Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา มีนาคม 2552
สหรัฐฯ กำลังกลายเป็นสังคมนิยม?             
 


   
search resources

Economics




ทิศทางนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ กำลังเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกับยุโรป และห่างจากทุนนิยมตลาดเสรีออกไปทุกที

ในรายการข่าวของ Fox News เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ดำเนินรายการและ Mike Pence สมาชิกรัฐสภาสังกัดพรรครีพับลิกัน ซึ่งขณะนี้เป็นพรรคฝ่ายค้านของสหรัฐฯ กล่าวโจมตีมาตรการบางข้อในแผนกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงินเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ ที่เสนอโดยประธานาธิบดีบารัค โอบามา ว่าเป็น "นโยบายสังคมนิยมเลียนแบบยุโรป แห่งปี 2009"

บางที Pence อาจลืมไปว่าคนที่หยิบยกเอาคำว่า "สังคมนิยม" มาพูดเป็นคนแรก กลับเป็นจอห์น แมคเคน ผู้สมัครประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของรีพับลิกันเอง ซึ่งพ่ายแพ้ให้แก่โอบามาในศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อปลายปีในช่วงที่แมคเคนหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดี จนทำให้กลายเป็นคำติดปากของรีพับลิกัน

ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลสหรัฐฯ ชุดที่แล้วซึ่งอยู่ภายใต้พรรครีพับลิกันนั่นเองที่ได้ตัดสินใจเข้ายึดครองธนาคารและวาณิชธนกิจมาเป็นของรัฐ นั่นเป็นสัญญาณของนโยบายสังคมนิยมอย่างชัดเจน

ไม่ว่ารีพับลิกันหรือใครต่อใครในสหรัฐฯ จะยอมรับหรือไม่ก็ตาม แต่ขณะนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า สหรัฐฯ ในปี 2009 นี้กำลังเดินหน้าไปสู่การเป็นยุโรปสมัยใหม่ ซึ่งยึดนโยบายเศรษฐกิจระบบตลาดผสมสังคมนิยมแบบยุโรป มากกว่าระบบทุนนิยมตลาดเสรีแบบอเมริกันไปเสียแล้ว

รัฐบาลชุดที่แล้วของสหรัฐฯ ภายใต้พรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นพรรคอนุรักษนิยมหรือฝ่ายขวา แต่กลับกลายเป็นรัฐบาลที่ออกกฎหมายใหม่ที่ขยายสวัสดิการของรัฐครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 30 ปี ส่วนประชาชนชาวอเมริกันในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายขวาหรือฝ่ายซ้ายกลับเรียกร้องในสิ่งเดียวกันคือ ขอให้รัฐบาลอเมริกันลงทุนในพลังงานทางเลือก เพื่อหยุดการพึ่งพิงการนำเข้าน้ำมันจากต่างชาติ ข้างฝ่ายรัฐ ต่างๆ ของสหรัฐฯ ไม่ยกเว้นแม้กระทั่งรัฐที่นิยมรีพับลิกันมากที่สุด ก็ไม่มีทางที่จะยอมลดการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในขณะนี้เป็นแน่

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ทั้งหมดข้างต้น ล้วนเป็นสัญญาณของการที่ภาครัฐกำลังมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในสหรัฐฯ และสิ่งที่แปลกก็คือ ปรากฏการณ์ข้างต้นล้วนแต่เกิดขึ้นตั้งแต่รัฐบาลชุดที่แล้วของสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ภายใต้พรรครีพับลิกันที่เกลียดการให้รัฐเข้าไปแทรกแซงภาคเอกชนเป็นที่สุด

อย่างไรก็ตาม มาถึงบัดนี้ลุงแซมจำเป็นต้องยอมรับความจริงให้ได้ว่า ต่อไปนี้ภาครัฐจะต้องมีบทบาทในเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มากขึ้นและไม่มีประโยชน์ที่จะยืนกรานสู้วิกฤติในยุคศตวรรษที่ 21 ด้วยวิธีของศตวรรษที่แล้ว ยิ่งสามารถทำความเข้าใจกับสถานะที่แท้จริงในปัจจุบันของตัวเองได้เร็วเท่าใด สหรัฐฯ ก็จะยิ่งสามารถคิดได้ถ้วนถี่มากยิ่งขึ้นว่า ควรจะใช้ภาครัฐอย่างไรให้เหมาะสมกับสภาพความเป็นไปของโลกในทุกวันนี้

เมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ประธานาธิบดีโอบามาพยายามผลักดันงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะใช้เม็ดเงินสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ และยังจำกัดรายได้ของผู้บริหารธนาคาร และวาณิชธนกิจที่รัฐบาลต้องเข้าอุ้ม ไม่ให้เกินเพดาน 5 แสนดอลลาร์ ทั้งยังออกมาตรการใหม่ในการกอบกู้ภาคการเงินการธนาคาร ในขณะที่อัตราการว่างงานในสหรัฐฯ พุ่งสูงสุดในรอบ 16 ปี และดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงต่ำเท่ากับระดับในปี 1998 ส่วนอัตราการยึดบ้านก็พุ่งพรวดถึง 81% ในปีที่แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ชี้ชัดว่า สหรัฐฯ กำลังเผชิญกับสภาพเศรษฐกิจแบบใหม่ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้สหรัฐฯ กำลังเดินหน้าไปในทิศทางของยุโรป

ข้อมูลจากองค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ระบุว่า เมื่อ 10 ปีก่อน การใช้จ่ายของรัฐบาลอเมริกันอยู่ที่ 34.3% ของ GDP เทียบกับชาติยุโรปในเขต euro zone ซึ่งอยู่ที่ 48.2% ของ GDP ห่างกัน 14 จุด แต่ในปี 2010 คาดว่าการใช้จ่ายของรัฐบาลสหรัฐฯ จะเพิ่มขึ้นเป็น 39.9% ของ GDP เทียบกับยุโรป 47.1% ในเขต euro zone จะเห็นว่าช่องว่างลดลงเหลือไม่ถึง 8% ยิ่งการใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคมของรัฐบาล สหรัฐฯ กำลังจะเพิ่มขึ้นอีกในช่วง 10 ปีข้างหน้า สหรัฐฯ ก็ดูยิ่งคล้ายรัฐสวัสดิการอย่างฝรั่งเศสเข้าไปทุกที

และดูเหมือนว่าประวัติศาสตร์จะชอบเล่นตลก เมื่อผู้ที่นับได้ว่าเป็นคนนำสหรัฐฯ เข้าสู่ยุคใหม่ของการที่ภาครัฐจะมีบทบาทมากขึ้นนั้น กลับเป็นคนที่ต่อต้านการเพิ่มบทบาทของรัฐมาโดยตลอด นั่นก็คืออดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ซึ่งเป็นผู้ที่สั่งให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้าอุ้มภาคการเงินการธนาคารเมื่อปีที่แล้ว ด้วยการทุ่มงบประมาณสูงลิ่วถึง 7 แสนล้านดอลลาร์ บุชจึงนับเป็นผู้ที่ปิดฉากยุคของ Reagan (Age of Reagan) ที่เกลียดการที่ภาครัฐมีบทบาทมากเกินไปโดยสิ้นเชิง ส่วนโอบามากำลังจะไปไกลยิ่งกว่านั้น เขากำลังจะรื้อฟื้นยุคที่ภาครัฐมีบทบาทมากให้กลับฟื้นคืนมา ซึ่งเป็นยุคที่ถูกปิดลงในสมัยของบิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดีที่มาจากพรรคเดียวกับเขา อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจความคิดเห็นชาวอเมริกันกลับพบว่า พวกเขายังคงไม่ไว้ใจให้ภาครัฐเข้ามีบทบาทมากในทางเศรษฐกิจ แต่ขณะเดียวกันก็กลับต้องการให้รัฐเข้ามาดูแลเรื่องสวัสดิการรักษาพยาบาล การป้องกันประเทศ และการปกป้องประชาชนจากการล่มสลายของภาคการเงินการธนาคารและตลาดบ้านตกต่ำ

