Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายสัปดาห์23 กุมภาพันธ์ 2552
อานิสงส์มาตรการรัฐอัดฉีดค้ำดัชนีครึ่งปีหลังพลังหมด-CDSโผล่อาจวูบเหลือ 300จุด             
 


   
search resources

Investment




บล.ทิสโก้มองดัชนีไตรมาส2 วิ่งทะลุ 550 จุดได้ หลังทั่วโลกพร้อมใจอัดฉีดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ บวกกับการเข้าเก็งกำไรหุ้นปันผล แต่ครึ่งปีหลังดัชนีมีสิทธิร่วงต่ำสุดที่ระดับ 300 จุด เหตุเฮดจ์ฟันด์เตรียมไถ่ถอนเงินลงทุน แถมมี CDS รอคิวอีกมหาศาล แนะซื้อเก็งกำไร กลุ่มรับเหมาก่อสร้างและสาธารณูปโภค

วิวัฒน์ เตชะพูลผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนและผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดลูกค้าส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ทิสโก้ ประเมินว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯในช่วงครึ่งปีแรกจะดีกว่าครึ่งปีหลัง โดยมีโอกาสที่ดัชนีจะปรับขึ้นไปแตะระดับ 550 จุด ในช่วงไตรมาส 2/2552 ขณะที่ในไตรมาส 1 การเคลื่อนไหวของดัชนีจะค่อนข้างผันผวน โดยมีแนวรับสำคัญอยู่ที่ 420 จุด

"สาเหตุที่ทำให้ในครึ่งปีแรกดัชนีเคลื่อนไหวอยู่ในระดับที่สูงกว่านั้นมาจากการที่หลายประเทศ พร้อมใจกันอัดฉีดเม็ดเงินเข้ากระตุ้นเศรษฐกิจ อีกทั้งได้แรงสนับสนุนจากการเข้ามาเก็งกำไรในหุ้นปันผลดี"

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้ ซื้อเก็งกำไร กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เช่น บมจ.ซิโนไทย เอนจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) และ บมจ.ช.การช่าง (CK) ที่ได้รับอานิสงส์จากต้นทุนที่ลดลง เพราะหลายฝ่ายคาดการณ์ว่า ราคามันจะมีราคาถูกต่อไปอีกไม่ต่ำกว่า 2 ปี ขณะที่แทบทุกประเทศรัฐบาลจะมีการลงทุนในระบบสาธาณูปโภคเพื่อสร้างการจ้างงานกระตุ้นเศรษฐกิจ

รวมไปถึงยังแนะนำกลุ่มอุปโภคบริโภค อย่าง บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL), บมจ.บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (BIGC) และบมจ.สยามแม็คโคร( MAKRO) ที่จะได้รับอานิสงส์จากนโยบายกระตุ้นกำลังซื้อของรัฐบาล นอกจากนี้ ยังมีหุ้นที่กราฟส่งสัญญาณ OutPerform อย่าง บมจ.ซีฟโก้ (SEAFCO),บมจ.รถไฟฟ้ากรุงเทพ (BMCL),บมจ.ทางด่วนกรุงเทพ (BECL),บมจ.บีอีซี เวิลด์ (BEC) ,บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป(MAJOR),ธนาคารไทยพาณิชย์( SCB),ธนาคารกรุงเทพ(BBL) และ บมจ.บ้านปู( BANPU) โดยให้หาจังหวะเข้าซื้อเก็งกำไร ส่วนหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยงลงทุน คือ บมจ.ปตท. (PTT), บมจ.ปตท.สำรวจและผลิต (PTTEP), บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH), บมจ.เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ (AP) , บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC)และกลุ่มส่งออก

อย่างไรก็ดีนักลงทุนควรจัดพอร์ตการลงทุนให้ดี โดยแบ่งเป็นการลงทุนในหลักทรัพย์ไม่เกิน 30% และลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นประมาณ 50% โดยให้เลือกตราสารหนี้ที่ได้รับการจักอันดับความน่าเชื่อถือไม่ต่ำกว่า BBB+ และส่วนที่เหลือให้นำเงินไปลงทุนในทองคำเพราะในช่วงที่ตลาดเริ่มจะฟื้นตัวจะผลักดันให้ราคาทองคำปรับขึ้นแรง

ขณะที่ในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มที่ดัชนีจะค่อยๆปรับตัวลดลงและมีโอกาสเห็นดัชนีฯลงสู่แนวรับต่ำสุดที่ 300 จุด ได้ เนื่องจากมองว่าในช่วงครึ่งปีหลังนั้นจะเริ่มเห็นเฮดจ์ฟันด์ไถ่ถอนหน่วยลงทุน ซึ่งในส่วนของตราสาร CDS ซึ่งรอการไถ่ถอนนั้นมีมูลค่าสูงถึง 50 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งใกล้เคียงกับ GDPของโลกที่รวมกันมีมูลค่า 56 ล้านล้านดอลลาร์

ดังนั้นจะส่งผลให้สภาพคล่องถูกดูดซับจาการไถ่ถอนหน่วยลงทุน โดยให้จับตาจากนี้ไปจะเริ่มเห็นสถาบันการเงินขนาดเล็กในสหรัฐฯจะมีการทยอยล้มละลายเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน นอกจากนี้ ตลาดฯยังขาดปัจจัยใหม่กระตุ้นเพราะมาตรการต่างๆ ได้ถูกดึงออกมาใช้ตั้งแต่ในช่วงครึ่งปีแรกไปแล้ว

"จริงๆแล้วตลาดหุ้นยังอยู่ในช่วงขาลง เพราะหุ้นที่วิ่งมาตั้งแต่ช่วง ม.ค.-ก.พ.จะเริ่มหมดแรงตลาดก็จะเริ่มไซด์เวย์ และจากนั้นราวเดือน พ.ค.เป็นต้นไปจะเริ่มเห็นนักลงทุนซื้อหุ้นลดลง ถึงแม้วาราคาหุ้นจะถูก แต่ภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ทั่วโลกเป็นตัวฉุดรั้ง ขณะที่ความน่าสนใจในการเก็งกำไรหุ้นปันผลดีก็น่าจะหมดลงเช่นกัน ดังนั้นน่าจะเริ่มเห็นนักลงทุนขายทำกำไรออกมา"

ขณะที่คาดการณ์ว่า บมจ. ปตท. ( PTT) มีแนวโน้มว่าจะจ่ายเงินปันผลเหลือไม่ถึงครึ่งของที่เคยจ่ายไปแล้วในปี 2551 เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องประกอบกับกรณีที่ IMF ปรับประมาณการราคาน้ำมันในตลาดโลกในปีนี้ลงเหลือ 50-60ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากเดิม 68-78 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล สัญญาณดังกล่าวส่งผลให้หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันจะยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำไปอีกถึง 2 ปี ซึ่งย่อมมีผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทฯ ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เฉลี่ยในปีนี้จะลดลง 5-10% ซึ่งเป็นผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังย่ำแย่   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us