จัดการด้านการเรียนรู้มานาน 7 ปี เขากลับตัดสินใจที่จะทำอะไรที่แตกต่างและตัดสินใจเปลี่ยนงานในปี 2006 เพื่อไปทำงานในบริษัทฝึกอบรมที่ Atlanta นั่นไม่ใช่การตัดสินใจที่ดีนัก 11 เดือนต่อมา เขาถูกเลิกจ้างเนื่องจากธุรกิจชะลอตัว เขาเล่าสาเหตุที่ตัดสินใจออกจากงานที่มั่นคงว่า ต้องการจะขยายขอบเขตของตัวเองอีกสักหน่อย แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ทุกอย่างจะไม่เป็นอย่างที่เขาตั้งใจ เขาได้งานที่ Forum แต่ก็ทำงานได้เพียงปีกว่าก็ถูกเลิกจ้างอีก
Dillon รู้สึกกังวลแต่มีความหวังว่าจะหางานได้โดยเร็วในแวดวงวิชาการ มีตำแหน่งอาจารย์ในมหาวิทยาลัยใกล้ๆ บ้าน เขายังไปสัมภาษณ์งานมาอีกหลายแห่ง แต่ทุกอย่างเหมือนจะช้าไปหมด "ผมรู้สึกเหมือนถูกลืม" เขารู้สึกเหมือนว่า มีสิ่งที่รอเขาอยู่ข้างนอก แต่เขากลับยังไม่เข้มแข็งพอที่จะทำใจให้สงบได้
แต่สิ่งที่ Dillon รู้สึกว่าเลวร้ายที่สุด คือความรู้สึกไร้อำนาจ แม้เขาจะรู้ว่ามีคนอีกมากมายที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขาในเวลาเดียวกัน คนเหล่านั้นคือคู่แข่งที่ต้องมาแย่งงานทำ สุดท้าย Dillon ต้องพึ่งกำลังใจจากครอบครัวและศาสนา เขาหวังว่าการไปโบสถ์จะสอนให้เขาเรียนรู้เรื่องความอดทนมานะบากบั่นได้
Dillon ได้รับเงินชดเชยการถูกเลิกจ้าง 1 เดือน ซึ่งหมดไปอย่างรวดเร็วในเมื่อเขามีลูกสาว 3 คน และคนหนึ่งเพิ่งเริ่มเรียนมหาวิทยาลัย และเกือบต้องย้ายออกจากหอพักถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากญาติภรรยาของเขา Kathryn มีธุรกิจทำผ้าม่าน แต่ลูกค้าก็หดหาย เมื่อกระปุกเกียร์ของรถ Nissan Maxima รุ่นปี 93 เสีย Dillon ไม่ซ่อมแต่บริจาคให้การกุศล "เผื่อว่าคนอื่นอาจเอาไปใช้ประโยชน์ได้"
ชีวิตหลัง Lehman Brothers
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะไปสัมภาษณ์งาน เมื่อสิ่งแรกที่ทุกคนเห็นในใบสมัครของคุณเป็นชื่อของบริษัทที่เกือบจะมีความหมายเท่ากับวิกฤติการเงินเอง สิ่งหนึ่งที่ Anthony Singh วัย 51 จากนิวยอร์ก ได้ค้นพบคือ การมีชื่อ Lehman Brothers อยู่ในใบสมัครงานไม่ใช่เรื่องดี Singh เคยเป็นผู้บริหารด้านตลาดทุนของ Lehman เขาถูกเลิกจ้างในเดือนมกราคมปีที่แล้ว หรือ 8 เดือนก่อนที่วาณิชธนกิจชื่อดังจะล้ม แต่นั่นก็ไม่ช่วยอะไร บางคนยังถามเขาแบบล้อๆ ด้วยว่า เขามีส่วนที่ทำให้เกิดวิกฤติการเงินครั้งนี้ด้วยหรือเปล่า