แม้ว่าอดีตประธานาธิบดีเรแกนจะพยายามจำกัดบทบาทของภาครัฐมานานถึง 3 ทศวรรษ แต่ปรากฏว่าบทบาทของภาครัฐในสหรัฐฯ กลับไม่เคยลดลงเลย และกลับขยายตัวมากขึ้นด้วยซ้ำ เพียงแต่เศรษฐกิจอเมริกันเติบโตเร็วยิ่งไปกว่า สัดส่วนการใช้จ่ายภาครัฐต่อ GDP ของสหรัฐฯ จึงดูเหมือนคงเดิม แต่แล้วในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ กลับกลายเป็นภาพลวงตา แทบไม่ต่างอะไรจากกองทุนแชร์ลูกโซ่ของ Bernie Madoff นักการเงินจอมโกงของสหรัฐฯ ที่เพิ่งถูกเปิดโปงเมื่อไม่นานมานี้ เมื่อความจริงได้ปรากฏออกมาว่า แท้จริงแล้วคนอเมริกันมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการกู้หนี้ยืมสิน และอัตราการออมของคนอเมริกันลดลงจาก 7.6% ในปี 1992 เหลือต่ำกว่าศูนย์ในปี 2005 ส่วนบรรดานักการเงินอย่างเช่น Madoff ก็ถนัดแต่สร้างวิมานในอากาศ

ในระยะสั้นนี้ ภาครัฐคงจะมีบทบาทมากขึ้นต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ เนื่องจากทั้งภาคเอกชนและผู้บริโภคอเมริกันยังคงอ่อนแอ จึงตกเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนในระยะยาว การมีประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้นและปัญหาโลกร้อนรวมทั้งราคาน้ำมันแพง จะทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องจัดเก็บภาษีและใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น ปัญหาอยู่ที่เมื่อรัฐบาลเข้าแทรกแซงเศรษฐกิจมากๆ ก็จะเท่ากับเป็นการจำกัดการเติบโต เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในยุโรปซึ่งมีลักษณะเป็นรัฐสวัสดิการ และเป็นสาเหตุให้อัตราการว่างงานในยุโรปสูงเรื้อรัง แต่สหรัฐฯ เป็นประเทศที่ไม่อาจขาด การเติบโตทางเศรษฐกิจได้ เพราะการเติบโตเป็นความภาคภูมิใจของคนอเมริกัน

สภาพของรัฐบาลโอบามาจึงอยู่ในท่ามกลางของสิ่งที่ขัดแย้งกันเอง รัฐบาลของเขาจำเป็นต้องกู้ยืมมากขึ้นเพื่อจะนำมาใช้จ่ายให้มากขึ้น ก็เพื่อจะแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจที่มีสาเหตุมาจากการที่สหรัฐฯ กู้ยืมและใช้จ่ายมากเกินไปนั่นเอง การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อจะกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้โอบามาจำเป็นต้องลดการใช้จ่ายด้านสวัสดิการสังคมลง ด้วยการลดสวัสดิการรักษาพยาบาลและเกษียณอายุ ในขณะเดียวกันก็ยังคงต้องลงทุนเพื่อที่จะสร้างการเติบโตในระยะยาว โอบามาเคยกล่าวว่า ขณะนี้สหรัฐฯ จำเป็นต้องมีรัฐบาลที่ "ฉลาด" ดูเหมือนว่าเขาจะคาดการณ์ได้แม่นยำยิ่ง โอบามาจะทำอย่างไร จึงจะสามารถรักษาสมดุลระหว่างความเป็นตัวของตัวเองในแบบอเมริกันกับการที่นโยบายเศรษฐกิจต่างๆ กำลังเดินเข้าใกล้ยุโรปมากขึ้นทุกที เป็นเรื่องที่โอบามาคงจะต้องใช้ทั้งฝีมือและความฉลาดที่มีอยู่ในตัวทั้งหมดอย่างสุดตัว

เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์ แปล/เรียบเรียง
นิวสวีค 16 กุมภาพันธ์   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us