Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา กุมภาพันธ์ 2552
แต่งสวนสวรรค์ที่ Provence             
 





ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา Provence เป็นแหล่งสร้างจินตนาการสุดวิเศษให้กับศิลปินมากหน้าหลายตาด้วยกัน อาทิ Renoir, Van Gogh, Cezanne และ Matisse ในช่วงเวลาหนึ่งของวิชาชีพศิลปิน พวกเขาล้วนเดินทางมาที่นี่เพื่อรับแรงบันดาลใจจากสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศที่เต็มไปด้วยแสงแดดแผดจ้า สีสันอันสดใส และทิวทัศน์สวยงามตามแบบฉบับซึ่งหาไม่ได้จากที่อื่น

เมื่อนักออกแบบสวนชาวอังกฤษอย่าง Anthony Paul รับงานออกแบบบนที่ดินแปลง มหึมาทางตอนเหนือของ Provence ซึ่งมีทัศนียภาพของยอดเขา Mont Ventoux ที่สูง เสียดฟ้าเด่นสะดุดตา เขารับรู้ได้โดยสัญชาต- ญาณในทันทีว่า ไม่สามารถแยกความสวยงาม ตามแบบฉบับของศิลปะออกจากความงดงามตามธรรมชาติของทิวทัศน์แห่ง Provence ได้ จึงตั้งเป้าหมายกับตัวเองว่า ต้องสะท้อนความ งามตามธรรมชาติของสภาพแวดล้อมโดยรอบ ออกมาให้ได้ Anthony ยังยอมรับว่า "การออกแบบให้สวนมีความโดดเด่นในตัวเองโดยไม่ถูกกลืนไปกับธรรมชาติที่ทำหน้าที่เป็นฉากหลังอันยิ่งใหญ่อลังการนั้นไม่ใช่เรื่องหมูๆ เลยนะ"

แต่โชคดีอย่างหนึ่งที่ตัวเขาและลูกค้าคือ Tony Stone ช่างภาพผู้มีสายตาเฉียบคมมีความรู้สึกเกี่ยวกับความงามคล้ายคลึงกัน ผลแห่งความรู้สึกร่วมที่เกิดขึ้นนี้ทำให้สามารถ ทำงานด้วยกันได้ง่ายขึ้น หนึ่งในความท้าทายแรกๆ ของงานออกแบบสวนก็คือ ต้องเชื่อมโยงสวนเข้ากับภูมิทัศน์ที่กว้างใหญ่กว่ามากให้ได้ วิธีการวางเลย์เอาต์โดยให้สวนแลดูมีความลึกในระดับต่างๆ กัน ให้แต่ละจุดของการจัดสวนมีกรอบของตัวเองเพื่อสร้างทัศนียภาพโดยรวมให้เด่นขึ้น นำผลงานประติมากรรมมาประดับตกแต่งอย่างระมัดระวังล้วนสร้างความพึงพอใจให้กับเจ้าของผู้เป็นช่างภาพที่มองการณ์ไกลได้เป็นอย่างดี

การที่สวนแห่งนี้แลดูเก่าแก่ทั้งที่เพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่นั้น เป็นเพราะการจงใจใช้วัสดุที่เป็นประเพณีนิยมของท้องถิ่นและเป็นของเก่าในทุกที่ที่เป็นไปได้นั่นเอง จึงไม่น่าแปลกที่หินสำหรับปูทางเดินซึ่งเป็นของเก่าที่เก็บรักษามานาน รวมทั้งน้ำพุหินเก่าแก่ที่วางประดับตามจุดต่างๆ จะมีสภาพเหมือนอยู่ตรงจุดที่มันอยู่มานานนมกาเลแล้ว

สระว่ายน้ำแบบ infinity-edge ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในตัวอย่างงานออกแบบที่ได้รับการวางแผนมาเป็นอย่างดีว่าต้องมีความเชื่อมโยงกลมกลืนไปกับสภาพภูมิประเทศของที่นี่ เพราะเมื่อมองดูจากระยะไกลจะให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าสระว่ายน้ำนี้ทอดตัวยาวออกไปจนจดกับท้องฟ้าเลยทีเดียว นอกจากนี้น้ำใสสะอาดในสระยังสะท้อนภาพของท้องฟ้าได้แจ่มชัดเสียจนทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเรามีแผ่นฟ้าเหมือนกันสองผืนหรือนี่? บริเวณพื้นสระยังปูด้วยกระเบื้องสีเขียวเข้มเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการสะท้อนแสงของผิวน้ำ และที่สำคัญคือทำให้ผิวน้ำในยามค่ำคืนซึ่งใสและนิ่งนั้นแลดูเหมือนเป็นแผ่นกระจกก็ไม่ปาน

