บลจ.อยุธยา เปิดตัว "AYFGOLD" กองทุนทองคำที่ลงทุนในดัชนี SPDR Gold Trust ในตลาดสิงคโปร์ เปิดขายรับกระแสตื่นทอง 2-13 มีนาคมนี้ กูรูทองระบุ ปัจจัยพื้นฐาน หนุนทองคำราคาในตลาดพุ่ง โดยเฉพาะความกังวลต่อเศรษฐกิจโลก ส่วนราคาทั้งปี มีลุ้นได้เห็นนิวไฮด์ ชี้เป็นโอกาสลงทุนระยะยาว เหตุระยะสั้นยังเห็นความผันผวน แนะนักตกทอง อย่ามองราคาถูกหรือแพง แต่ควรลงทุนเมื่อเห็นว่าราคาจะปรับขึ้นในอนาคต ด้าน “พาณิชย์” เตรียมชงกกร. คลอดไกด์ไลน์ทองคำ กำหนดมาตรการเข้มคุมราคาซื้อ-ขาย เล็งจัดโครงการทองธงฟ้า ขายทองรูปพรรณราคาถูก
นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา จำกัด (AYF) เปิดเผยว่า บลจ.อยุธยาเตรียมเสนอขายหน่วยลงทุนของกองทุนเปิดอยุธยาโกล์ดในระหว่างวันที่ 2-13 มีนาคมนี้ เพื่อเพิ่มทางเลือกในการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความมั่นคงอย่างทองคำให้แก่ผู้ลงทุน ซึ่งจากการศึกษาพบว่า การเคลื่อนไหวของราคาทองคำมีความสัมพันธ์ทางสถิติต่ำ (Low Correlation) เมื่อเทียบกับการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ประเภทอื่น ดังนั้น การลงทุนในทองคำจึงเป็นทางเลือกให้ผู้ลงทุนสามารถกระจายการลงทุนเพื่อลดความโดยรวมของพอร์ตการลงทุนในขณะเดียวกันก็สามารถรักษาระดับผลตอบแทนโดยรวมไว้ได้
ทั้งนี้ มูลค่าของทองคำมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากมูลค่าประมาณ 7,000 บาท ในช่วงเดือน มกราคม 46 ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 14,750 บาทในช่วง เดือนมกราคม 52 โดยให้ผลตอบแทนจากการลงทุนเฉลี่ย 12.4 % ต่อปี เนื่องจากความต้องการทองคำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ สินทรัพย์หลายๆ อย่างให้ผลตอบแทนติดลบ
นอกจากนี้ ในภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนอย่างในปัจจุบัน ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่จัดได้ว่ามีความมั่นคงทางมูลค่าสูง ในระยะยาวจะพบว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ที่สามารถช่วยรักษาระดับความมั่งคั่งให้กับผู้ลงทุน และทองคำยังมีสภาพคล่องสูงสามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้ง่ายกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น แต่เนื่องจากการเก็บรักษาทองคำนั้นพบว่ามีความยุ่งยากทั้งในเรื่องการหาพื้นที่ในการจัดเก็บและการรักษาความปลอดภัย การลงทุนในกองทุนที่ลงทุนในทองคำจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยลดภาระในการเก็บรักษาและเพิ่มความปลอดภัยจากการโจรกรรมให้แก่ผู้ลงทุน และยังคงมีสภาพคล่องสูงเนื่องจากสามารถซื้อ-ขายหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ รวมทั้งสามารถทำรายการผ่านระบบอินเตอร์เน็ตได้
