ฮาร์วาร์ดและเยล มันสมองหลังบัลลังก์ไม้
มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและมหาวิทยาลัยเยล สองสถาบันที่นับได้ว่าเป็นเสาหลักแห่งการศึกษานิติศาสตร์ในสหรัฐฯ
เป็นเวลาหลายทศวรรษ แม้ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปทั้งเทคนิคการว่าความและปรัชญาแนวความคิด
แต่สังคมก็ยังยอมรับว่าฮาร์วาร์ดและเยลยังคงเป็นแม่พิมพ์สำคัญที่ชี้นำทนายความของสหรัฐฯ
ได้
เมื่อนิตยสาร U.S. NEWS & WORLD REPORT ได้หยั่งเสียงจากคณบดีของมหาวิทยาลัยทางกฎหมาย
183 แห่ง ปรากฏว่าคำตอบกว่าครึ่งถึง 90% ยกให้โรงเรียนสอนกฎหมายยอดเยี่ยมคือฮาร์วาร์ดและเยล
ฮาร์วาร์ดนั้นมีความเก่าแก่ด้านชื่อเสียงมานาน ขนมประเพณีนิยมก็มีมากกว่า
และทรงอิทธิพลด้วย และเป็นผู้พัฒนาการวิธีการเรียนการสอนที่เรียกว่า "กรณีศึกษาแบบโสคราติส"
(SOCRATIC CASE STUDY) ให้แพร่หลายในสถาบันอื่น ๆ ด้วย นักศึกษาประมาณ 1,800
คนได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการทำคดีที่เกิดขึ้นจริง ๆ เพื่อให้นักศึกษารู้ซึ้งถึงตัวแม่บทกฎหมายที่ใช้กันอยู่ในการต่อสู้คดีจริง
ๆ ระบบการเรียนการสอนแบบนี้ฮาร์วาร์ดใช้ได้ดี "เราต้องการสอนในสิ่งที่นักกฎหมายกำลังทำอยู่จริง
ๆ" ศาสตราจารย์ LANCE LIEBMAN กล่าว พร้อมกันนั้นฮาร์วาร์ดได้ปรับปรุงหลักสูตรให้เปิดกว้างขึ้นสำหรับนักศึกษาปีแรก
เช่นการศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์กฎหมาย, ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายและเศรษฐกิจ
ฯลฯ
ส่วนทางมหาวิทยาลัยเยลนั้น สิ่งที่พวกเขาภาคภูมิใจคือ "ทฤษฎีกฎหมาย
"LEGAL REALISM" ที่พัฒนามานานนับทศวรรษแล้ว บรรยากาศของเยลมีความอิสระเสรีและยืดหยุ่นกว่าฮาร์วาร์ด
เยลมีอัตราส่วนของนักศึกษาต่ออาจารย์ที่คุยโวได้ว่า นักศึกษา 570 คนต่ออาจารย์
60 คน และนักศึกษามีอิสระที่จะเลือกวิชาเรียนได้ และเยลยังได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญแขนงวิชาอื่น
ๆ ด้วย เช่น วิชาว่าด้วยผลกระทบของปรัชญาและประวัติศาสตร์ต่อกฎหมาย
มิชิแกนทีม…สู้เขาเจี๊ยบ
มหาวิทยาลัยมิชิแกนนั้นแม้จะมาเป็นอันดับที่สาม แต่ก็มีข้อได้เปรียบที่เป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของรัฐ
และพยายามเลี่ยงสภาพ "โรงงานผลิตนักกฎหมาย" โดยจัดนักศึกษาเพียงห้องละ
24 คนแทนที่ เดิมจะให้อาจารย์คนหนึ่งสอนนักศึกษาเหยียบร้อย อธิการบดี EDWARD
COOPER กล่าวว่า "เราจัดแบบนี้เพื่อทำให้เกิดบรรยากาศการเรียนการสอนที่ไม่หวั่นเกินไป"
สำหรับหลักสูตรของมิชิแกน นักศึกษาปีหนึ่งจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับสถาบันและกฎหมายที่ใช้ในการบริหาร
และมีหลายวิชาที่เรียนเรื่องจรรยาบรรณและวิธีประนีประนอมข้อพิพาทที่เกิดขึ้นนอกศาล
เพิ่มเติมจากหลักสูตรปกติที่สอนถึงกฎหมายของศาลยุติธรรม
อันดับ 4..สแตนฟอร์ดและโคลัมเบีย
ในขณะที่โรงเรียนสอนนักกฎหมายอื่นมีนักศึกษารุ่นใหม่จบมาสด ๆ ร้อน ๆ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดกลับใช้กลยุทธ์การคัดเลือกนักศึกษาที่แปลกออกไป
คือ นักศึกษาทุก 1 ใน 10 จะมีอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป LISA LINDELEF หัวหน้าสมาคม
