|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
เปิดมุมมองผู้จัดการกองทุน ชี้เอเชียยังน่าลงทุน "เอสซีบีควอนท์" แนะหากใจไม่ถึง ให้ลงทุนระยะสั้นๆ แต่หากต้องการผลตอบแทนสูง ให้ถือยาว "แมนูไลฟ์" เตือน ศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดก่อนลงทุน ลดความเสี่ยงเงินเหลือศูนย์ ด้าน "เอวายเอฟ" ยังกังวล ระบุเอเชียอาจยังไม่ฟื้นตัวเร็วอย่างที่คาด เหตุพึ่งพาการส่งออกไปยังอเมริกาและยุโรปเป็นหลัก
นายอรุณศักดิ์ จรูญวงศ์สีนิลมล ผู้อำนวยการสายงานจัดการกองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอสซีบี ควอนท์ จำกัด เปิดเผยว่า การที่เศรษฐกิจโลกและเอเชียปรับตัวลดลงนั้น ทำให้การลงทุนในภูมิภาคเอเชียมีความน่าสนใจในการเลือกลงทุน โดยการลงทุนในระยะสั้นๆจะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ หรือหากนักลงทุนยอมรับความเสี่ยงได้น้อย การรอลงทุนในช่วงที่ตัวเลขเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นมาประมาณไตรมาสที่ 3 ของปี ถือเป็นอีกทางเลือกที่สามารถทำกำไรให้นักลงทุนได้ ทั้งนี้หากนักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงความผันผวนได้ การลงทุนในระยะยาว ถือเป็นโอกาสดีในการเข้าลงทุน แต่นักลงทุนจะต้องเลือกลงทุนในบริษัทที่เป็นกลุ่มนำตลาดมีประวัติการเติบโต การจ่ายปันผลดี และมีความมั่นคงสูง ไม่ควรที่จะเข้าไปลงทุนในบริษัทขนาดเล็ก เพราะโอกาสที่บริษัทเหล่านั้นจะประสบกับภาวะขาดทุนมีสูง
อย่างไรก็ตาม จากกรณีที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟได้ออกมาคาดการณ์ ถึงเศรษฐกิจเอเชียจะมีการเติบโตและฟื้นตัวเร็วกว่าเศรษฐกิจอเมริกาและยุโรป มีความเป็นไปได้สูง เนื่องจากว่าวิกฤตการต่างๆที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายในประเทศ โดยการฟื้นตัวจำเป็นที่จะต้องใช้ระยะเวลา ซึ่งที่ผ่านมาประเทศในแถบเอเซียจะพึ่งพาการบริโภคและการค้าขายในสหรัฐอเมริกาและยุโรปเป็นหลัก เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ จึงส่งผลให้ดีมานด์การส่งออกได้รับผลกระทบไปด้วย ทำให้เอเชียจะต้องอาศัยการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มสภาพคล่องทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ การลงทุนในประเทศจำเป็นที่จะต้องอาศัยการทำงานของรัฐบาลเป็นหลัก โดยที่จะต้องมีการบริหารจัดการงบประมาณ การลงทุนและการบริโภคให้ดี สิ่งไหนจำเป็นที่จะต้องเพิ่มเม็ดเงิน ส่วนไหนควรกระตุ้น รัฐบาลจะต้องจัดการให้ดี
ในส่วนของเศรษฐกิจจีน พบว่าอัตราการเติบโตอย่างแย่สุด แต่ผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product - GDP)หรือ จีดีพี ยังคงเป็นบวกพอสมควรคือโตอยู่ที่ 6-7% โดยหากเศรษฐกิจดี จีดีพีจะเติบโตอยู่ที่ประมาณ 10-12% ต่อปี เพราะจีนมีเม็ดเงินมากพอที่จะใช้ในการรกะตุ้นเศรษฐกิจภายใน ไม่เหมือนจีดีพีในประเทศไทยที่นักลงทุนทั้งหลายหวั่นว่าจะติดลบ ทั้งนี้ หากเศรษฐกิจจีนสามารถฟื้นตัวได้เร็ว จะทำให้ประเทศจีนเป็นประเทศหลักของเศรษฐกิจโลก แทนที่สหรัฐฯและยุโรป
