เซ็นทรัลกรุ๊ป แหยงพิษเศรษฐกิจ-การเมือง ต้องปรับแผนตลอดเวลา ดูระยะสั้น แนะรัฐบาลต้องลดภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ แนะออกมาตรการมากระตุ้นมากๆ ยอมรับต้องชะลอหลายโครงการออกไปก่อน เพื่อศึกษาให้รอบคอบ ก่อนลงทุน เปิดเม็ดเงินลงทุนปีนี้อยู่ที่ 19,000 ล้านบาท ลั่นรายได้ปีนี้ทะลุ 112,500 ล้านบาท เติบโต 11%
นายสุทธิชัย จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดวิกฤติทั้งของไทยและของโลก รวมทั้งปัญหาการเมือง ทำให้ทางกลุ่มเซ็นทรัลต้องปรับกลยุทธ์และแผนธุรกิจหลายครั้งตลอดเวลา เพื่อรองรับกับปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งแผนงานจากนี้ต้องมีการพิจารณากันแบบระยะสั้น ต้องดูสถานการณ์ในช่วง 3 เดือน 6 เดือนว่าเป็นอย่างไรเพื่อจะได้ปรับแผนได้
ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจภาพรวมในปี 2552 คาดว่าจะชะลอตัวลงจากปี 2551 โดยครึ่งปีแรกของเศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจการเงินโลกส่งผลให้การส่งออกชะลอตัวมาก ขณะที่การใช้จ่ายและการลงทุนในประเทศโดยเฉพาะภาคเอกชนจะยังชะลอตัวลงต่อเนื่อง เพราะความเชื่อมั่นเศรษฐกิจยังต่ำ คาดว่าครึ่งปีหลัง 2552 เศรษฐกิจจะเริ่มฟี้นขึ้นช้าๆ การเร่งรัดการลงทุนภาครัฐจะมีความคืบหน้ามากขึ้น โครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐจะเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่า ด้วยมาตรการต่างๆของภาครัฐที่ออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้นเช่นแจกเงิน 2,000 บาท ซึ่งคาดว่าจะเข้าสู่ระบบมากกว่า 9 ล้านคน คงช่วยให้เศรษฐกิจภาพรวมดีขึ้นบ้าง ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย แต่อยากให้รัฐบาลส่งเสริมภาครวมธุรกิจหลักๆที่ทำรายได้ให้กับประเทศที่แข็งแกร่งเช่น อุตสาหกรรมท่องเที่ยว โรงแรม เป็นต้น
นายสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ รองประธานกรรมการบริหาร กล่าวเสริมว่า ปัจจัยหลักนั้น รัฐบาลควรที่จะลดภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อกระตุ้นให้มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และควรที่จะลดภาษีที่เกี่ยวข้องกับทางด้านธุรกิจเพื่อที่จะดึงดูดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศเข้ามามากขึ้น เพื่อเป็นการสร้างงานสร้างการลงทุนต่อระบบเศรษฐกิจ
นายปริญญ์ จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหารด้านการเงิน กล่าวว่า ปกติเซ็นทรัลกรุ๊ปจะใช้เงินแคชโฟลว์เป็นหลักอยู่แล้ว และงบลงทุนปีนี้ก็เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งเงินกู้และเงินสดบริษัท แต่มีบางกลุ่มธุรกิจ เช่น ซีพีเอ็น ที่เตรียมอออกหุ้นกู้ ก็เพื่อสำรองเอาไว้ในยามจำเป็น เผื่อภาวะเศรษฐกิจมีปัญหาขึ้นมา เราไม่ใช่ออกบอนด์กู้มาเพื่อขยายโครงการใหม่ๆเพราะเรามีเงินเตรียมไว้แล้ว
