กลุ่มสิทธิผลมีความเป็นมายาวนานเกือบ 70 ปีในอุตสาหกรรมรถยนต์ของไทย นับย้อนไปตั้งแต่
กนก อิสสระนุกูล เริ่มต้นธุรกิจด้วยการตั้งร้านซ่อมจักรยานพร้อมกับเป็นตัวแทนจำหน่ายจักรยานจากอังกฤษด้วย
หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ ขยับขยายธุรกิจออกไปเรื่อย ๆ ด้วยความสามารถและสายตาที่ยาวไกล
ปัจจุบันรถยนต์มิตซูบิชิของกลุ่มสิทธิผลมียอดขายเป็นอันดับ 3 ในตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคล
ในประวัติการประกอบการของสิทธิพล มีการริเริ่มและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ก้าวสำคัญที่เป็นประวัติศาสตร์ของอุตสาหกรรมรถยนต์บ้านเราก็คือการตั้งบริษัท
สหพัฒนายานยนต์ จำกัด ขึ้นในปี 2507 เป็นโรงงานประกอบรถยนต์แห่งแรกของไทย
ในปีที่ผ่านมาสิทธิผลก็ได้เริ่มก้าวสำคัญอีกก้าวหนึ่งด้วย การส่งรถยนต์ไปขายยังต่างประเทศเป็นครั้งแรก
เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2530 บริษัท เอ็ม เอ็ม ซี สิทธิผล ได้เซ็นสัญญากับบริษัทไครสเลอร์
แคนาดา ในการส่งรถยนต์ไปจำหน่ายที่แคนาดาจำนวน 100,000 คันในเวลา 6 ปี รถที่ส่งไปขายเป็นรุ่นเดียวกับมิตซูบิชิ
แลนเซอร์ แชมป์ 11 แบบ 4 ประตู เครื่องยนต์ 1,500 และ 1,600 ซีซี ที่มีอยู่ในเมืองไทยแต่จะใช้ชื่อว่า
"ดอดจ์ โค้ท" และ "พลีมัท โค้ท" ซึ่งเป็นยี่ห้อรถขายดีในเครือไครสเลอร์
ทุกคันได้รับการตีตราว่าผลิตโดย เอ็ม เอ็ม ซี สิทธิผลแห่งประเทศไทย ราคาขายต่อคัน
5,000-6,000 เหรียญสหรัฐฯ ขึ้นอยู่กับขนาดเครื่องยนต์และการตกแต่งภายใน รถรุ่นนี้ได้ผ่านการทดสอบคุณภาพจากแคนาดา
ได้รับเครื่องหมายความปลอดภัยแห่งชาติเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
เอ็ม เอ็ม ซี สิทธิผลเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างสิทธิผลกับมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น
(เอ็ม เอ็ม ซี) ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น ส่วนไครสเลอร์แคนาดานั้นเป็นบริษัทในเครือของไครสเลอร์แห่งสหรัฐฯ
ที่มีประธานชื่อ ลี ไอเอค็อคค่า มียอดขายเป็นอันดับ 7 ของโลกในตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคล
มิตซูบิชิของญี่ปุ่นก็มีหุ้นส่วนอยู่ในไครสเลอร์ด้วย
นี่อาจจะมีส่วนเกื้อกูลในความสำเร็จครั้งนี้ของสิทธิผลด้วย แต่ถึงอย่างไรก็ต้องยกนิ้วให้กับฝีไม้ลายมือของสิทธิผลเองที่ได้เปิดหน้าใหม่ของอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยขึ้น
การส่งรถงวดแรกจำนวน 500 คัน จะมีขึ้นที่ท่าเรือสัตหีบในวันที่ 10 มกราคม
2531 โดยมีป๋าเปรมเป็นประธานในพิธี