ผมคิดว่าตลาดเงินในเมืองไทยปีหน้า ก็คงจะเติบโตไม่แพ้ในปีนี้ เพราะว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยเรายังดี
แล้วก็คงจะดีต่อไป ปีนี้โดยเฉพาะอุตสาหกรรมหลาย ๆ อย่างดีมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านทอผ้า
การ์เมนต์ อุตสาหกรรมเพื่อส่งออกต่าง ๆ และอุตสาหกรรมที่สืบเนื่องกันก็ดีขึ้นด้วย
สินค้าของเราพวกนี้ยังคงจะขายออกได้ เนื่องจากความได้เปรียบที่ต้นทุนและคุณภาพแรงงานที่ดีกว่าของเรา
นอกจากนั้นมาตรการอัตราแลกเปลี่ยนของเราต้องถือว่าดี เป็นปัจจัยที่เสริมให้สินค้าขายได้
เป็นไปได้ว่าประเทศอุตสาหกรรมใหญ่อย่างกรณีเช่น BLACK MONDAY ผลของมันอาจจะทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ
จะยังไม่พุ่งหรืออาจจะลดต่ำลงมานิดหนึ่ง ทำให้เขาซื้อสินค้าน้อยลง ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเขาต้องซื้อสินค้าจากไทยน้อยลง
เขาจะต้องซื้อของที่แพงกว่าน้อยลง เราได้เปรียบทั้งต้นทุนและแรงงาน
อุตสาหกรรมบริการต่าง ๆ ก็ดีแน่ ๆ เพราะว่าคนมีงานทำ มีอำนาจในการซื้อ
เพราะฉะนั้นเมื่อดีต่อไปความต้องการเงินกู้ก็คงจะเพิ่มขึ้นจากปีนี้ขึ้นไปบ้าง
สำหรับเงินฝากก็ยังเพิ่มขึ้นอยู่ เพราะว่าเมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น รายได้ดีขึ้น
คนไทยเป็นคนที่รักการออมพอสมควร และหนทางที่ใหญ่ที่สุดของการออมเงินที่ดีที่สุดก็คือเงินฝาก
เพราะฉะนั้นตลาดเงินก็จะเป็นตลาดที่หมุนคล่อง ดังนั้นในแง่สภาพคล่องควรจะดีขึ้น
คือตอนนี้คล่องมาก อาจจะตึงขึ้นเล็กน้อยในปลายปี แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเงินตึงตัว
เพราะสมัยที่เกิดเงินตึงตัว เป็นเพราะดอกเบี้ยเงินกู้ต่างประเทศขึ้นมาสูงกว่าดอกเบี้ยในประเทศ
ทำให้เงินกู้ต่างประเทศถ่ายออก
เพราะฉะนั้นเงินคงจะยังหมุนคล่อง เงินฝากคงจะเพิ่มขึ้นสูงกว่าปีที่แล้วเพราะเศรษฐกิจที่ดี
ประชาชนมีรายได้มากขึ้น ช่องทางออมเงินก็มี มีเงินฝาก ออมเงินขึ้นได้อีก
มีเงินสำหรับมาหมุนธุรกิจได้อีก เพราะฉะนั้นตลาดการเงินจะมีเงินมาหมุนเศรษฐกิจได้โดยไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง
เงินตึงตัวไม่ต้องห่วง เพราะถ้าเงินในประเทศหมดไป ก็ยังสามารถดึงเงินจากต่างประเทศมาใช้ได้อีก
สถานการณ์เงินบาทใน BASKET CURRENCY เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ ที่ผ่านมา