โดยกองทุนเปิดอยุธยาโกลด์ (AYFGOLD) จะเข้าลงทุนใน SPDR Gold Trust ที่จดทะเบียนในตลาดสิงคโปร์ ซึ่งกองทุนดังกล่าว เป็นกองทุนอีทีเอฟที่ลงทุนในทองคำที่ใหญ่ ที่สุดในโลก ครอบครองทองคำกว่า 80% ของกองทุนอีทีเอฟทองคำที่มีอยู่ในโลก ทั้งนี้ กองทุนจะลงทุนเป็นสกุลเงินดอลลาร์สิงคโปร์ โดยมุ่งเน้นลงทุนในทองคำแท่งเพื่อสร้าง ผลตอบแทนของกองทุนให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของราคาทองคำ
นายแพทย์กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ รองเลขาธิการสมาคมค้าทองคำ กล่าวถึงแนวโน้มราคาทองคำว่า ปัจจัยพื้นฐานในปัจจุบัน ล้วนแล้วแต่สนับสนุนการลงทุนในทองคำ ไม่ว่าจะเป็นภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย การเปลี่ยนแปลงของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งปกติจะสวนทางกับราคาทอง แต่ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา กลับพบว่า ถึงแม้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะแข็งค่าขึ้น แต่ราคาทองคำก็ปรับขึ้นด้วยเช่นกัน ส่งผลให้นักลงทุนมองหาช่องทางการลงทุนที่ปลอดภัย (Safe Haven) มากขึ้น ในขณะเดียวกัน เรื่องของอัตราเงินเฟ้อ และการปรับลดดอกเบี้ยลงอย่างต่อเนื่อง ก็ส่งผลให้ราคาปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ทั้งนี้ การลงทุนในทองคำ นอกเหนือจากเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ (คอมมอดิตี) แล้ว ปัจจุบันได้กลายเป็น Gold Currency ด้วย เพราะที่ผ่านมา ไม่มีสินทรัพย์ใดที่มีความปลอดภัยเท่าการลงทุนในทองคำ ประกอบกับที่ผ่านมา การลงทุนในทองคำได้รับความสนใจในแง่ของการลงทุนมากขึ้น โดยเฉลี่ยประมาณ 12-15% ต่อปี ในขณะที่การซื้อทองคำเพื่อให้เป็นเครื่องประดับลดลงอย่างต่อเนื่องประมาณ 30-40% ซึ่งการซื้อทองคำเพื่อลงทุนในช่วงปี 2549 พบว่าให้ผลตอบแทนสูงถึง 15% ปี 2550 อยู่ที่ 30% และในปี 2551 ให้ผลตอบแทนประมาณ 3% แต่ปีดังกล่าว ราคาทองเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยมีทั้งการปรับขึ้นลงระหว่าง 15-30%
"ปัจจัยที่กล่าวมา ล้วนแล้วแต่เป็นพื้นฐานต่อการลงทุนในทองคำทั้งนั้น ซึ่งการที่มีพื้นฐานรองรับ ทำให้การลงทุนในทองคำได้รับความสนใจจากบรรดากองทุนต่างประเทศที่กำลังมองหาผลตอบแทนสูงๆ เพราะมองไปในตลาดแล้วไม่มีการลงทุนใดที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ อัตราแลกเปลี่ยนหรือคอมมอดิตี"นายแพทย์กฤชรัตน์กล่าว
ส่วนแนวโน้มราคาทองคำจะอยู่ในระดับสูงต่อไปอีกนานแค่ไหนนั้น นายแพทย์กฤชรัตน์กล่าวว่า แนวโน้มราคาทองคำอาจจะขยับลงได้ หากปัจจัยพื้นฐานที่กล่าวมาหลายๆ อย่าง ปรับตัวดีขึ้น นั่นคือ เศรษฐกิจโลกต้องปรับตัวดีขึ้น เศรษฐกิจสหรัฐฯ เองก็ต้องดีขึ้นเช่นกัน ซึ่งหากมองไปในระยะ 3-6 เดือนหลังจากนี้ มีความเป็นไปได้ค่อนข้างน้อยที่จะฟื้นตัว เพราะมีการวิเคราะห์ว่าอย่างน้อยที่สุดน่าจะใช้เวลา 1 ปี และล่าสุด เบอร์นาเก้ ออกมาพูดว่าอาจจะต้องใช้เวลานานถึง 2-3 ปี กว่าเศรษฐกิจโลกจะฟื้น ดังนั้น ปัจจัยเหล่านี้จึงยังเป็นบวกต่อการลงทุนในทองคำอยู่