เมื่อ Singh เริ่มทำงานกับ Lehman ในปี 2007 เขารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ทำงานกับบริษัทชั้นนำระดับ blue chip ที่เหมือนกับพิมพ์แบงก์ได้เองแห่งนี้ และจำได้ดีที่ถูกกดดันให้ตัดสินใจในทันที ว่าจะรับงานนี้หรือไม่ "พวกเขาบอกว่าต้องการคำตอบเดี๋ยวนี้ คุณจะอยู่กับเรามั้ย จะลงเรือลำเดียวกับเรามั้ย" แต่เมื่อได้เข้าทำงาน Singh รู้สึกผิดหวังกับการขาดการสื่อสารระหว่างหน่วยงาน แต่ตอนที่เขาถูกเลิกจ้างหลังจากทำงานได้เพียง 9 เดือน Singh เชื่อว่าเป็นเพราะเขาเข้ากับที่นี่ไม่ได้ แต่ไม่ใช่สัญญาณที่บ่งบอกว่า Lehman กำลังจะล่มสลาย
Singh รักงานของเขา เขาจบ MBA จาก New York University มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปีในด้านการบริหารรายได้และต้นทุนของธนาคารและวาณิชธนกิจ งานของเขาคือการคำนวณว่าส่วนใดของธุรกิจที่ทำกำไรมากที่สุดเมื่อรวมต้นทุนทั้งหมดแล้ว แต่ในขณะที่ธนาคารและสถาบันการเงินที่กำลังย่ำแย่ทั้งหลาย กำลังมัวแต่หาทางรวมกิจการกันจนหัวปั่น และลอยแพพนักงานนับพันนับหมื่นคน ไม่มีใครต้องการที่จะจ้างนักวิเคราะห์ระยะยาวอย่าง Singh อีกแล้วในยามนี้
12 เดือนที่ตกงาน Singh ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในแต่อพาร์ตเมนต์ในแมนฮัตตัน เล่นเวตหรือดูหนังเก่าอย่าง Casablanca และมีเวลาให้กับงานอดิเรกอย่างการสืบสาแหรกของตระกูล เขาเป็นคน Guyana โดยกำเนิด อพยพหนีความวุ่นวายทางการเมืองในบ้านเกิดมาอยู่ในสหรัฐฯ ตามพ่อแม่และพี่น้อง 7 คน เมื่อตอนที่ Singh อายุเพียง 13 ปี งานอดิเรกนี้ทำให้เขาค้นพบว่าตัวเองเป็นลูกเสี้ยว ทั้งอินเดีย จีน สกอตและไอริช เขาเคยหวังจะเที่ยวรอบโลก แต่ตอนนี้คงต้องรอไปก่อน แม้เขาจะเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเอง แต่เขาก็อึ้งไปเมื่อถูกถามว่า เขาคิดว่าสถาบันการเงินจะเปลี่ยนแปลงไป จนงานที่เขามีความเชี่ยวชาญอาจไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไปหรือไม่ Singh ตอบว่าไม่ แต่ก็รำพึงดังๆ ว่าบางทีธุรกิจการเกษตรอาจต้องการความเชี่ยวชาญที่เขามีบ้างเหมือนกัน
หลับไม่สนิทอีกเลยหลังถูกเลิกจ้าง
ในขณะที่คนอเมริกันส่วนใหญ่มักถือสุภาษิตน้ำขึ้นให้รีบตักเมื่อเวลาที่เศรษฐกิจยังรุ่งเรือง แต่ Cory Clapsaddle วัย 37 พอใจกับสิ่งที่เขามี เขาต้องการจะเดินตามรอยเท้าพ่อ ทำงานในโรงงานกระดาษที่พ่อเคยทำ และเลี้ยงครอบครัวในบ้านที่เขาเคยเติบโตมา เขาเชื่อว่าสิ่งที่ดีกับพ่อ ย่อมดีกับตัวเขาเช่นกัน Clapsaddle เป็นคนอดทนทำงานก่อสร้างและงานสารพัดมา 7 ปี ก่อนที่จะสามารถเข้าทำงานในโรงงานกระดาษที่มีอายุเก่าแก่เป็นร้อยปีได้สำเร็จเมื่อปี 1998 เขาเชื่อถืออย่างหมดใจในความมั่นคงของโรงงาน Wausau Paper "มันเหมือนกับโรงงานที่ไม่มีวันตาย" 10 ปีที่โรงงานแห่งนี้ Clapsaddle เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานเป็นอย่างดี