ขณะเดียวกันการที่เงินเฟ้อปรับตัวลดลงนั้น จำเป็นที่จะต้องศึกษาถึงสาเหตุการลดลงด้วยว่ามีสาเหตุมาจากเหตุใด โดยหากเงินเฟ้อปรับตัวลดลง เนื่องมาจากราคาน้ำมันปรับตัวลดลงถือเป็นเรื่องปกติ แต่หากว่าเงินเฟ้อปรับตัวลดลงเนื่องมาจากประชาชนหรือผู้บริโภคไม่ยอมนำเงินออกมาใช้จ่ายจะส่งผลให้การใช้จ่ายภายในประเทศลดน้อยลงจนถึงทำให้ขาดสภาพคล่องมากขึ้น
นายพนุกร จันทรประภพ ผู้อำนวยการฝ่ายตราสารทุน บลจ.แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แม้ว่าเศรษฐกิจเอเชียจะปรับตัวลดลงมามากในขณะนี้ ถือเป็นโอกาสดีที่นักลงทุนจะเข้าไปลงทุน แต่นักลงทุนจะต้องเข้าใจด้วยว่าการลงทุนในตลาดหุ้นย่อมมีความเสี่ยงในการลงทุนสูง โดยวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ได้ส่งผลกระทบไปยังโครงสร้างของบริษัทต่างๆ ซึ่งอาจจะทำให้ราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้ลดลงมาจนเหลือศูนย์ หรืออาจจะทำให้บริษัทปิดตัวได้
"นักลงทุนที่สนใจจะเข้าไปลงทุนในในขณะนี้ ถือเป็นโอกาสดีที่จะเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้น แต่นักลงทุนจะต้องวิเคราะห์ข้อมูลการลงทุนอย่างละเอียดถี่ถ้วน ต้องศึกษาข้อมูลของบริษัทที่จะเข้าไปลงทุนให้ละเอียด ซึ่งต้องวิเคราะห์ว่า บริษัทจะสามารถฝ่าฝันอุปสรรคที่เกิดขึ้นไปได้หรือไม่ รวมไปถึงสภาพคล่องภายในบริษัทมีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งนักลงทุนจะต้องศึกษาข้อมูลและข่าวต่างของบริษัทโดยละเอียด เนื่องจากว่าวิกฤตที่เกิดขึ้นได้ส่งผลกระทบให้แต่ละบริษัทไม่เท่ากัน" นาย พนุกร กล่าว
สำหรับ การที่ไอเอ็มเอฟได้ออกมาคาดการณ์ เกี่ยวกับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจเอเชียนั้น เนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เกิดขึ้นโดยตรงในเอเชีย แต่เกิดขึ้นหรือได้รับผลกระทบโดยตรงอย่างสหรัฐฯและยุโรป โดยเมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ไม่มีความมั่นใจในการปล่อยกู้ให้แก่บริษัทต่างๆจึงทำให้การใช้จ่ายของประชาชนและนักลงทุนชะลอตัวจนขาดสภาพคล่องภายในประเทศกลายเป็นปัญหาลูกโซ่ ขณะที่สถาบันการเงินในเอเชียได้รับผลกระทบน้อย อีกทั้งสภาพคล่องทางการเงินไม่ได้ย่ำแย่เท่ากับสหรัฐ ดังนั้นการที่เศรษฐกิจเอเชียจะฟื้นตัวเร็วกว่าประเทศอื่นๆจึงมีความเป็นไปได้สูง ซึ่งจากการคาดการณ์ของไอเอ็มเอฟพบว่า อัตราการเติบโตในอนาคตจะเติบโตกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วหลายๆประเทศ
