เคยมีคนเอ่ยอ้างว่า "อเมริกาเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพที่ยิ่งใหญ่ไร้ชนชั้นไม่มีผู้ดีหรือไพร่
เพราะทุกคนมีความเป็นประชาธิปไตยเท่าเทียมกัน…" แต่ความจริงหาเป็นเช่นดังกล่าวไม่
อเมริกันทุกวันนี้มีการกำหนดชนชั้นใหม่ด้วย "ตัวอักษรย่อ" J.D.,
M.D. M.B.A. หรือ Ph.D ต่อท้ายนามสกุล บทบาทของมันในปัจจุบันกลายเป็นเครื่องหมายบ่งชี้ถึงความแตกต่างของระดับการศึกษา
ฐานะทางสังคมและโอกาสทางเศรษฐกิจของคนด้วย
เมื่อไม่นานมานี้ คนอเมริกันเริ่มเห่อกับบทบาทของ "เจ้าตัวอักษรย่อ"
ข้างต้นจากการจุดพลุของ ROBERT SOLOW แห่งสถาบัน MASSACHUSETS INSTITUTE
OF TECHNOLOGY ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ซึ่งได้ชี้ให้เห็นทฤษฎีที่ว่า
ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศมีความผูกพันอย่างใกล้ชิดกับผลลัพธ์ทางการศึกษา
และเทคโนโลยีมากกว่าสะสมทางด้านเงินลงทุนเพียงอย่างเดียว และถ้าจะมีการลงบัญชีกันก็ต้องถือว่าการศึกษาจัดเป็นการลงทุน
ไม่ใช่เป็นค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
ด้วยเหตุนี้เอง US. NEWS&WORLD REPORT นิตยสารชั้นนำของสหรัฐฯ จึงสำรวจความคิดเห็นจากสถาบันการศึกษาระดับวิทยาลัยจำนวน
1,300 แห่ง เพื่อค้นหา 10 อันดับยอดเยี่ยมของสถาบันดีเด่นในสาขาวิชาต่าง
ๆ ดังนี้ แพทยศาสตร์, บริหารธุรกิจ, วิศวกรรมศาสตร์ และกฎหมาย โดยตัดสินจากคุณภาพของสถาบัน,
หลักสูตรการเรียนการสอนที่ฉมัง, ความรู้ความสามารถของผู้เรียนที่จบออกมาประกอบอาชีพได้จริง
ๆ และสถานภาพของผู้เรียนจบที่สร้างสรรค์อาชีพส่วนตัวและต่อสังคมส่วนรวมด้วย
ผลสำรวจครั้งนี้จะใกล้เคียงความเป็นจริงหรือไม่นั้น พิจารณาได้จากสัดส่วนและจำนวนสถาบันการศึกษาที่ถูกเลือกให้ตอบแบบสอบถามกับคำตอบที่ได้รับกลับคืนมา
จากจำนวน 241 มหาวิทยาลัยทางวิศวกรรมมีคำตอบที่สมบูรณ์ส่งคืนกลับมามากถึง
2 ใน 3 และมหาวิทยาลัยที่สอนทางบริหารธุรกิจก็จำนวน 608 แห่งก็ส่งคำตอบคืนมากว่า
50% และมหาวิทยาลัยที่สอนทางกฎหมายจำนวน 183 แห่งที่ส่งคำตอบมาให้ แต่สถาบันการศึกษาทางการแพทย์ที่ส่งคำตอบมาเพียง
32% จากจำนวนทั้งหมด 144 แห่ง
อย่างไรก็ตามผู้สำรวจได้ออกตัวก่อนแล้วว่าบัณฑิตวิทยาลัยที่ดี ๆ ในสหรัฐฯ
นั้น มิได้จำกัดแต่รายชื่อที่ปรากฏในบทความนี้เท่านั้น
ในความสนใจของนักศึกษาในสหรัฐฯ ในเรื่องการศึกษาต่อหลังจากจบปริญญาตรีนั้นมีอยู่มากว่าทศวรรษที่แล้ว
มีจำนวนเกือบ 23% ของจำนวนนักศึกษาทั้งหมดที่คิดเรียนต่อ และส่วนใหญ่สนใจจะเรียนต่อด้านบริหารธุรกิจและวิศวกรรมกันมาก
ในขณะที่ผู้สนใจเรียนต่อด้านกฎหมายและแพทย์ลดน้อยลงไป
ปัจจุบันผู้คนพากันหลงใหลได้ปลื้มกับเงินเดือนรายได้เลขหกหลักหลังจากจบปริญญาโทบริหารธุรกิจ
จนทำให้เกิดสถาบันการศึกษาด้านนี้เพิ่มขึ้น และบางแห่งพยายามเปิดหลักสูตรการเรียนการสอนขึ้นทั้ง