แต่แล้วก่อนถึงวันแรงงานปีที่แล้วเพียงไม่กี่วัน Wausau Paper กลับประกาศยุติการเดินเครื่องจักรขนาดยักษ์ 1 ใน 2 เครื่องที่มีอยู่ และเลิกจ้างพนักงาน 150 คน โดยอ้างสภาพตลาดที่ย่ำแย่ และ Clapsaddle เป็นหนึ่งในนั้น แม้ว่าจะไม่ต้องทำงานกะดึกที่ต้องทำงานตั้งแต่ 5 ทุ่มถึง 7 โมงเช้าอีกต่อไปแล้ว แต่ Clapsaddle ไม่เคยนอนหลับสนิทในตอนกลางคืนได้อีกเลย ในหัวคิดวนเวียนอยู่แต่การหางาน ตกงาน และค่าใช้จ่ายภายในบ้าน
Clapsaddle ไม่มีสวัสดิการอื่นใดรองรับอีก นอกเหนือจากเงินชดเชยการถูกเลิกจ้างเพียง 10,000 ดอลลาร์ เขากับภรรยา Amanda เพิ่งซื้อบ้านที่เคยอยู่เมื่อสมัยเด็กๆ ใน Livermore Falls เมื่อ 2 ปีก่อน และทำห้องให้ลูกชาย 2 คนอายุ 4 ขวบและ 7 ขวบ พวกเขาต้องจ่ายค่าผ่อนบ้านเพิ่มขึ้น 4 เท่าเป็นเกือบ 1,000 ดอลลาร์ต่อเดือน ในขณะที่เขาได้รับเงินสวัสดิการผู้ว่างงานเพียง 344 ดอลลาร์ต่อสัปดาห์ สองสามีภรรยาต้องลดค่าใช้จ่ายด้วยการลดเวลาใช้โทรศัพท์มือถือ และใช้เตาฟืนแทนน้ำมัน
Clapsaddle เพิ่งจะเริ่มทำใจยอมรับความจริงที่ว่า โรงงานกระดาษไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของอนาคตของครอบครัวอีกต่อไป เขายังเก็บตะกร้าที่พ่อของเขาเคยใช้ใส่อาหารกลางวันไปกินที่โรงงาน ทุกวัน "มันเจ็บปวด" Clapsaddle กล่าวขณะมองออกไปนอกหน้าต่าง ดูลูกชายทั้งสองเล่นหิมะ แต่เขาไม่เคยคิดจะอพยพออกจากเมือง Jay ซึ่งมีประชากรเพียง 5,000 คนในรัฐ Maine แห่งนี้
Clapsaddle จะทำอย่างไรต่อไป เขากำลังคิดจะกลับไปทำงานก่อสร้าง จริงๆ เขาอยากเป็นนักดับเพลิง แต่คิดว่าคงจะสู้พวกหนุ่มๆ ไม่ได้ และเขาสอบไม่ผ่านข้อสอบเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย แต่เขาอาจจะลองสอบใหม่อีกครั้ง ตอนนี้ Clapsaddle เข้าเรียนในหลักสูตรเครื่องทำความร้อนและเครื่องปรับอากาศที่ Scarborough ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงครึ่งจากบ้าน โดยโครงการช่วยเหลือของรัฐบาลกลางเป็นผู้ออกเงินค่าเรียน ค่าหนังสือ และค่าเดินทางให้ เขายังไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป รู้แต่ว่าตอนนี้เขาไม่สามารถอยู่เฉยได้ "ผมต้องทำอะไรสักอย่าง"
จากผู้จัดการอาวุโสเป็นพนักงานชั่วคราว