โดยมองว่ามีโอกาสที่ราคาทองคำในตลาดโลกจะปรับขึ้นไปทดสอบราคา 1,032 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งเป็นราคาสูงสุดในปีที่ผ่านมา หลังจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาได้ปรับขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 1,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์แล้ว ก่อนจะขยับลงมาประมาณ 40 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ตอบรับข่าวการปรับขึ้นของดัชนีดาวน์โจนส์
ทั้งนี้ มองว่าในระยะยาว ราคาทองคำยังเป็นขาขึ้น ซึ่งการลงทุนเองอย่ามองว่าราคาถูกหรือแพงแล้ว แต่ควรลงทุนเมื่อเห็นว่าราคาจะปรับขึ้นในอนาคต ซึ่งราคาที่ระดับบาทละ 16,000 บาท ในปัจจุบัน อาจจะเป็นราคาที่ถูกในอีก 3 เดือนข้างหน้าก็เป็นได้ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ระยะยาวจะเป็นบวก แต่ระหว่างทาง ราคาทองในตลาดโลกจะแกว่งตัวพอสมควร ซึ่งอาจจะเห็นแนวโน้มการแกว่งตัวรุนแรงเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา
"การเคลื่อนไหวของราคาทองคำในปีนี้ เชื่อว่าคงจะไม่หลุดระดับ 800 เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ และน่าจะเห็นราคาปรับขึ้นไปได้อีกในเร็วๆ นี้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อราคาขยับขึ้นไป ก็จะมีแรงเทขายทำกำไรออกมาบ้าง"นายแพทย์กฤชรัตน์กล่าว
ด้านนายสุวรรณ วลัยเสถียร ประธานชมรมคนออมเงิน กล่าวว่า ในปีนี้ยังมองว่าจะได้เห็นราคาทองคำขยับขึ้นไปที่ระดับบาทละ 17,000 บาท ซึ่งเป็นผลมาจากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลก จนส่งผลให้ทุกภาคส่วนได้รับผลกระทบไปหมด ไม่ว่าจะเป็นภาคอุตสาหกรรม หรือภาคสถาบันการเงิน ซึ่งหน่วยงานที่สามารถสร้างรายได้ให้กับสถาบันการเงินส่วนใหญ่ ประสบปัญหากันหมด ดังนั้น นักลงทุนจึงมองหาการลงทุนที่มีความปลอดภัยเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม การลงทุนในทองคำนั้น อยากให้เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ ไม่อยากให้เสี่ยงมากเพื่อหวังกำไรมาก ซึ่งการลงทุนผ่านกองทุนรวมทองคำ ก็เป็นช่องทางการลงทุนที่น่าสนใจเช่นกัน
ทั้งนี้ การจัดตั้งกองทุน ETF ทองคำก็น่าสนใจเช่นกัน ซึ่งที่ผ่านมามีบลจ.มาหารือการจัดตั้งกองทุนประเภทดังกล่าว โดยเสนอให้สำนักงานคระกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พิจารณา และเนื่องจาก ก.ล.ต. ยังไม่อนุญาติให้ลงทุนในทองคำ จึงเสนอว่า ให้นำเงินไปซื้อทองคำ แล้วเอาไปฝากไว้ที่ธนาคารพาณิชย์ หลังจากนั้นก็นำใบประทวนที่ได้จากการฝากทอง ไปให้ก.ล.ต. เพื่อตั้งเป็นดัชนี ETF ได้ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นการลงทุนในทองคำจริงๆ และการตั้งเป็นกองทุน ETF ยังช่วยให้นักลงทุนซื้อขายทองคำได้ในราคาเรียลไทม์ด้วย อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ ยังเป็นเรื่องใหม่ คงต้องใช้เวลาในการศึกษาอีกสักระยะ
