Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
ผู้จัดการรายวัน4 กุมภาพันธ์ 2552
“โอฬาร”ชี้ศก.ปี52 ไทยติดลบ4.05% แย่ที่สุดในโลก             
 


   
search resources

โอฬาร ไชยประวัติ
Economics




“โอฬาร ไชยประวัติ” ชี้เศรษฐกิจไทยปี 52 ติดลบ 4.05% มากที่สุดในโลก หลังรายได้หลักจากการส่งออกและท่องเที่ยวทรุดหนัก เสนอภาครัฐเร่งหาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ บนเงื่อนไขห้ามปิดกิจการ-ปลดคนงาน ด้านผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน ย้ำผู้บริหารต้องเป็นหางเสือหลักนำบริษัทฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการตัดสินใจที่รอบคอบ แม่นยำ และรวดเร็วทันต่อเหตุการณ์

นายโอฬาร ไชยประวัติ อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ “ทิศทางเศรษฐกิจการเงินไทย” ในงานสัมมนาเรื่อง “CEO มืออาชีพ...เส้นทางความอยู่รอดหรือรุ่งโรจน์ขององค์กร” ว่า คาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2552 จะติดลบถึง 4.05% ซึ่งติดลบมากที่สุดในโลก เนื่องจากรายได้การส่งออก และการท่องเที่ยวที่ลดลง โดยเฉพาะยอดส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนยานยนต์ ที่คาดว่าจะปรับตัวลดลงถึง 20% และจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง 20-25% ซึ่งจะส่งผลต่อธุรกิจโรงแรมลดลง 25-30%

ทั้งนี้ รายได้จาก 3 ธุรกิจดังกล่าวนั้นคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 60% ของยอดการส่งออกของทั้งประเทศ ซึ่งการที่เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้จะต้องพึ่ง 3 ธุรกิจดังกล่าว ดังนั้นรัฐบาลจะต้องออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือให้เหมาะ ไม่เช่นนั้นจะส่งผลให้มีการปิดกิจการ และส่งผลให้มีจำนวนคนว่างงานพุ่งสูงถึง 1.5 ล้านบาท

สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหานั้น เสนอให้นำแผน “อยุธยาโมเดล” ที่เคยใช้เมื่อครั้งเกิดวิกฤตในปี 2540 กลับมาใช้ โดยจะต้องได้รับการสนับสนุนทางกระทรวงอุตสาหกรรมและแรงงาน ที่จะทำหน้าที่เข้าไปเจรจากับบริษัทเอกชนให้เปิดดำเนินธุรกิจต่อไป แต่อาจจะต้องมีการลดกำลังการผลิตลง 20-30% ลดระยะเวลาการทำงานของลูกจ้างเหลือ 3-4 วัน ส่วนจำนวนวันที่เหลือให้พนักงานไปฝึกอบรมสร้างความเชี่ยวชาญในการดำเนินงานรองรับหากเศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น ขณะเดียวกัน อาจจะต้องมีการปรับลดเงินเดือนลูกจ้างตามจำนวนวันทำงานที่ลดลง โดยที่รัฐบาลจะหาแหล่งเงินกู้ให้ในอัตราที่ต่ำให้บริษัทใช้ในการดำเนินธุรกิจต่อไปได้

“หากรัฐบาลไม่ดำเนินมาตรการดังกล่าว จะทำให้บริษัทต้องปิดกิจการลง คนว่างงานมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ”

นายโอฬาร กล่าวว่า ในปี52 เศรษฐกิจโลกจะติดลบ 1.57% โดยทุกประเทศจะมีจีดีพีติดลบ มีเพียงจีนเท่านั้นที่เศรษฐกิจเติบโตได้ แต่ไทยจะติดลบมากที่สุดในโลกถึง -4.05% ประเทศกลุ่มยุโรปติดลบ3.54% ญี่ปุ่นติดลบ 1.14% สหรัฐฯ 0.46% กลุ่มเอเชียตะวันออก (EA8) โตเพิ่มขึ้น 1.66% ประเทศที่เหลือติดลบ 2.77% ” นายโอฬาร กล่าว