หากมีใครบอกกับ Diana Mackey วัย 62 เมื่อไม่กี่ปีก่อน ว่าเธอจะต้องมาทำงานกะดึก เป็นพนักงานจัดหนังสือชั่วคราวในคลังหนังสือของ Amazon.com เว็บขายหนังสือชื่อดัง คงจะถูกเธอหัวเราะใส่หน้าเป็นแน่ ประสบการณ์อันคร่ำหวอดในสายงานทรัพยากรมนุษย์ในบริษัทชื่อดังอย่าง Ernst & Young และ Cambridge Technology Partners ทำให้ Mackey สามารถเลี้ยงลูก 2 คนโดยลำพัง ซื้อบ้านหลายหลัง เที่ยว และเก็บเงินสำหรับวัยเกษียณ แต่ตอนนี้เธอสูญเสียทุกอย่างแม้กระทั่งงานชั่วคราวที่ Amazon หลังจากทำได้เพียง 4 วัน ซึ่งเธอถูกให้ออกเพราะว่าเดินไม่เร็วพอ การปรับองค์กรที่เกิดขึ้นหลายครั้ง การควบรวมกิจการ บวกกับความโชคร้าย ทำให้ Mackey ตกงาน สิ้นหวังและ ยอมทำทุกอย่างที่จะช่วยให้เธอกับเพื่อนชาย มีเงินมาจ่ายค่าผ่อนคอนโดใน Reno "มันยากที่จะเชื่อว่า ไม่มีใครต้องการคุณอีกแล้ว" Mackey บอก "มันยากที่จะยอมรับ แต่เราจะต้องรอด"
จาก Colombus บ้านเกิด Mackey ใช้เวลาหลายปีขึ้นล่องระหว่างนิวยอร์กกับโอไฮโอ เพื่อคัดสรรพนักงานใหม่ให้แก่ Ernst & Young จนได้เลื่อนขึ้นเป็นผู้จัดการอาวุโส เธอเปลี่ยนไปทำงานกับ Claremont Technology Group ซึ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น และทำให้ Mackey มีเงินมากพอที่จะย้ายไปอยู่ซานฟรานซิสโก และเปลี่ยนไปทำงานกับ Cambridge ในปี 1997 แต่หลังจากนั้น Mackey ต้องสูญเสียรายได้ไปมากโข เมื่อเธอล้มเหลวในการลงทุนในบริษัท dot com เปิดใหม่ 2 แห่งที่ไปไม่รอด Mackey ย้ายไปที่ Sparks พร้อมกับเพื่อนชายของเธอ John Corbin ในปี 2002 และได้งานด้าน HR ที่เธอถนัดในบริษัทโทรคมนาคม ทำให้เธอกลับมีรายได้สูงตามเดิมที่ 90,000 ดอลลาร์ แต่บริษัทดังกล่าวถูกซื้อไปโดย Sprint เธอถูกเลิกจ้าง Mackey ได้งานใหม่ที่มีรายได้ 70,000 ดอลลาร์ในบริษัท Round Table Pizza แต่ก็ทำได้เพียง 16 เดือน เมื่อบริษัทรวมกิจการ 2 แห่งเข้าด้วยกัน Mackey ก็รู้ชะตากรรมตัวเอง เธอถูกเลิกจ้างอีกครั้ง
หลังจากนั้นชีวิตของเธอก็มีแต่การวิ่งหางาน ซึ่งยากมากในเมืองอย่าง Reno ซึ่งมีบริษัทใหญ่ๆ น้อยมาก Mackey บอกว่า สำนักจัดหางานมีแต่คนตกงานในวัย 60 ปีนั่งมองหน้ากันไปมา Mackey เพิ่งจะผ่านการสัมภาษณ์งานมาราธอนถึง 9 ครั้งกับบริษัทยาแห่งหนึ่ง เพียงเพื่อจะได้รับการแจ้งว่าตำแหน่งที่เธอสมัครถูกยกเลิก Mackey ไปเป็นอาสาสมัครหาเสียงของประธานาธิบดี บารัค โอบามา เมื่อถังแตกเข้าจริงๆ เธอกับเพื่อนชายต้องยอมทำงานกะดึกชั่วคราวที่ Amazon เป็นงานที่มีอายุสั้นเพียง 4 คืน