OLDER LAW STUDENTS ASSOCIATION วัย 36 ปีกล่าวว่า "ในขณะที่สแตนฟอร์ดมุ่งเสริมสร้างสติปัญญาในรั้วมหาวิทยาลัย
เราไม่ค่อยได้สัมผัสโลกแห่งความเป็นจริงภายนอกเท่าใดนัก" ลิซ่าก่อนจะเรียนกฎหมายที่นี่เคยเป็นนักจิตบำบัดอยู่ลอสแองเจลิสถึง
9 ปี
ส่วนมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับสี่อีกแห่งคือ มหาวิทยาลัยโคลับเบีย ซึ่งมีทำเลที่ตั้งอยู่กลางมหานครนิวยอร์ค
ทำให้เป็นที่ดึงดูดใจอาจารย์และนักศึกษาระดับเยี่ยม นอกเหนือจากนี้หลักสูตรของโคลัมเบียยังน่าสนใจด้วยการเพิ่มวิชาพิเศษที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันในสังคมเมืองใหญ่แบบนิวยอร์ค
เช่น กฎหมายลิขสิทธิ์ในงานศิลปะ และการจัดการกิจการในแง่มุมกฎหมายและมีนักศึกษากลุ่มอาสาสมัครที่ให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมายแก่คนที่มีปัญหาด้านการเงิน
ม. ชิคาโกครองอันดับ 6
มหาวิทยาลัยชิคาโกค่อนข้างจะสอนหลักสูตรแบบแผนกฎหมายตามครรลอง ในปีแรกนักศึกษาต้องเรียนเรื่องการทำสัญญาขั้นตอนทางกฎหมาย
และวิชาพื้นฐานอื่น ๆ แต่ก็ยังดีขึ้นมาบ้าง ที่มีวิชาเสริมเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้สัมมนาในเรื่องกฎหมายและเศรษฐกิจ,
กฎหมายอาญาประวัติศาสตร์ กฎหมายและความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับรัฐ
GREG MARK นักศึกษาคนหนึ่งให้ความเห็นว่า ในชั้นเรียนกฎหมายและเศรษฐศาสตร์
พวกอาจารย์จะชอบกล่าวถึงความสามารถของคนในมหาวิทยาลัยนี้ เพื่อเป็นการสร้างกำลังใจให้นักศึกษาไปในตัว
ส่วนคณบดี GEOFFREY STONE กล่าวว่าการศึกษากฎหมายจะเน้นเรื่องที่กำลังอยู่ในความสนใจขณะนั้น
เช่นข่าวเรื่องกบฏคอนทราในอิหร่าน เป็นต้น
อันดับ 7 ค่าเล่าเรียนถูก
สำหรับ BOALT HALL SCHOOL OF LAW แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในเบอร์คเล่ย์นั้นได้รับเลือกติดอันดับ
7 เพราะมีอาจารย์ฝีมือสอนโดดเด่นซึ่งรัฐคัดเลือกมา ที่นี้ถือว่าเป็นโรงเรียนสอนกฎหมายที่ดีที่สุดของชาวแคลิฟอร์เนีย
โดยเสียค่าเล่าเรียนถูกมากปีละ 37,500 บาท หรือ 1,500 ดอลลาร์ ในขณะที่เยลคิดค่าเล่าเรียนถึงปีละ
311,250 บาท หรือ 12,450 ดอลลาร์/ปี ยิ่งกว่านั้นนักศึกษาเบอร์คเล่ย์ยังเรียนห้องเรียนขนาดเล็กและมีอุปกรณ์การเรียนการสอนที่ทันสมัย
เช่นวิดีโอเทปที่นำภาพนักศึกษาฝึกเป็นทนายความแล้วนำมาวิจารณ์กันในชั้นเรียน
จุดเด่นอีกข้อสำหรับสถาบันแห่งนี้ คือ ไม่มีการ "เกรด" นักศึกษา
ซึ่ง JOHN HORSLEY บรรณาธิการฝ่ายกฎหมายกล่าวว่า "นักศึกษาเข้ามาเพื่อการเรียนรู้
ไม่ใช่การเปรียบเทียบตัวเขากับเพื่อนที่นั่งถัดไป"
ม. เวอร์จิเนียเรียนแบบสบาย ๆ
UNIVERSITY OF VERGINIA ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 8 มีบรรยากาศการเรียนการสอนแบบสบาย
ๆ แม้ว่าจะใช้วิธีการสอนแบบเดียวกับฮาร์วาร์ดคือใช้กรณีศึกษา แต่ก็ไม่ทำให้นักศึกษาหน้าแตก
และนักศึกษาจะได้รับประสบการณ์จากชีวิตจริง โดยมีโอกาสช่วยว่าความให้กับนักโทษในศาลของรัฐ
นิวยอร์คยูนิเวอร์ซิตี้เน้นสอนภาษี
ส่วนอันดับที่ 9 ที่มีชื่อเสียงมากในโปรแกรมปริญญาโทที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายภาษีอากร
ก็คือ NEW YORK UNIVERSITY อาจารย์ผู้สอนคนหนึ่งของที่นี่เปิดเผยว่าหลักสูตรนี้ได้รับการออกแบบให้เหมาะสมกับระเบียบปฏิบัติทางภาษีอากรของนิวยอร์ค