พาณิชย์ฯเล็งจัดโครงการ"ทองธงฟ้า"
นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า กรมการค้าภายในได้จัดทำ แนวทางปฏิบัติทางการค้า (ไกด์ไลน์) ของผู้ประกอบธุรกิจร้านค้าทองที่เป็นธรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและคุ้มครองผู้บริโภค โดยมีสาระสำคัญ คือ กำหนดราคาที่เป็นธรรม ต้องปิดป้ายแสดงราคาเป็นเลขอาระบิคให้ชัดเจน และการคำนวนราคาขายทั้งทองคำแท่ง และทองรูปพรรณ จะต้องมีสูตรในการคำนวณที่ชัดเจน และยังกำหนดให้สมาคมค้าทองคำต้องแจ้งราคาทองที่เปลี่ยนแปลงทุกครั้งให้คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ทราบ
สำหรับการควบคุมน้ำหนัก ทอง 1 บาท จะมีน้ำหนัก 15.16 กรัม และร้านทองต้องมีเครื่องชั่งระบบดิจิตอลทิศนิยม 2 ตำแหน่ง และยังกำหนดให้สมาคมกำหนดวันทำการและเวลาเปิดปิดร้านให้ชัดเจน รวมถึงกรณีพิเศษที่ไม่ใช่ประเพณีปกติจะต้องแจ้งให้ กกร.ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 3 วัน พร้อมทั้งปิดประกาศให้ลูกค้าเห็นชัดเจน
ส่วนใบจองซื้อทองคำแท่ง จะต้องมีรายละเอียด ชื่อ สถานที่ตั้งร้านทอง เลขที่เอกสาร วันที่ซื้อขาย วันกำหนดรับสินค้า ชื่อที่อยู่ผู้ซื้อพร้อมสำเนาบัตรประชาชน รายการสินค้า น้ำหนัก เงื่อนไขชำระเงิน ห้ามโอนเปลี่ยนมือ และมีรายชื่อผู้มีอำนาจของร้านทอง (พร้อมประทับตรา) เพื่อป้องกันการเอาเปรียบประชาชน โดยจะเสนอให้ที่ประชุม กกร.พิจารณาวันที่ 2 มี.ค.นี้ ก่อนประกาศใช้อย่างเป็นทางการต่อไป
นอกจากนี้ กรมการค้าภายในจะร่วมมือกับสมาคมค้าทองคำจัดโครงการ ทองธงฟ้า เพื่อจำหน่ายทองราคาถูกที่มีมาตรฐานและน้ำหนักเที่ยงตรงแก่ประชาชน โดยทองธงฟ้าจะจำหน่ายในส่วนทองรูปพรรณโดยลดค่ากำเหน็จบาทละ 100 บาท จากปัจจุบันค่ากำเหน็จเฉลี่ยที่บาทละ 400-700 บาท อีกทั้งช่วยให้ผู้บริโภคหาซื้อทองที่มีมาตรฐานและผ่านเครื่องชั่งวัดที่ถูกต้อง ซึ่งในเร็วๆ นี้กรมฯ จะจัดทำสติ๊กเกอร์ทองธงฟ้า ไปติดตามร้านทองที่เข้าร่วมโครงการทั่วประเทศ
นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า คาดว่าจะมีร้านค้าเข้าร่วมโครงการทองธงฟ้ามากกว่าพันแห่ง เพื่อช่วยความน่าเชื่อถือในการจำหน่ายทองให้ผู้บริโภค และช่วยกระตุ้นกำลังซื้อในส่วนทองรูปพรรณ ที่ขณะนี้มียอดซื้อลดลงมากจากเดิมมีสัดส่วนถึง 95% เหลือเพียง 5%
สำหรับราคาทองคำแท่งวันนี้ (25 ก.พ.) รับซื้อบาทละ 16,000 บาท ราคาขายบาทละ 16,100 บาท ทองรูปพรรณ รับซื้อที่บาทละ 15,766.4 บาท ขายบาทละ 16,500 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ปรับลดลงจากราคาวานนี้ เฉลี่ยบาทละ 200 บาท อย่างไรก็ตาม มองว่าราคาทองคำช่วงนี้ยังคงผันผวนค่อนข้างรุนแรง เนื่องจากราคาทองคำในตลาดต่างประเทศปรับลดลง ขณะที่ค่าเงินบาทของไทยอ่อนค่าลงอีก แต่เชื่อว่าในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า ราคาทองคำจะปรับสูงขึ้นอีกได้
|