ทุกวันนี้ Mackey ได้รับเงิน 362 ดอลลาร์ต่อสัปดาห์เป็นสวัสดิการว่างงาน และกำลังลังเลว่าจะเริ่มรับเงินสวัสดิการผู้สูงอายุดีหรือไม่ เพราะว่าเธอจะได้รับมากกว่า หากสามารถอดทนรอไปเริ่มขอรับเงินเมื่ออายุ 65 Mackey กับเพื่อนชายรู้สึกเหมือนกำลังติดกับคอนโดที่อยู่ก็ขายไม่ออก เพราะบ้านล้นตลาดเนื่องจากการถูกยึด Mackey เริ่มเอาข้าวของส่วนตัวออกขายบน eBay และใช้ชีวิตไม่สุขสบายเหมือนเมื่อก่อน จากที่เคยกินสเต๊กราคาแพง ตอนนี้เธอต้องไป Wal-Mart เหมาแฮมเบอร์เกอร์ลดราคามาทีเดียว 75 กล่อง และใช้จ่ายเงินทุกบาททุกสตางค์อย่างคุ้มค่าที่สุด โดยเลือกซื้อแต่ร้านที่ขายราคาถูกที่สุด
กลับจากสงครามเพื่อมาสู้ศึกแย่งงาน
ประวัติของ Adam Schulz บนอินเทอร์เน็ตบอกว่า เขาเป็น "ทหารผ่านศึกที่ต้องการหางานในชิคาโก มีประสบการณ์ในการเป็นผู้นำภายใต้แรงกดดันในสภาพแวดล้อมที่เป็นปฏิปักษ์"ด้วยดีกรีนักเรียนนายร้อยจาก West Point ที่จบด้วยคะแนน GPA สูงถึง 3.47 เมื่อปี 2002 ในสาขาวิศวกรรมระบบสารสนเทศ Schulz วัย 28 โดดเด่นทั้งเมื่ออยู่ที่โรงเรียนนายร้อยและในสมรภูมิ เขาเคยไปรบที่อิรักมาแล้ว 2 ครั้ง ในปี 2003 และ 2007 เคยเป็นผู้บังคับหมวดและเคยเป็นผู้บริหาร เคยได้รับเลือกให้เข้ารับการฝึกพิเศษด้านภาวะผู้นำ และเคยเป็นนายทหารองครักษ์ประจำตัวนายพลในเยอรมนี ในอิรัก เขาสร้างผลงานช่วยลดความรุนแรงในพื้นที่ที่เขาดูแล และช่วยฝึกรบให้แก่ตำรวจอิรัก
เมื่อต้องสูญเสียเพื่อนรักที่เรียนด้วยกันมาจากการถูกซุ่มยิงในอิรัก Schulz ขอลาหยุด 1 เดือน ก่อนจะตัดสินใจลาออกจากกองทัพเมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว แต่การหางานด้านพลเรือนของเขากลับกลายเป็นเหมือนสงครามที่มีแต่ความพ่ายแพ้ เขาสัมภาษณ์งานหลายแห่งที่เขารู้สึกว่ากำลังจะได้งาน แต่แล้วก็กลับได้รับโทรศัพท์แจ้งว่า เขามีคุณสมบัติดีมากและบริษัทก็ต้องการเขา แต่สภาพเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย "ผมเจอแบบนี้มา 6 ครั้งแล้ว"
Schulz ซึ่งโปรดปรานการเล่น snowboard และชมการต่อสู้ที่ดุเดือด ได้ติดต่อบริษัทจัดหางานที่เชี่ยวชาญการหางานให้แก่อดีตนายทหาร เขาสมัครงานไปแล้วมากกว่า 200 ตำแหน่งตลอดปีที่แล้ว โดยไม่ได้รับการตอบกลับแม้แต่รายเดียว ด้วยความเชื่อมั่นว่าจะสามารถหางานได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากประสบการณ์เข้มข้นที่เขามี ทำให้ Schulz ตัดสินใจซื้ออพาร์ตเมนต์เมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว เมื่อต้องดิ้นรนหาเงินมาจ่ายค่าผ่อนอพาร์ตเมนต์ Schulz จำต้องทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์และงานชั่วคราวอื่นๆ และเข้าร่วมในกองกำลังพิทักษ์ชาติ เขายังคิดจะกลับไปเรียนต่อ MBA และปริญญาโทด้านการบริหารวิศวกรรม