และเพราะระบบเศรษฐกิจของนิวยอร์คผูกติดกับบริการด้านการเงินมาก จึงทำให้คนที่จบโปรแกรมนี้เป็นที่ต้องการในตลาดอย่างมาก"
เพนซิลวาเนียติดอันดับ 10
นักศึกษาหลายคนให้คะแนนว่า UNIVERSITY OF PENNSYLVANIA อยู่ในอันดับที่
10 ในฐานะที่มีบรรยากาศเรียนแบบสบาย ๆ โดยแต่ละชั้นเรียนจะมีนักศึกษาจำนวน
200 คนหรือน้อยกว่านี้และอาจารย์จะใช้หลักเมตตาธรรมมาเป็นหลักในการเรียนการสอน
อื่น ๆ อีกมากมาย 10 อันดับ
มหาวิทยาลัยอันดับหลัง ๆ ได้แก่ UNIVERSITY OF TEXAS AUSTIN ซึ่งอยู่ในอันดับที่
11 กล่าวกันว่าได้รับแรงสนับสนุนทางการเงินจากบริษัทน้ำมันทั้งหลาย รวมทั้งนักกฎหมายที่มีชื่อเสียงอีกจำนวนหนึ่ง
ทำให้มีเงินว่าจ้างคณะอาจารย์ที่มีฝีมือมาสอนได้ และสามารถรักษาระดับค่าเล่าเรียนได้แค่ปีละ
25,000 บาท หรือ 1,000 ดอลลาร์/ปี สำหรับนักศึกษาที่มีถิ่นฐานในเท็กซัส นอกจากนั้นทางคณะยังจ้างทนายความที่มีชื่อเสียงมาสอนในวิชาทนายความฝึกหัดด้วย
ส่วนอันดับที่ 12 DUKE UNIVERSITY เน้นหนักในงานวิจัยและงานเขียนตำรา วิชาบังคับวิชาหนึ่งในชั้นเรียนปีแรกคือนักศึกษาต้องเขียนถึงเรื่องปัญหาจรรยาบรรณและสัมมนาความคิดเห็นนี้กับอาจารย์
นักศึกษาของสถาบันแห่งนี้มีจำนวน 575 คน ซึ่งรองคณบดี EVELYN PURSLEY กล่าวว่าทางสถาบันไม่เคยประสบปัญหาการแก่งแย่งชิงดีกันเหมือนกับมหาวิทยาลัยที่ใหญ่
ๆ ทั้งหลาย
โรงเรียนสอนกฎหมายที่ใหญ่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งของสหรัฐฯ และติดอันดับที่
13 คือ GEORGETOWN UNIVERSITY LAW CENTER ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองหลวง และมีอาจารย์พิเศษมากถึง
215 คน และมีนักศึกษามากถึง 2,580 คน และเป็นมหาวิทยาลัยที่มีความชำนาญพิเศษในการสร้างอาจารย์สอนวิชากฎหมาย
สำหรับอันดับที่ 14 ได้แก่ UNIVERSITY OF CALIFORNIA AT LOS ANGELES นักศึกษาได้มีโอกาสช่วยเหลือคนยากจนและผู้อพยพทั้งหลายในการทำ
"คลินิกกฎหมาย" และอันดับที่ 15 CORNELL UNIVERSITY ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องการสอนที่กวดขัน
แต่ก็ไม่ถึงกับซีเรียสเคร่งเครียด มีนักศึกษาหลายคนที่กินอยู่หลับนอนและเรียนหนังสือในบริเวณมหาวิทยาลัยที่สร้างด้วยศิลป์แบบโกธิค
บางคนถึงกับลากรองเท้าแตะมาเรียนด้วยซ้ำ
และมหาวิทยาลัย นอร์ธเวสเทอร์นติดอันดับที่ 16 ที่เน้นหนักงานวิจัยซึ่งยอมรับกันใน
THE AMERICAN BAR ASSOCIATION ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในชิคาโก และที่ UNIVERSITY
OF ILLINOIS ติดอันดับที่ 17 จะมีนักศึกษาที่ศึกษาปัญหาการวางแผนการใช้ที่ดินและกฎหมายของประเทศในโลกที่สาม
และอีกมหาวิทยาลัยหนึ่งที่ติดอันดับเดียวกันนี้ คือ UNIVERSITY OF SOUTHERN
CALIFORNIA ซึ่งสอนกฎหมายเกี่ยวกับชีววิทยา ปรัชญา และวิชาอื่น ๆ
มหาวิทยาลัยลำดับที่ 19 UNIVERSITY OF MINNESSOTA ถือว่าเป็นสถาบันแห่งแรกที่เริ่มหลักสูตรการเรียนการสอนด้วยคอมพิวเตอร์
ซึ่งนิยมใช้ทั่วสหรัฐฯ ในปัจจุบันนี้ และอันดับสุดท้ายที่ 20 ของโรงเรียนสอนกฎหมายคือ
UNIVERSITY OF WISCONSIN ซึ่งเน้นหนักถึงงานวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบของกฎหมายที่มีต่อปัญหาทางสังคม