Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายสัปดาห์16 กุมภาพันธ์ 2552
จุดเปลี่ยน “อีลิทการ์ด”ดับฝันหรือสานต่อ?!?...             
 


   
www resources

โฮมเพจ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด (ทีพีซี)

   
search resources

ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด (ทีพีซี), บจก.
Tourism




ความล้มเหลวโครงการอิลิท การ์ด เห็นได้ว่าเป็นนโยบายที่พลาดมาตั้งแต่คลอด ซึ่งไม่ต่างกับการวาดวิมานในอากาศ ที่คิดเพียงว่าประเทศไทยจะสามารถดูดเงินตราต่างประเทศถึง 1 ล้านล้านบาท หากบรรลุตามแผน 5 ปี โดยปราศจากแผนรองรับและคำนึงความเป็นไปได้

ทั้งนี้ เพราะโครงการบัตรอีลิท การ์ด เป็นโครงการที่เกิดขึ้นโดยรัฐบาลไทย มีการเปิดตัวอย่างเอิกเกริก อลังการ สมาชิกทั้งหลายต่างได้รับสิทธิประโยชน์กันอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในเรื่องของการใช้สปา สนามกอล์ฟ ฟรีตลอดชีพ รวมถึงยังสามารถโอนสมาชิกต่อให้กับลูกได้อีก

ยังไม่นับถึงสิทธิประโยชน์ การเดินทางเข้า-ออกประเทศโดยยกเว้นวีซ่าเป็นเวลา 5 ปี การอำนวยความสะดวกด้านการลงทุนให้กับสมาชิกที่มาทำธุรกรรมกับภาครัฐหรือเอกชน สิทธิถือครองที่ดินได้ 10 ไร่ ตรวจสุขภาพประจำปี 1 ครั้ง การใช้บริการสนามกอล์ฟ นวดสปา และสิทธิการเข้าเมืองในช่องทางพิเศษ พร้อมบริการรับ-ส่งจากสนามบินถึงที่พัก ทำให้ “มูลค่า” ของบัตรในมือสมาชิก “สูงค่า” มากขึ้น

รวมไปถึงเสียงสะท้อนที่ตามมาจากปัญหาการทุจริตในโครงการที่เริ่มต้นด้วยการอาศัยนโยบายต้องการเร่งเปิดตัว ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในหลายส่วนที่ขาดความรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณาบัตรอีลิทการ์ด ที่มีอดีตผู้ว่าการททท.ขณะนั้น ได้มอบหมายให้บริษัท ไทยเรฟพรีเซ็นเทชั่น จำกัด (บจก.) ซึ่งเป็นตัวแทนขายโฆษณาเครือข่ายทีวีดังระดับโลก อย่างซีเอ็นเอ็น ให้มาโฆษณาบัตรอีลิทการ์ดผ่านสื่อซีเอ็นเอ็น โดยที่ไม่มีสัญญาการจัดซื้อจัดจ้างอย่างเป็นทางการ จนทำให้ไม่สามารถจ่ายเงินให้ได้ และถูกบจก.ไทยเรฟวางบิลเรียกเก็บเงิน 200 ล้านบาทจากทีพีซี

ทีพีซี ยังถูกบริษัทตัวแทนโฆษณาชื่อดังอย่าง บจก.แมคแคน-แอริคสัน เวิลด์ กรุ๊ป ประเทศไทย ส่งจดหมายทวงหนี้ 10 ล้านบาทสำหรับค่าไอเดียออกแบบโลโกและบัตรอีลิทการ์ดที่ยังจ่ายไม่ครบ แต่มีการแอบนำผลงานที่แมคแคนเสนอไปจ้างบริษัทอื่น (บจก.แซสโซ ของสหรัฐอเมริกา(SASSO)) รับช่วงทำต่อ ซึ่ง Sasso กลับมีความเกี่ยวพันกับอดีตผู้ว่าการททท. เนื่องจากททท.ได้ว่าจ้างบริษัทดังกล่าวเป็นผู้ดำเนินการจัดงานบางกอกฟิล์ม และบริษัทนี้ยังถูกสอบจากสหรัฐฯถึงเรื่องการรับสินบนจากอดีตผู้ว่าการททท.จนได้รับงานบางกอกฟิล์มด้วย)

ปัญหาการทุจริตในเรื่องการแต่งตั้งตัวแทนขายบัตรอีลิทการ์ด ซึ่งเอเยนต์หลายราย ล้วนมีความเกี่ยวพันใกล้ชิดกับกลุ่มทุนการเมืองในยุคทักษิณ โดยเอเยนต์ดังกล่าวได้ค่าคอมมิสชัน 15% และเอเยนต์เหล่านี้ไม่ได้ถูกประเมินผลหรือถูกกำหนดเป้าหมายของยอดขายที่ชัดเจน หรือแม้กระทั่งการปรับระบบงานของเอเยนต์จากเดิมที่ตั้งตัวแทนการขายในรายประเทศ มาเป็นตัวแทนคุมการขายในระดับภูมิภาค กลุ่มเอเยนต์ที่ได้รับเป็นตัวแทนขายในระดับภูมิภาค เนื้อแท้ก็เป็นกลุ่มพวกเดียวกัน เพียงแต่เปลี่ยนหัวคนที่รับผิดชอบในแต่ละบริษัทเท่านั้น