Schulz รู้สึกสับสนและผิดหวัง ที่ความสำเร็จในอิรักของเขาไม่อาจทำให้เขาประสบความสำเร็จในโลกธุรกิจ บางบริษัทเอาแต่ติที่เขาขาดประสบการณ์ในด้านธุรกิจ แต่ Schulz คิดว่า การที่เขาสามารถเป็นผู้นำหน่วยทหารในสงครามจริงๆ ทำให้เขามีมุมมองต่อชีวิตที่พนักงานทั่วไปไม่มีวันรู้ และมุมมองที่สำคัญที่สุดของผู้นำที่เขาได้รับจากประสบการณ์ในสมรภูมิคือ ความสามารถในการปรับตัว "คุณได้รับกำลังคนเพียงหยิบมือ แต่ต้องหาทางแก้โจทย์ให้ได้" นี่คือสิ่งที่เขาพยายามจะอธิบายให้บริษัทเข้าใจ Schulz ยังเชื่อมั่นว่าเขาทำทุกสิ่งที่ผ่านมาอย่างถูกต้อง เขาเล่าว่า "ตอนอยู่ที่ West Point ทุกคนจะบอกว่า หากคุณตัดสินใจที่จะไป จะมีความไปได้หลายอย่างที่คุณไม่รู้จัก และไม่รู้จะจัดการกับมันยังไง" แต่บางทีบริษัทอาจเข้าใจอะไรบางอย่างที่ Schulz และ West Point อาจไม่เข้าใจ อย่างเช่นสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ขนาดหนักอย่างในตอนนี้
รถขนหมูเที่ยวสุดท้ายออกจากฟาร์ม
ที่ Storm Lake ในรัฐไอโอวา ประชากรหมูที่นี่มีมากกว่าคน 18 ต่อ 1 เป็นเวลานานถึง 36 ปีมาแล้ว ที่ Norlin Gutz ซึ่งขณะนี้มีอายุ 56 เลี้ยงลูกหมูถึง 50,000 ตัวต่อปี ในฟาร์มที่ก่อตั้งโดยบรรพบุรุษของเขาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 19 Gutz เป็นหนึ่งในเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรอิสระที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนที่ยังไม่ถูกบริษัทกลืน แต่ในวันที่ 11 มกราคมที่ผ่านมา Gutz ขายลูกหมูทั้งหมดที่เหลืออยู่ 15,000 ตัวไปจนหมด เพราะเขาล้มละลาย
Gutz บอกว่าสาเหตุที่เขาล้มละลายเกิดจากราคาอาหารสัตว์ที่แพง เพราะการไม่ควบคุมอุตสาหกรรมผลิตเอทานอลที่ใช้ข้าวโพด ทำให้เขาและเกษตรกรคนอื่นๆ ปรับตัวไม่ทัน ราคาข้าวโพดเพิ่งจะตกลงไปไม่กี่เดือน แต่พอถึงปี 2007-2008 ราคาข้าวโพดกลับพุ่งพรวดจาก 2 ดอลลาร์เป็น 7 ดอลลาร์ต่อบูเชล แต่จำนวนลูกหมูที่ล้นตลาดทำให้ราคาหมูตก Gutz ต้องขายลูกหมูหนัก 10 ปอนด์ในราคาเพียง 10 ดอลลาร์ ทั้งๆ ที่ต้นทุนค่าเลี้ยงตก 30 ดอลลาร์
