มีเดีย ออฟ มีเดียส์ พร้อมทุ่มงบร่วม 100 ล้านบาท เพิ่มรายการโทรทัศน์ 2 รายการ ละคร 2 เรื่อง และเคเบิลทีวีอีก 1 ช่อง หลังพบเคเบิลทีวี เริ่มโกยรายได้เข้ากระเป๋า สิ้นปีหวังโต 10% ไม่ต่ำกว่าปีก่อน

นางชาลอต โทณวณิก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มีเดีย ออฟ มีเดียส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้ทางบริษัทฯจะมีการลงทุนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนที่ต้องระมัดระวังและคำนึงถึงจุดคุ้มทุนที่แน่นอนด้วย ทั้งในส่วนของรายการโทรทัศน์ โดยจะเพิ่มรายการใหม่อีก 2 ช่อง โดยจะนำเสนอกับทางช่อง 7 ก่อน ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการวางแผนรูปแบบรายการอยู่ ส่วนกรณีการผลิตละครนั้น จากที่มีเรื่อง รักนี้เคียงตะวัน ออกอากาศทางช่อง7 พบว่ามีเรตติ้งและการตอบรับที่ดี ดังนั้นในปีนี้บริษัทฯพิจารณาว่า จะมีการผลิตละครขึ้นมาอีก 2 เรื่อง โดยจะนำเสนอกับทางช่อง 7 ก่อน แล้วจึงนำเสนอกับทางช่องอื่นต่อไป

"ปัจจุบันบริษัทฯมีรายการทีวีประมาณ 9 รายการ กว่า 8 รายการ ออกอากาศทาง ช่อง 7 เช่น เจาะเกาะติด, เส้นทางเศรษฐี, หนึ่งสมองสองมือ และอีก 1 รายการ คือแกะรอย ออกอากาศทางช่องทีเอ็นเอ็น พบว่าต้นปีที่ผ่านมา ภาพรวมโฆษณากระทบบ้างเล็กน้อย ดังนั้นการลงทุนผลิตรายการและละครเพิ่มในปีนี้ จึงมุ่งเน้นนำเสนอกับทางช่อง 7 ก่อน เพราะถือเป็นช่องที่สร้างรายได้ให้มากสุด หลังจากนั้นจึงนำเสนอในช่องอื่นต่อไป"

สำหรับกลุ่มธุรกิจเคเบิลทีวี กับช่องมีเดีย ชาแนล ที่เปิดตัวไปเมื่อช่วงไตรมาสสี่ของปีที่ผ่านมา ขณะนี้พบว่ามีการตอบรับเป็นที่น่าพอใจ สิ้นปีนี้คาดว่าน่าจะสร้างรายได้ไม่ต่ำกว่า70 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนที่ 7-8% ของรายได้รวมบริษัทฯ ซึ่งหากแนวโน้มเคเบิลทีวีดีขึ้น โดยเฉพาะในแง่ของเอเจนซี่โฆษณาหันมาใช้สื่อนี้เพื่อการประชาสัมพันธ์มากขึ้น ทางบริษัทฯเตรียมแผนรองรับที่จะมีการเปิดช่องเคเบิลทีวีเพิ่มอีก 1 ช่อง ในช่วงไตรมาสสามของปีนี้ แต่อย่างไรก็ตามการลงทุนเปิดช่องเคเบิลทีวีใหม่ ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และพาร์ทเนอร์ที่จะเป็นผู้ดูแลเรื่องของสัญญาณส่งด้วยว่า จะเป็นไปในทิศทางใด ซึ่งการลงทุนเปิดช่องใหม่เฉพาะเรื่องของการผลิตไม่รวมสัญญาณส่ง คาดว่าจะใช้ไม่ต่ำกว่า 50-60 ล้านบาท

นางชาลอต กล่าวต่อว่า จากสภาพเศรษฐกิจที่ผ่านมา พบว่ารายได้ในปี 2551 ยังคงเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ หรือมีอัตราการเติบโตประมาณ 10% ส่วนในปีนี้ เชื่อว่าอย่างน้อยจะยังคงรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่าปีก่อน ขณะที่ภาพรวมอุตสาหกรรมโฆษณา มองว่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับจีดีพีของประเทศไทย ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 1%