ขณะที่ผลประกอบการในโครงการไทยแลนด์อีลิทการ์ด พบว่า มียอดขาดทุนทุกปีต่อเนื่อง โดยปี 2546 มีสมาชิก 139 ราย ขาดทุน 134 ล้านบาท, ปี 2547 มีสมาชิก 466 ราย ขาดทุนสะสม 384 ล้านบาท, ปี 2548 มีสมาชิก 251 ราย ขาดทุนสะสม 843 ล้านบาท

ทุกปัญหาที่เกิดขึ้นใน อีลิทการ์ด ถูกเชื่อมโยงมาสู่กระบวนการล่าสุดที่มีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) จากนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้สั่งการให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ไปศึกษาเพื่อหาแนวทางยกเลิกโครงการบัตรไทยแลนด์ อีลิทการ์ด ลง

ความเปลี่ยนแปลงของโครงการขายฝัน “อิลิทการ์ด”จะเกิดอะไรขึ้น?...นับจากนี้ต่อไป

เรื่องราวทั้งหมดจึงร้อนใจถึงคณะผู้บริหารและเอเย่นต์ขายบัตรสมาชิกในทันที ส่งผลให้บัตรสมาชิกอีลิทการ์ดหยุดชะงักลงทั้งหมด ขณะที่ผู้ให้บริการร่วม เช่น สปา สนามกอล์ฟ ก็มีการติดต่อเข้ามาเพื่อขอยกเลิกการร่วมให้บริการ เนื่องจากไม่มั่นใจว่าจะได้รับเงินค่าบริการ

ทางเลือกของบัตรเทวดาจึงต้องถูกกำหนดไว้ 3 แนวทางหลัก คือ 1.ปิดบริษัท ซึ่งจะต้องมีการสรุปผลการประเมินความเสียหาย ทั้งจากการขอซื้อบัตรคืนจากสมาชิก และกรณีที่สมาชิกฟ้องร้อง 2.การขายหุ้นของบริษัทให้ภาคเอกชนรับไปดำเนินการต่อ และ 3.ดำเนินงานต่อไป โดยไม่พึ่งพางบประมาณของรัฐ

ว่ากันว่าผู้บริหาร ทีพีซี รีบนำโครงการไปศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการเดินหน้าต่อไปนั้น เป็นเพียงการ “ซื้อเวลา” ให้กับบัตรอีลิท การ์ด เท่านั้น

ที่ผ่านมาการบริหารงานของ อีลิท การ์ด นั้นเป็นเหมือน “องค์กรอิสระ” ที่ไม่มีหน่วยงานใดเข้าไปก้าวก่ายได้เลย ทั้งในเรื่องของแผนการตลาดและการใช้จ่ายเงิน แม้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ 100% ในทีพีซีก็ตาม แต่ดันมีสิทธิส่งตัวแทนเพียงคนเดียว เข้าไปนั่งในคณะกรรมการทีพีซี แต่ไม่มีสิทธิกำหนดทิศทางใดๆ ให้กับ ทีพีซี ด้วยซ้ำ

ขณะเดียวกัน “ก้างขวางคอ” ในโครงการนี้ที่ทำให้ไม่ถูกล้มได้ง่ายๆ ก็คือ การฟ้องร้องของสมาชิกบัตรอีลิท ที่มีอยู่กว่า 2,600 ราย หากมีการฟ้องร้องขึ้นจริงน่าจะส่งผลให้รัฐบาลไทยต้อง “คิดหนัก” กับการยกเลิกโครงการบัตรดังกล่าว

นับเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ ที่ฝ่ายกฎหมายของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคิดไม่ตกว่าหากยกเลิกบัตรสมาชิกอีลิท การ์ด แล้วจะ “ชดใช้-ชดเชย” ให้กับสมาชิกอย่างไร

ทั้งนี้ เพราะรัฐบาลไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่า สมาชิกบัตรแต่ละรายจะฟ้องร้องรัฐบาลไทยที่ทำให้สมาชิกบัตร “เสียหาย” เป็นจำนวนเท่าใด?... มีการคำนวณคร่าวๆ กันว่า หากแค่สมาชิกบัตรเรียกร้องค่าเสียหายเฉพาะค่าบัตรสมาชิก ประเทศไทยก็ต้องควักกระเป๋าจ่ายเป็นเงินเกือบ 3,000 ล้านบาท

ยังไม่นับรวมสมาชิกบัตรประเภท “หัวหมอ” ที่ต้องฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายในลักษณะ “เกินจริง” กับรัฐบาลไทย ในฐานะเป็นผู้ยกเลิกบัตรสมาชิก ซึ่งหากสมาชิกแต่ละรายฟ้องร้อง “ค่าเสียหาย” มากกว่านี้ ไม่มีใครสามารถประเมินความเสียหายได้ว่าจะมีจำนวนเท่าใด เพราะที่ผ่านมาเคยมีสมาชิกฟ้องร้องค่าเสียหายจากทีพีซีแล้วเป็นเงินกว่า 10 ล้านบาท กรณีเรื่องสิทธิประโยชน์ไม่ตรงกับที่โฆษณาไว้

เมื่อเป็นเช่นนั้น หากฝ่ายกฎหมายไม่สามารถหา “ทางลง” ในเรื่องของการฟ้องร้องนี้ได้ อีลิท การ์ด ก็ยังคงเดินหน้าต่อไป แต่จะไม่มีการขยายจำนวนสมาชิก เพื่อไม่ให้เกิดภาระที่มากขึ้น…แต่หากมี “ทางลง” เรื่องนี้เมื่อไรก็เชื่อได้ว่าบัตรเทวดา “อีลิท การ์ด” คงต้องถึงเวลาปิดตำนานทันที!!อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us