พอเดือนมีนาคมปีที่แล้ว Gutz และ Becky ภรรยาก็ถูกทางธนาคารที่เขากู้เงินมานานเชิญไปพบ หลังจากที่เขามีปัญหาการชำระหนี้ แล้วสิ่งที่เขากลัวที่สุดก็กลายเป็นจริง เมื่อธนาคารแจ้งว่าจะไม่ปล่อยกู้ให้อีกแล้ว Gutz ต้องปลดคนงานทั้งหมดและทยอยขายของในฟาร์มเพื่อเอาเงินไปใช้หนี้และเร่งขุนลูกหมูของเขาให้ได้น้ำหนัก 260 ปอนด์ตามที่ตลาดต้องการ เพื่อรีบขายออกให้หมด ได้ราคาเท่าไหร่ก็ต้องทำใจ แล้ว Gutz ก็กลายเป็นสถิติไป เมื่อเขาต้องกลายเป็น 1 ในฟาร์มเลี้ยงสุกรทั้งหมด 900 แห่งที่ทางการสหรัฐฯ เคยคาดการณ์ว่าจะล้มละลาย
จากนั้น Gutz เริ่มมีปัญหาสุขภาพ เขาปวดศีรษะอย่างรุนแรง หมอบอกว่าเขาอาจโกรธมากเกินไป แต่ Gutz เถียงว่า เขาไม่ได้โกรธ อาจจะผิดหวังในตัวเอง ในที่สุดอาการปวดหัวหายไป Gutz พยายามเริ่มต้นใหม่และหาช่องว่างในตลาด แต่ธนาคารก็ไม่ยอมปล่อยกู้ Gutz ประกาศล้มละลายเมื่อวันที่ 2 ธันวาคมปีที่แล้ว เพียงเมื่อ 18 เดือนก่อนหน้านั้น เขายังมีสินทรัพย์สุทธิถึง 1.3 ล้านดอลลาร์ Gutz ต้องไปรับจ้างเลี้ยงหมูให้คนอื่น แต่ Becky ภรรยาของเขาตัดสินใจกลับไปเรียนต่อ จนสามารถต่ออายุใบอนุญาตเป็นพยาบาลที่เธอไม่เคยใช้เลย ตลอด 30 ปีที่ต้องเลี้ยงลูก 5 คนและช่วยสามีดูแลฟาร์มสุกร Becky ไปทำงานในบ้านพักคนชรา Gutz ไม่ว่าอะไร เขาเข้าใจความรู้สึกของภรรยาดี "เมื่อใจคุณสลายไปแล้ว มันก็ยากที่คุณจะกลับไปรู้สึกอยากทำในสิ่งที่เคยล้มเหลวอีก" Becky เพียงแต่ต้องการสิ่งใหม่ๆ
เขาจะพยายามหันไปทำอะไรใหม่ๆ เหมือนภรรยาหรือเปล่า Gutz ซึ่งเคยได้รับยกย่องให้เป็นเกษตรกรเลี้ยงสุกรตัวอย่างของรัฐบอกว่า "ผมโตมากับฟาร์มหมู ผมทำอย่างอื่นไม่เป็น" เขารู้สึกว่าทำให้ภรรยาผิดหวัง ทำให้ทุกคนผิดหวัง และรู้สึกว่าคนอื่นๆ กำลังซุบซิบนินทา "มันน่าอาย เพราะที่นี่คือโลกทั้งโลกของผม"
เมื่อ "ชาวเน็ต" ถูกเลิกจ้างในยุคอินเทอร์เน็ต
ด้วยวัย 24 Melissa Daniels นึกไม่ออกถึงชีวิตที่ไม่มีอินเทอร์เน็ต ความทรงจำในวัยเด็กที่เธอจำได้ไม่ลืมคือ ตอนที่คิดตั้งชื่อนามแฝงไม่ออกเมื่อสมัคร AOL ตอนที่เธออายุเพียง 8 ขวบ ดังนั้นเมื่อยาฮูเสนองานในตำแหน่งผู้ประสานงานระหว่างฝ่ายผลิตภัณฑ์กับผู้ใช้ยาฮูมาให้เมื่อปีที่แล้ว Daniels จึงตะครุบโอกาสนี้ไว้ทันที โดยไม่สนใจเลยว่า ตอนนั้นยาฮูกำลังมีปัญหา และเพิ่งปฏิเสธการเทกโอเวอร์จากไมโครซอฟท์ไป เพราะนี่ไม่ใช่งานที่ใครจะปฏิเสธได้ เธอรู้สึกเป็นเกียรติมากที่ได้รับการเสนองานจากบริษัทที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้
Daniels ตื่นเต้นและสนุกกับงานมากจนไม่ค่อยสนใจความเป็นไปในบริษัท เมื่อถูกเลิกจ้างในเดือนธันวาคมปีที่แล้วหลังจากทำงานได้เพียง 7 เดือน Daniels รู้สึกเศร้าและผิดหวังมากกว่าตกใจหรือโกรธ เธอรักงานนี้และรักเพื่อนร่วมงานทุกคน "เราจะร้องไห้เพราะน้องหมาหรือพ่อแม่ญาติพี่น้องเท่านั้นแหละ แต่ไม่ใช่เรื่องงาน" Daniels บอก