ๆ ที่ไม่พร้อม จนเกิดคำครหาว่าเปิดขึ้นมาเพื่อเก็งกำไรเพียงอย่างเดียว ในขณะที่ความนิยมเรียนวิศวกรรมศาสตร์กำลังบูม
ได้มีการสำรวจพบว่าส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ จากตัวเลขในปี 1986 มีนักศึกษาชาวต่างชาติจำนวนถึงหนึ่งในสามหรือ
43,000 คน ของผู้เรียนแบบเต็มเวลาและเกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนนี้กำลังทำปริญญาเอกอยู่
ทางด้านมหาวิทยาลัยที่สอนกฎหมาย และการแพทย์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยรุ่งและเป็นที่นิยมเรียนกัน
ปรากฏว่าเมื่อฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา สถิติจำนวนนักศึกษาที่จบแพทย์เพียง 15,830
คนจากสถาบัน 127 แห่ง ซึ่งลดลงจากปี 1984 ถึง 3% สมาคมวิทยาลัยทางการแพทย์แห่งสหรัฐฯ
(THE ASSOCIATION OF AMERICAN MEDICAL COLLEGES) ได้คาดการณ์ว่า ในปีนี้จะมีคนสมัครเรียนหมอลดลงประมาณ
2% จากจำนวน 68,000 คนในปี 1986 ซึ่งมีผลให้การแข่งขันที่เดิม 2-3 คนต่อ
1 ที่เรียนที่เป็นมาตลอด 20 ปีต้องเปลี่ยนไปเหลือเพียง 1.8 คนต่อ 1 ที่นั่งเรียนเท่านั้นในปี
1987
และปรากฏการณ์เช่นเดียวกันนี้ก็เกิดกับมหาวิทยาลัยที่สอนนิติศาสตร์ ยอดผู้สมัครเรียนตกลงมาเหลือเพียง
40,195 คนในปีที่แล้ว ซึ่งลดลงถึง 6% จากปี 1982 "เป็นเรื่องง่ายที่จะเข้าศึกษาในโรงเรียนสอนกฎหมายในปัจจุบันนี้
เมื่อเทียบกับ 5-10 ปีที่แล้ว" เป็นคำพูดเรียบ ๆ ที่ THE LAW SCHOOL
ADMISSION COUNCIL กล่าวไว้ในนิตยสารฉบับล่าสุดที่ชื่อ THE OFFICIAL GUIDE
TO U.S. LAW SCHOOLS
อย่างไรก็ตาม การศึกษาต่อในระดับสูงนี้ทำให้หลายคนท้อใจได้ง่ายเหมือนกัน
เพราะอัตราค่าเล่าเรียนของสถาบันเอกชนบางแห่งสูงลิ่วปีละประมาณ 300,000 บาทหรือกว่า
12,000 ดอลลาร์/ปี ยิ่งถ้าเรียนแพทย์ 4 ปีก็ทำให้บัณฑิตทั้งหลายเป็นหนี้สินถึง
750,000 บาทหรือคิดเป็นเงินดอลลาร์ก็ประมาณ 30,000 ดอลลาร์
ถึงกระนั้นก็ตาม รายได้ของวิศวกร, นักกฎหมาย, แพทย์และผู้บริหารธุรกิจก็ยังอยู่ระดับสูงที่สุด
และเป็นอาชีพที่คนนับหน้าถือตามากที่สุดในอเมริกา ตัวเลขจากสถิติบอกว่า ในปี
1986 บรรดาวิศวกรทำเงินได้โดยเฉลี่ยปีละ 887,500 บาท หรือ 35,500 ดอลลาร์
ในขณะที่คุณหมอทั้งหลายที่ทำกิจการส่วนตัวมีรายได้สุทธิถึงปีละ 2,830,000
บาท หรือ 113,200 ดอลลาร์เมื่อปี 1985 เมื่อเทียบกับพนักงานบริษัททั่วไปซึ่งมีรายได้ปีละแค่
465,000 บาท หรือ 18,600 ดอลลาร์เท่านั้น
สหรัฐอเมริกาทุกวันนี้ดูห่างไกลจากคนรุ่นเก่าที่บรรดาแพทย์จะได้รับผลตอบแทนต่ำกว่านี้
หรือทนายความต้องทำงานเป็นทนายฝึกหัดให้ช่ำชองก่อนจะบินสูง เพราะทุกวันนี้จดหมายแนะนำตัวเข้ามามีบทบาทสำคัญ
และ "เจ้าตัวอักษรย่อ" ที่ต่อท้ายนามสกุลก็ยังศักดิ์สิทธิ์ในวิธีการที่มีประสิทธิภาพ
และกระชับที่สุดที่จะแนะนำให้คนอื่นรู้ว่าบุคคลผู้นี้ได้รับการยกย่องจากเพื่อนฝูงและสังคมแค่ไหน