การจัดสวนแบบมีระเบียบแบบแผนอย่างหลากหลายที่เรา คุ้นเคยกันดีจะเป็นสวนที่อยู่โดยรอบบ้านโรงนาสมัยศตวรรษที่ 18 โดยบริเวณทิศใต้จะจัดเป็นสวนที่ให้ชื่อว่า jardin de curo (priest's garden) ซึ่งประดับด้วยน้ำพุและลำธารสายเล็กๆ มีกอสมุนไพร ต่างๆ และไม้พุ่มตัดแต่งช่วยเพิ่มความสมดุลและความมีชีวิตชีวา (ดูภาพประกอบ)

ส่วนของประตูรอบๆ สวนและบานประตูหน้าต่างไม้ซึ่งปิด กระจกอีกชั้นหนึ่ง (shutters) ทาด้วยสีฟ้า duck-egg blue สวยงามเหมือนกันหมด ขณะที่ไม้ใบและไม้ดอกปลูกไว้มากมาย ก็ให้ภาพที่แลดูเหมือนภาพวาดสุดสวยจากปลายพู่กันของศิลปินฝีมือเยี่ยม เห็นได้จากต้น cistus, santolina และ rosemary ซึ่งออกดอกสีเขียวเข้มและสีเทาอมเงินปลูกเรียงรายเคียงกันและให้สีตัดกันน่ารักกระจุ๋มกระจิ๋ม ในบางช่วงก็มีไม้ดอกสีม่วงและฟ้าปลูกคั่นเป็นบริเวณกว้างเพื่อช่วยเพิ่มความน่าตื่นตาตื่นใจให้แก่ผู้พบเห็นได้เป็นอย่างดี

ทางตะวันออกของตัวบ้านเป็นสวนที่มีลักษณะเป็นสนามแบบคลาสสิกซึ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกมะลิพันธุ์ star jasmine กุหลาบ และสายน้ำผึ้ง (honeysuckle) ถัดออกไปจน ถึงส่วนปลายสุดของแปลงที่ดินจะเห็นสนามหญ้าที่ได้รับการตัดแต่ง อย่างดีทอดตัวยาวคดเคี้ยวผ่านแปลงผลไม้เล็กๆ ที่ปลูกทั้งต้นเชอร์รี่ มะเดื่อ (figs) และแพร์ ซึ่งนำไปสู่กองหินเก่าแก่ที่ตั้งวางเรียงกันเป็น รูปเกือกม้าเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบของความเป็นธรรมชาติอยู่ท่ามกลางภูมิประเทศโดยรอบ

เหล่าต้นมะกอกเก่าแก่อายุยืนจนลำต้นเต็มไปด้วยปุ่มปมนั้นนำเข้าจากอิตาลีและทำหน้าที่เต็มเติมให้กับแปลงพื้นที่ว่างที่ตอนนี้มีเพียงต้นแอพริคอทและโอ๊กเหลืออยู่แค่สองสามต้น เมื่อมองดูพื้นที่สวนโดยรวมแล้วจะเห็นว่าปลูกต้นไม้สายพันธุ์ที่ขึ้นแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอยู่ทั่วไป ต้นไม้เหล่านี้ เช่น ไธม์ และลาเวนเดอร์ซึ่งให้ดอกสีฟ้าและม่วงเด่นสะดุดตานั้นมีคุณสมบัติทนทานต่อความแห้งแล้งได้เป็นอย่างดี

Anthony อธิบายลึกลงไปในรายละเอียดว่า "แถบยอดเขา Ventoux มีภูมิอากาศไม่แน่นอน ในฤดูร้อนอากาศจะร้อนและแห้งแล้งมาก ตรงข้ามกับฤดูหนาวซึ่งมีอากาศหนาวเหน็บจริงๆ อุณหภูมิจะลดต่ำลงอย่างฉับพลันจนทำให้เกิดน้ำค้างแข็งได้ในทันที อันนี้ถือเป็นความท้าทายทีเดียวแหละถ้าคุณต้องตัดสินใจว่าจะเลือกปลูกต้นไม้อะไรบ้าง"

นักออกแบบสวนมือฉมังจากอังกฤษยังเพิ่มเติมว่า "เมื่ออยู่ในภูมิอากาศรุนแรงอย่างนี้การเลือกต้นไม้ที่ขึ้นและเติบโตได้ดีในท้องถิ่นแถบนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญมาก แม้ว่าคุณจะลงต้นไม้อย่างลาเวนเดอร์ก็จำเป็นต้องเพาะต้นกล้าในสภาพภูมิอากาศเดียวกันนี้เสียก่อน ไม่อย่างนั้นมันจะทนไม่ได้และตายลงในที่สุด"   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us