นายสุทธิชัย กล่าวด้วยว่า กลุ่มเซ็นทรัลต้องชะลอการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ต่างๆ ออกไปก่อน เพราะภาวะเศรษฐกิจไม่ดี เช่นที่ เชียงราย เชียงใหม่ ส่วนที่สวนลุมไนท์บาซ่าร์นั้นก็ไม่ได้ชะลอ เพียงแต่รอการส่งมอบที่ดินจากทางเจ้าของเท่านั้น ทุกอย่างก็เป็นไปตามทีโออาร์อยู่แล้ว แต่เรายังไม่เลิกแผนลงทุนเพียงแต่ต้องใช้เวลาในการศึกษาเพิ่มเติมให้ละเอียดมากขึ้น ส่วนในต่างประเทศเราก็ดูๆอยู่ 2-3 ประเทศ ที่จะลงทุน แต่ไม่ใช่เร็วๆนี้ ยิ่งเศรษฐกิจช่วงนี้เป็นอย่างนี้ยิ่งต้องระวัง แม้ว่าบางคนจะมองของตอนนี้ราคาถูกก็ตาม แต่ซื้อมาก็ยังไม่คุ้ม
“ส่วนใหญ่ปีนี้จะเป็นโครงการที่จะลงทุนต่อเนื่องจากปีที่แล้ว เช่น เซ็นทรัลที่พัทยา เซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ โฮมเวิร์คถนนราชพฤกษ์ โครงการที่ถนนศรีนครินทร์ เป็นต้น”
นายสุทธิเกียรติ กล่าวเสริมว่า ทุกโครงการไม่ได้ยกเลิกหรือชะลอ เพียงแต่ว่าเราต้องระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น ต้องศึกษาให้ละเอียดรอบคอบมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น โครงการที่เชียงราย เชียงใหม่ ที่สวนลุมไนท์บาซ่าร์ หรือที่ดินสถานทูตอังกฤษ หรือต่างประเทศ เช่น อินเดีย เวียดนาม เป็นต้น
สำหรับแผนการลงทุนและอัตราการเติบโตด้านรายได้ในปี 2552 ของแต่ละกลุ่มธุรกิจ ตั้งงบการลงทุนไว้รวมทั้งสิ้น 19,000 ล้านบาท โดยแบ่งสัดส่วนการลงทุนแต่ละธุรกิจดังนี้ 1.กลุ่มค้าปลีก (ซีอาร์ซี) ลงทุน 9,200 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 48% คาดว่าเติบโต 10% , 2.กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ลงทุน 6,400 ล้านบาท คิดเป็น 34% คาดว่าจะเติบโต 22% , 3.กลุ่มค้าส่ง ลงทุน 190 ล้านบาท คิดเป็น 1% คาดว่าจะเติบโต 1% , 4.กลุ่มโรงแรม ลงทุน 2,900 ล้านบาท คิดเป็น 15% คาดว่าจะเติบโต 9% และ 5.กลุ่มอาหารลงทุน 310 ล้านบาท คิดเป็น 2% คาดว่าจะเติบโต 9%
ขณะที่ปีที่แล้ว ลงทุนรวมทั้งหมด 15,350 ล้านบาท เท่ากับที่ได้มีการวางแผนไว้ แบ่งออกเป็น 1.กลุ่มค้าปลีก ลงทุน 4,100 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 27% รายได้เติบโต 5% , 2.กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ลงทุน 7,720 ล้านบาท คิดเป็น 50% รายได้เติบโต 11% , 3.กลุ่มค้าส่ง ลงทุน 170 ล้านบาท คิดเป็น 1% รายได้เติบโต 10% , 4.กลุ่มโรงแรม ลงทุน 3,000 ล้านบาท คิดเป็น 20% รายได้เติบโต 22% และ 5.กลุ่มอาหาร ลงทุน 360 ล้านบาท คิดเป็น 2% รายได้เติบโต 9%
ทั้งนี้ปี 2552 กลุ่มเซ็นทรัลตั้งเป้าหมายรายได้รวมไว้ที่ 112,500 ล้านบาท เติบโตขึ้น 11% จากปี 2551 ที่ยอดขายรวมอยู่ที่ 101,700 ล้านบาท เติบโต 7%
|