สำหรับ Daniels นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่เลวร้ายอะไรในชีวิตที่อะไรๆ ก็ล้วนแต่รวดเร็วไปหมด เธอจบปริญญาโทบริหารการสื่อสารเมื่ออายุเพียง 22 ปีจาก University of Southern California อายุ 23 ได้งานที่ยาฮูและซื้อคอนโดที่ซานโฮเซ่ โดยแม่ช่วยออกเงินด้วย พออายุ 24 ก็ถูกเลิกจ้าง "ฉันยังไม่รู้เลยว่าคนเขาต้องทำยังไงกันเวลาถูกเลิกจ้าง ที่จริงฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการถูกเลิกจ้างมันมายังไงไปยังไง"
ตอนนี้ Daniels ซึ่งประกาศตัวเองเป็น "ชนเชื้อสายดิจิตอล" ก็ใช้เครื่องมือที่เกิดมาพร้อมกับคนรุ่นเธออย่างเต็มที่ในการหางานใหม่ เธอหางานผ่าน LinkedIn, Twitter และยังเขียนบล็อกตัวเอง ซึ่งเธอเขียนเล่าความเป็นไปในงานที่เคยทำ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ Daniels เริ่มพินิจพิจารณาทุกบริษัทด้วยสายตาที่สงสัยมากขึ้น "เรื่องใหญ่ของฉันคือความมั่นคง" เธอไม่ต้องการถูกเลิกจ้างอีก Daniels ไปสัมภาษณ์งานใหม่มาแล้วหลายสิบครั้ง หลายครั้งกับตัวนายจ้างโดยตรง แต่ก็ยังไม่มีข่าวดี "มันก็เหมือนออกเดทนั่นแหละ เขาจะชอบฉันมั้ย หรือว่าไม่"
อาจเป็นเพราะอายุยังน้อย Daniels จึงยังคงมีความมั่นใจสูง และยืนยันว่าจะไม่ยอมรับเงินเดือนที่ต่ำกว่าปกติ นอกจากว่างานนั้นดีจริงๆ และเธอรู้ดีว่า อายุที่ยังน้อยและการเรียกค่าจ้างที่ไม่สูง ทำให้เธอได้เปรียบคนที่อายุมากกว่า แต่เธอก็อยู่อย่างกระเหม็ดกระแหม่ นอกจากจ่ายค่าผ่อนคอนโดแล้ว เธอมีค่าใช้จ่ายอีกเพียงไม่กี่อย่างคือค่าน้ำค่าไฟและจ่ายหนี้เงินกู้เพื่อการศึกษา เธอเคยชอบซื้อเสื้อผ้าแต่ตอนนี้ก็ใช้วิธีช็อปด้วยสายตาไปก่อน และยังประหยัดด้วยการไปนั่งดูทีวีบ้านเพื่อน แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดของเธอคือ การไม่สามารถอยู่นิ่งๆ ได้ เพียงแค่วันหยุดสุดสัปดาห์ก็ยาวนานจนเธอแทบทนไม่ได้ เธอเกลียดการไม่มีอะไรทำ เพียงแค่คิดว่าจะไม่มีงานทำตั้ง 1 เดือนครึ่ง ก็แทบจะทนไม่ได้แล้ว
นอกจากอายุยังน้อย ยังเป็นเพราะเธอยังรักในงานด้านนี้อยู่มาก Daniels บอกว่าอยากทำแต่งานที่สนใจจริงๆ เท่านั้น เพราะเธอเชื่อเสมอว่า "เป็นสิ่งที่ดีกว่าที่จะได้ทำอะไรที่เรารัก แทนที่จะทำเพียงเพื่อให้ได้เงินมาใช้จ่ายเท่านั้น" แต่มันคงจะดีกว่านะ Daniels ถ้าจะได้ทั้ง 2 อย่าง
เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์ แปล/เรียบเรียง
ฟอร์จูน 16 กุมภาพันธ์
|