ถ้าเทียบกับดอลลาร์ เหมือนกับว่าเงินบาทแข็งขึ้นเล็กน้อย แต่ถ้ามองโดยทั่วไป
ถึงประเทศอื่นที่ซื้อของจากเราด้วย ค่าเงินบาทลดในแง่ของผู้ซื้อเป็นชาวญี่ปุ่น
เยอรมัน ยุโรป สินค้าของเราถูกลง หรือในอีกแง่หนึ่งค่าเงินบาทเราลดลงเมื่อเทียบกับของเขา
ดังนั้นการที่ค่าเงินบาทตอนนี้ผูกกับดอลลาร์มากทีเดียวจะแข็งตัวขึ้นก็ แสดงว่า
CONCEPT ของ BASKET ไม่ได้เปลี่ยนแต่อัตราของ RATE มันจะเปลี่ยนไปตลอด และการเปลี่ยน
RATE ก็เปลี่ยนเพื่อความเหมาะสมทางเศรษฐกิจ เปลี่ยนเพื่อส่งออกได้ดีขึ้น
จะเห็นว่ารัฐบาลยังคงใช้นโยบายนี้อยู่เพื่อควบคุมค่าเงินบาทไม่ให้สูงกว่าดอลลาร์มากนัก
เพราะจะทำให้ขายสินค้าไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเศรษฐกิจในอเมริกา ทำให้เขาซื้อสินค้าน้อยลง
ก็จะไปประเทศอื่นก่อนประเทศไทย
ในแง่ของด้านของตลาดทุน เราจะไม่นำตลาดทุนเมืองไทยไปผูกกับตลาดสหรัฐเต็มที่
ขณะนี้คิดว่าผลกระทบจากตลาดเมืองนอกประเทศคลายตัวไปมากแล้ว สิ่งที่ต้องดูก็คือพื้นฐานในประเทศเป็นอย่างไร
ปัจจัยต่าง ๆ ในประเทศเป็นอย่างไร สินค้าในตลาดเป็นอย่างไร จะเห็นว่าตลาดหลักทรัพย์ปีที่แล้ว
กิจการอะไรก็ตามที่จะไม่ดี ที่จะเสียหาย ก็ไม่ให้ซื้อขาย ส่วนสินค้าที่ดีก็คือ
หุ้นของกิจการที่มีกิจการดำเนินแท้ ๆ เป็นกิจการที่ดำเนินอย่างมีกำไร มีฐานะ
มีอนาคต ถ้าในกระดานสองก็เป็นกิจการที่มีอนาคต เริ่มมีกำไรแล้ว ถึงแม้จะมีกำไรสะสม
ขาดทุนสะสมนอกจากสินค้าก็คือการดุแลของตลาดหลักทรัพย์ดี ตลาดหลักทรัพย์ฯ
ดูแลตลอดเวลาให้ข่าวตลอดเวลา อะไรที่ผิดหรือถูกเขาก็บอก อีกประการหนึ่งก็คือดอกเบี้ยยังต่ำอยู่
คนมีเงินเอาไปฝากก็ได้ดอกเบี้ยไม่มาก ไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ได้ไม่น้อยกว่า
เพราะฉะนั้นทุกคนก็ต้องตอบได้ว่า ตลาดหลักทรัพย์เป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งอย่างแท้จริง
คือถ้าต้องการ STEADY INCOME ก็ได้จากเงินปันผลแน่นอน แต่ถ้าคิดว่าเงินปันผลน้อยไปก็มีทางเลือกไปลงทุนในหุ้นดี
ๆ ที่มีอยู่ในตลาดฯ เพื่อแสวงหา CAPITAL GAIN
การเติบโตของตลาดทุนเมื่อเทียบกับตลาดเงินจะเป็นเท่าไร? และจะให้ความเชื่อมั่นว่าตลาดทุนจะมีอัตราการเติบโตกว่าตลาดเงินแค่ไหน
อย่างไร ผมยังตอบได้ยาก เพราะที่ผ่านมาตลาดทุนพึ่งการเติบโตที่เครื่องมือตัวเดียว
คือ หุ้น ตลาดทุนไม่ได้จับจิตวิทยาที่ว่า คนที่มีเงินนอกจากนำเงินมาลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทนการลงทุนแล้ว
