|
Today's News
Cover Story
New & Trend
Indochina Vision
GMS in Law
Mekhong Stream
Special Report
World Monitor
on globalization
Beyond Green
Eco Life
Think Urban
Green Mirror
Green Mind
Green Side
Green Enterprise
Entrepreneurship
SMEs
An Oak by the window
IT
Marketing Click
Money
Entrepreneur
C-through CG
Environment
Investment
Marketing
Corporate Innovation
Strategising Development
Trading Edge
iTech 360°
AEC Focus
Manager Leisure
Life
Order by Jude
The Last page
|
|
บริเวณเมืองชายแดนของแต่ละประเทศ มักถูกใช้เป็น Buffer State เพื่อความมั่นคงของรัฐชาติมาหลายทศวรรษ แต่ที่พรมแดนจีน-พม่า พื้นที่ชายแดนระหว่างมูเซของพม่ากับรุ่ยลี่ เขตปกครองตนเองชนชาติไต-จิงโพ่แห่งเต๋อหง มณฑลหยุนหนัน สป.จีน กลับถูกนำมาใช้เป็นแหล่งท่องเที่ยว เป็นพื้นที่พัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่สามารถต่อยอดไปสู่การพัฒนาการค้า-การลงทุนระหว่างกันได้อย่างน่าสนใจ
โดยที่หมู่บ้านน่งเต่า ในสำเนียงชาวไต หรือไทลื้อ หรือ "หนองเตา" ของคนไทยทางภาคเหนือ (หมายถึงหนองน้ำที่มีสาหร่าย) เป็นชุมชนชายแดนจีน-พม่า ที่เส้นพรมแดนตัวกำหนดเขตแดนรัฐชาติของ 2 ประเทศไม่มีผลต่อวิถีชีวิตของผู้คนในชุมชน
เพราะตั้งแต่ปี 1960 ซึ่งจีนและพม่า บรรลุข้อตกลงในการปักปันเขตแดน ทำให้ หมู่บ้านแห่งนี้ถูกเส้นเขตแดนผ่าลงกลางหมู่บ้าน กลายเป็น "1 หมู่บ้าน 2 ประเทศ"นับแต่นั้นเป็นต้นมา
อย่างไรก็ตาม ความเป็นรัฐชาติที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศนั้นๆ กลับไม่มีผลสำหรับชุมชนน่งเต่า ที่มีกว่า 100 ครัวเรือนแห่งนี้
"หลักเขตแดน-ด่านตรวจคนเข้าเมือง พิธีการทางศุลกากรต่างๆ สำหรับที่นี่เป็นเพียงสัญลักษณ์เท่านั้น แต่มีผลต่อวิถีชีวิตคนในชุมชนที่ถูกแยกให้อยู่คนละประเทศ" Yang Guosheng ผู้อำนวยการ ฝ่ายกิจการต่างประเทศ รัฐบาลประชาชน เขตปกครองตนเองเต๋อหง อธิบาย
ชาวบ้านในหมู่บ้านน่งเต่าแห่งนี้ยังคงดำเนินวิถีชีวิตกันตามปกติ สามารถข้าม แดนไปมาภายในหมู่บ้านได้โดยไม่ต้องตรวจลงตราเอกสารผ่านแดนใดๆ หรือในกรณีที่หนุ่มสาวภายในหมู่บ้านที่ถูกเส้นเขตแดนแยกให้อยู่เป็น 2 ประเทศต้องการแต่งงานกัน ก็เพียงแต่ทำเรื่องขออนุญาตจากหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง ก็สามารถเข้าพิธีได้
ซึ่งแสดงให้เห็นว่า "เขตแดน" เป็นเพียงองค์ประกอบในความเป็นรัฐชาติของทั้ง 2 ประเทศเท่านั้น
ไม่เพียงเท่านั้น ความที่เป็น 1 หมู่บ้าน 2 ประเทศ ทำให้ทางการทั้งของจีนและพม่า ได้จับจุดนี้ขึ้นมาเป็นจุดดึงดูด นักท่องเที่ยว
บริเวณริมเส้นเขตแดนมีบ่อน้ำบาดาลอยู่บ่อหนึ่ง ซึ่งคนในหมู่บ้านแห่งนี้ใช้บริโภคมาตั้งแต่รุ่นปู่ ย่า ตา ยาย จนถึงทุกวันนี้ หลังจากมีการปักปันเขตแดนได้มีการก่อสร้างบ่อน้ำให้มีความทันสมัยขึ้น มีการเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ หม้อ กรองน้ำดื่มที่สร้างขึ้นใหม่ทับเส้นเขตแดน โดยด้านหนึ่งเขียนไว้ว่าพม่า และอีกด้านหนึ่งระบุว่าอยู่ฝั่ง สป.จีน กลายเป็น "บ่อน้ำบาดาล 2 ชาติ" ไปโดยปริยาย
เช่นเดียวกับ "ชิงช้า" กลางหมู่บ้าน ที่ถูกสร้างขึ้นบนเส้นเขตแดนจีน-พม่าอีกเช่นกัน จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของสัญลักษณ์ความเป็น 1 หมู่บ้าน 2 ประเทศ แห่งนี้ เมื่อผู้นั่งโล้ชิงช้าไปด้านหลังก็จะเข้าไปอยู่ในเขตประเทศพม่า ถ้าโล้มาด้านหน้าก็จะอยู่ในเขต สป.จีน
ความเป็นรัฐชาติทั้งของพม่าและจีน ถูกยกไว้นอกหมู่บ้านน่งเต่า
นอกจากนั้นทางการจีนยังโปรโมต ให้หมู่บ้านแห่งนี้เป็น 1 ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของรุ่ยลี่
แน่นอนว่าการบริหารความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศที่แม้ว่าจะมีพื้นที่ล่อแหลม เสี่ยงต่อการกระทบกระทั่งระหว่างกันในลักษณะนี้ สามารถนำมาต่อยอดเพื่อการพัฒนาความมั่งคั่งให้กับประชาชนทั้ง 2 ฝั่ง
แต่ดูเหมือนแนวทางการพัฒนาความสัมพันธ์ลักษณะนี้กลับไม่ปรากฏขึ้นในพื้นที่ชายแดนไทยกับเพื่อนบ้านตลอดแนว ไม่ว่าจะเป็นกับลาว กัมพูชา พม่า หรือแม้แต่มาเลเซีย
ทางการไทยน่าจะดูเป็นเยี่ยงอย่าง
|
|
|
|
|