"การลงทุนในเอเชียโดยรวมนั้นมีความน่าสนใจที่จะเข้าไปลงทุนกว่าการลงทุนในสหรัฐอเมริกาและยุโรป เนื่องจากสหรัฐฯเป็นพวกบริโภคนิยม จึงทำให้เกิดการก่อหนี้มากกว่าการออมเงิน โดยประชาชนส่วนใหญ่เป็นหนี้เยอะมาก ดังนั้นเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นทำให้ได้รับผลกระทบมากกว่า ขณะที่คนเอเชีย มีการใช้จ่ายเงินอย่างระมัดระวัง มีอัตราการออมสูง และที่สำคัญคือเอเชียเพิ่งผ่านวิกฤตเศรษฐกิจมาไม่นานทำให้นักลงทุนมีความรอบคอบในการใช้เงินมากขึ้นด้วย" นายพนุกรกล่าว
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.อยุธยา จำกัด หรือเอวายเอฟ กล่าวว่า จากที่หลายฝ่ายออกมาคาดการณ์เศรษฐกิจเอเชียว่าจะสามารถฟื้นตัวได้เร็วกว่าสหรัฐฯหรือยุโรปนั้น ถือเป็นการคาดหวังว่าเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้น ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นตอบรับกระแสดังกล่าวล่วงหน้า 6เดือน ขณะที่ตลาดหุ้นโดยรวมปรับตัวลดลง สัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจบนมาตรการต่างๆยังไม่ส่งผลเท่าที่ควร โดยขณะนี้จะเป็นในเรื่องของการให้ข่าวจึงทำให้นักลงทุนเกิดความคาดหวังว่าตลาดหุ้นและเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้น ขณะที่สภาพการตอบรับจะยังไม่ส่งผลให้เห็นอย่างชัดเจน
ในส่วนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเอเชีย บริษัทคาดว่าจะยังไม่ฟื้นตัวเร็วอย่างที่หลายฝ่ายได้คาดการณ์กันไว้ เนื่องจากว่าหลายประเทศในเอเชียจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาการส่งออกไปยังอเมริกาและยุโรปเป็นหลัก การที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นจะส่งผลให้สินค้าที่ส่งออกเกิดการชะลอตัว ทำให้ภาคการผลิตลดน้อยลง ซึ่งสิ่งเหล่านี้รวมเรียกว่า วงจรเศรษฐกิจขาลง หากจะให้เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นจำเป็นที่จะต้องใช้ระยะเวลาหลายไตรมาสในการฟื้นตัว
"การที่เศรษฐกิจชะลอตัวเช่นนี้ได้ส่งผลกระทบต่อกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในภูมิภาคอาเซียน ทำให้ผลตอบแทนของกองทุนที่คาดว่าจะได้รับปรับตัวลดลง อีกทั้งยังเป็นห่วงตลาดหุ้นที่ยังไม่สดใสมากนัก อาจจะถึงตลาดซบเซาด้วยซ้ำ" นายประภาส กล่าว
นอกจากนี้ ในส่วนของเศรษฐกิจจีน การลงทุนจำเป็นที่จะต้องระมัดระวังมาก โดยขณะนี้ตัวเลขเศรษฐกิจจีนไม่เคยปรับตัวลดลงเท่านี้มาก่อนในรอบ 20 ปี ดังนั้น จีนจึงจำเป็นที่จะต้องรักษาอัตราการเติบโตให้เป็นไปตามที่ได้มีการตั้งเป้าเอาไว้ จึงทำให้เศรษฐกิจจีนมีความชัดเจนมากกว่าประเทศต่างๆในภูมิภาคเดียวกัน
ส่วนอัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวลดลง จะช่วยแบ่งเบาภาระการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันมากกว่า ที่จะช่วยกระตุ้นระบบเศรษฐกิจให้ปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากเงินเฟ้อจะช่วยทำให้ราคาข้าวของเครื่องใช้ถูกลง ก่อให้เกิดสภาพคล่องภายในประเทศ
|
|
|
|
|