ยังมีส่วนหนึ่งที่หวังรายได้ประจำที่เรียกว่า STEADY INCOME ที่เป็นทางเลือกที่ดีกว่าเงินฝาก
ซึ่งเป็นจุดที่ว่าตลาดทุนควรจะมีเครื่องมืออื่น ๆ ที่จะนำมาใช้ค้าขายในตลาดทุนได้
หมายความถึงการดึงเงินที่อยู่ในตลาดเงินที่เป็นระยะสั้นมาผ่านตลาดทุนระยะยาว
เช่น หุ้นกู้ พันธบัตร ฯลฯ แต่การกระตุ้นให้มีการซื้อขายสูงขึ้นยังไม่มี
เพราะการจัดเก็บภาษีแตกต่างกัน
ผมคิดว่านี่คือสิ่งหนึ่งที่จะเพิ่มความแน่นอนของการเติบโตของตลาดทุนได้
เพราะถ้าให้สิ่งนี้การค้าขายก็จะเคลื่อนไหวมากขึ้น คนก็จะไม่กลัวที่จะซื้อหุ้นกู้
ซื้อพันธบัตร เมื่อถึงวันหนึ่งถ้าต้องการเงินก็ต้องการมาขายเอาเงินได้ แต่ก็หมายความว่าการจัดเก็บภาษีต้องเหมือนกันด้วย
ตลาดทุนในอนาคตถ้ายังหวังพึ่งอยู่ที่หุ้นอย่างเดียว ก็จะขึ้น ๆ ลง ๆ คาดคะเนอะไรล่วงหน้าได้ยาก
เพราะหุ้นที่มีอยู่ดึงดูดเฉพาะคนที่เข้าปุ๊บออกปั๊บ แต่ผมมีความมั่นใจว่าหุ้นที่ขายอยู่ตอนนี้มีพื้นฐานที่ดี
โอกาสที่จะหล่นลงมาก ๆ ไม่มี คนก็จะค้าขายมากขึ้น แต่จะให้พุ่งเหมือนเมื่อก่อนก็คงไม่ได้
เพราะยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ยังไม่ดีอยู่
การดำเนินงานหรือแผนการที่จะทำให้เราสามารถดำรงฐานะ ผลกำไรในปีหน้าให้ดีที่สุดก็คือจะต้องขยันในการทำตลาดให้ได้มาก
นอกจากนี้ก็ต้องทำปริมาณในแง่ที่กำหนดดอกเบี้ย ไม่ให้ต้องขาดทุน ความยากของการกำหนดดอกเบี้ยเวลามีธนาคารมากขึ้นก็คือไม่สะดวกถ้าจะกำหนดดอกเบี้ยซึ่งขาดทุนแล้วเอาปริมาณไป
นั่นก็ไม่ได้อะไร ซึ่งต้องหาดุลยภาพของทั้งสองข้อนนี้ให้ได้ ที่ทำยากขึ้น
เพราะตลาดเติบโตขึ้น การแข่งขันมากขึ้น ลูกค้ามีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น
ในการสร้างบริการใหม่ ๆ ก็คงจะมี แต่ทุกคนจะต้องหาบริการที่ไม่ใช่คิดอย่างเดียว
เป็นบริการที่ลูกค้าต้องการจริง ๆ เป็นบริการที่ลูกค้าใช้และใช้ต่อไปแน่
ๆ อาจจะเป็นสินเชื่อรายบุคคล เพราะว่าฐานะคนในเมืองใหญ่มีรายได้สูงขึ้น ก็มีกำลังที่เขาจะใช้บริการสินเชื่อมากขึ้น
บริการใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นจะไม่ล้าสมัย อาจมีอะไรปลีกย่อยตามมา แต่บริการอื่นเป็นบริการแถม
บริการการเงินเป็นบริการหลัก ปริการอื่นต้องเป็นบริการเสริมที่สอดคล้องเสริมบริการทางการเงิน
บริการเสริมเราเก็บแค่คุ้มต้นทุน ส่วนบริการหลักทางการเงินต้องให้คุ้มดอกเบี้ย