ส่วนแนวทางการฟื้นฟูเศรษฐกิจนั้น ทุกประเทศทั่วโลกต้องต้องร่วมมือในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของแต่ละประเทศไปพร้อมกัน ด้วยนโยบายด้านการคลัง เพราะนโยบายทางด้านลดดอกเบี้ยที่จะมากระต้นเศรษฐกิจไม่สามารถทำได้ หลังจากดอกเบี้ยนโยบายของทุกประเทศได้ปรับตัวลดลงใกล้ 0% แล้ว ขณะที่นโยบายด้านอัตราแลกเปลี่ยนในการลดค่าเงินจะทำให้มีการแข่งขันที่สูงและเกิดความเสียหายแก่ประเทศได้

“นโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจโลกจของทุกประเทศ จะต้องทำอย่างรวดเร็ว จำนวนที่มากพอ และแก้ปัญหาได้ตรงจุด ซึ่งจะสามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโลกได้ ขณะที่นโยบายอื่นๆ ถือเป็นเรื่องรองลงมาก และควรใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัวเพียง 2 ปีเท่านั้น โดยปีนี้ถือเป็นช่วงเศรษฐกิจขาลง และจะต้องฟื้นในปี 53”นายโอฬาร กล่าว

CFO ชูกลยุทธ์นำองค์กรฝ่าวิกฤตศก.

นางสุวรรณา พุทธประศาท รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้ เฮาส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH กล่าวว่า ปี 2552 ถือเป็นปีที่ท้าทายการทำงานเพื่อรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัท โดยผู้บริหารจะต้องติดตามความเคลื่อนไหวต่างๆ เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจที่รอบคอบ แม่นยำ และรวดเร็ว จากนั้นจึงนำแผนงานมาปรับใช้ให้สอดคล้องกับกรณีที่เกิดขึ้นกับองค์กรของตน รวมทั้งการเรียนรู้เรื่องการบริหารความเสี่ยงทางการเงินด้วย

ขณะที่บริษัทเองได้เพิ่มความระมัดระวังในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว โดยเฉพาะการเสริมสภาพคล่องให้กับธุรกิจ ด้วยการสร้างรายได้ให้มีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และควบคุมค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น รวมทั้งการบริหารสต๊อกโดยการขายบ้านที่สร้างเสร็จให้ออกไปมากที่สุดภายในระยะเวลา 2-3 เดือน เพื่อไม่ให้เงินทุนจมอยู่กับสต๊อกบ้านนานเกินไป

พร้อมกันนี้ บริษัทได้เตรียมหาแหล่งเงินทุนเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและรองกรับการขยายงานในอนาคต โดยบริษัทมีแผนจะออกหุ้นกู้มูลค่า 1.3 พันล้านบาท อายุประมาณ 3 ปี ซึ่งคาดว่าจะได้รายละเอียดไม่เกินเดือนเมษายน 2552 นี้ แม้ว่าบริษัทจะมีความสามารถขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินได้อีกกว่า 8 พันล้านบาท

นางเพ็ญจันทร์ จริเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่การเงินองค์กร บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT กล่าวว่า วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นซีเอฟโอหรือผู้บริหารของบริษัทจะต้องปรับตัวได้รวดเร็ว มีการจัดความคิดที่เป็นระบบ เพื่อลดปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นกับบริษัท ขณะที่ปตท. ซึ่งดำเนินธุรกิจน้ำมันจะได้รับผลกระทบความผันผวนของราคา ทำให้บริษัทต้องมีการเตรียมความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

“วิกฤตครั้งนี้ถือเป็นความท้าทายของซีเอฟโอที่จะมีมาตรการในการรับมือ โดยการติดตามสถานการณ์ในแต่ละครั้งอย่างต่อเนื่อง และนำมาคิดวิเคราะห์เพื่อปรับใช้ให้สอดคล้องกับแผนงานที่วางไว้   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us