|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บรรยากาศการลงทุนในตลาดตราสารหนี้และตราสารทุนในปีนี้อาจจะเงียบเหงากว่าทุกๆ ปี เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ไม่กล้าเสี่ยงและเชื่อว่าเก็บเงินสดไว้กับตัวอุ่นใจกว่า ทำให้บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนอเบอร์ดีน จำกัด นำผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนของบริษัท 2 คนที่ประจำอยู่สิงคโปร์ กล่าวถึงทิศทางตลาดตราสารหนี้และตราสารทุนเพื่อเรียกความมั่นใจให้กับนักลงทุน
คนแรก มร.โดนัลด์ อัมสตัค ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจมาพูดเรื่องทิศทางตลาดตราสารหนี้ ส่วน มร.ปีเตอร์ เอลส์ตัน ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนประจำทวีปเอเชีย กล่าวถึงทิศทางของตลาดตราสารทุน
มร.อัมสตัคบอกว่าในขณะที่ราคาอสังหาริมทรัพย์ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ในสภาวะเศรษฐกิจที่สิ้นหวังนี้ยังมีโอกาสสำหรับนักลงทุน
สิ่งที่เขาประเมินพบว่าในปี 2551 แนวโน้มของสินทรัพย์ที่แปลงเป็นหลักทรัพย์ (Securitied assets) มีเพิ่มมากขึ้น อาทิ ตราสารที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยค้ำประกัน (MBS) ตราสารหนี้ประเภทที่ใช้สัญญาจำนองหรือสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน (ABS) ตราสารหนี้ที่มีสินเชื่ออาคารสำนักงานค้ำประกัน (CMBS)
ตราสารเหล่านี้มีโอกาสสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้นหลังจากหลักทรัพย์ถูกขายสินทรัพย์ที่ดีและไม่ดีโดยที่ผู้ขายไม่ได้คำนึงคุณภาพ
อเบอร์ดีนกำลังชี้ให้เห็นว่าหลักทรัพย์เหล่านี้จะมีคุณภาพสูงในปัจจุบันและให้ผลตอบแทนได้ถึงร้อยละ 14-18
มร.อัมสตัคบอกว่าราคาหุ้นกู้ภาคเอกชนบางตัวน่าสนใจมาก แม้ข้อเท็จจริงจะบอกว่ารายได้ของบริษัทมีแนวโน้มลดลงและระดับการผิดนัดชำระหนี้เพิ่มสูงขึ้น การเทขายหลักทรัพย์ของนักลงทุนบางกลุ่มในปี 2551 ทำให้ตลาดสินทรัพย์ที่แปลงเป็น หลักทรัพย์มีความน่าสนใจยิ่งขึ้น
ยิ่งทำให้ปีนี้เป็นช่วงจังหวะเวลาที่หาหลักทรัพย์ที่ดีเพื่อการลงทุน และสัญญาณที่บ่งบอกให้รู้ว่าก่อนที่เศรษฐกิจจะดีขึ้นให้ ติดตามราคาของสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น
ส่วนการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทยบริษัทยังมองด้านดีในปีนี้ โดยเฉพาะการลงทุนระยะสั้นและระยะกลาง เพราะจากปีที่ผ่านมามีผลตอบแทนต่อปีของดัชนีพันธบัตรรัฐบาลไทยสูงถึงร้อยละ 18.78 เมื่อเทียบกับปี 2550 มีผลตอบแทนร้อยละ 7.66
แต่ มร.อัมสตัคก็ได้ตั้งคำถามทิ้งไว้หลายหัวข้อที่จะเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ในปี 2552 โดยให้นักลงทุนติดตามสถานการณ์ต่างๆ อาทิ เมื่อใดและที่ระดับใดที่ราคาบ้านในสหรัฐอเมริกาจะไม่ตกลงอีก
เมื่อไรที่การปรับลดหนี้ (de-leverage) จะหยุดลงและเริ่ม มีการปล่อยกู้ใหม่ รวมถึงอัตราการว่างงานจะเพิ่มสูงขึ้นเท่าไหร่ และมีมาตรการคุ้มครองสินค้าที่ผลิตในประเทศหรือไม่
การช่วยเหลือของรัฐบาลจะสำเร็จหรือไม่ และถ้ารัฐบาลไม่สามารถทำได้จะเกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรงหรือไม่และจะเกิดความ ล้มเหลวของค่าเงินตามมาหรือไม่
ส่วน มร.เอลส์ตันมองตลาดทุนในกลุ่มประเทศเอเชียจะมีความแข็งแกร่งกว่าประเทศตะวันตก แม้ว่าอัตราการส่งออกจะตกต่ำลงมากแต่อัตราการออมสูงและงบดุลรัฐบาลที่แข็งแรง ประกอบกับหนี้สินภาคเอกชนที่ไม่มากนักจะทำให้เศรษฐกิจของภูมิภาคฟื้นตัวได้เร็ว โดยภาพรวมตราสารทุนในเอเชียในปัจจุบันมีมูลค่าที่ดี เหมาะแก่การลงทุน ซึ่ง มร.เอลส์ตันบอกว่าโชคจะอยู่ข้างผู้กล้า ถ้ากล้าก็จะได้รางวัล
ส่วนประเทศไทยแม้ว่าเศรษฐกิจโดยรวมจะอ่อนตัวแต่เขาบอกว่ายังดีกว่าต่างประเทศ
วิธีการแนะนำการลงทุนของอเบอร์ดีนยังยึดหลักการบริหาร แบบเดิม คือเน้นให้นักลงทุนเลือกลงทุนในบริษัทที่มีสภาพคล่อง มีงบดุลที่ดีและลงทุนระยะยาวมากว่า 2-5 ปี และอเบอร์ดีนยืนยัน ที่จะไม่สนับสนุนให้ลงทุนระยะสั้นใน 1 ปี เพราะมองว่าการเคลื่อนไหวของหุ้นร้อยละ 62 คือ กระแส
การลงทุนในช่วงระยะเวลา 5 ปี ร้อยละ 82 คือผลการดำเนินการของธุรกิจ ซึ่งผู้บริหารทั้งสองยังได้ทิ้งท้ายบอกกับนักลงทุนไว้ว่าผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
เป็นนัยสำคัญเสมือนว่า อเบอร์ดีนกำลังบอกว่าให้คิดใหม่ ทำใหม่
|
|
|
|
|