Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page








 
นิตยสารผู้จัดการ 360 องศา กุมภาพันธ์ 2552
อินเดียฝากความหวังไว้ที่รากหญ้า             
 


   
search resources

Economics




คนจนอินเดียกำลังจะช่วยให้เศรษฐกิจอินเดียเติบโตและฝ่าพ้นมรสุมวิกฤติสินเชื่อโลก

แม้อินเดียจะไม่เห็นว่าตนเองเดือดร้อนอะไรนัก แต่อินเดียซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่ยังคงมีอนาคตทางเศรษฐกิจสดใสเพียงไม่กี่ประเทศในเศรษฐกิจโลกยามนี้ที่ตัดสินใจลดการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจของตนในปีนี้ลง อินเดียคาดว่าตัวเองจะเติบโต 5-6% ต่อปีในปีนี้ ซึ่งยังคงเป็นอัตราการเติบโตที่เร็วกว่าอัตราการเติบโต ทางเศรษฐกิจโดยเฉลี่ยของอินเดียเองในช่วงทศวรรษ 1990 และเกือบจะสูงเป็นสองเท่าของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของอินเดีย ตลอดช่วง 3 ทศวรรษแรกหลังจากได้รับเอกราชจาก
อังกฤษ

ไม่ใช่ว่าอินเดียจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลยจากวิกฤติเศรษฐกิจโลกครั้งนี้ ตลาดหุ้นอินเดียตกต่ำ การว่างงานพุ่งสูง ตลาดอสังหาริมทรัพย์ตกต่ำไม่แพ้ในสหรัฐฯ และล่าสุด Satyam Computer Services 1 ใน 5 บริษัท IT ที่ใหญ่ที่สุดของอินเดียตกเป็นข่าวอื้อฉาวตกแต่งบัญชี อย่างไรก็ตาม การฉ้อโกงเพียงรายเดียวที่เกิดขึ้นในภาคธุรกิจ IT ของอินเดียนี้ ไม่อาจทำให้อินเดียทั้งประเทศตกรางได้ ทั้งอินเดียยังมั่นใจว่าตนมีตัวขับดันการเติบโตที่คนอื่นอาจต้องสั่นหัวว่าเป็นไปไม่ได้เมื่อได้ยิน นั่นคือกองทัพคนจนจำนวนมหาศาลของอินเดียเอง ซึ่งมีรายได้เพิ่มขึ้นมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว และมากพอ ที่จะสามารถสร้างความต้องการซื้ออันทรงพลังในการซื้อสินค้าและบริการขั้นพื้นฐาน

การผงาดขึ้นมาของกลุ่มคนชั้นกลางระดับล่างในอินเดียกลุ่มนี้ อันได้แก่กลุ่มประชากรที่มีชีวิตอยู่เหนือเส้นความยากจน ทว่ายังไม่สามารถขึ้นไปถึงขั้นเป็นสมาชิกอย่างเต็มตัวในสังคมบริโภคสมัยใหม่ แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่สิ่งที่สร้างความประหลาดใจคือความสามารถในการฟื้นตัวของประชากรกลุ่มนี้ และความสามารถในการต้านทานกับวิกฤติสินเชื่อโลก รวมทั้งความตกต่ำซึ่งกำลังเกิดขึ้นกับประเทศ ที่พึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก และอินเดียก็เป็นหนึ่งในประเทศเหล่านั้น ที่น่าขันก็คือ เหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้อินเดียสามารถต้านทานวิกฤติเศรษฐกิจโลกครั้งนี้ได้ กลับเป็นเพราะผลจากความผิดพลาดในอดีตของอินเดียเอง ผู้นำอินเดียไม่เคยสามารถผลักดันให้อินเดียเป็นมหาอำนาจการส่งออกได้สำเร็จเลย เมื่อเทียบกับจีนซึ่งทำสำเร็จตลอด 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้ตอนนี้การเติบโตของอินเดียไม่ได้พึ่งพาการลงทุนและความต้องการซื้อสินค้าจากตลาดต่างประเทศมากเท่าใดนัก

อย่างไรก็ตาม ก็ยังต้องยกให้เป็นความดีความชอบของผู้นำอินเดีย ที่สามารถทำให้ชาวอินเดียไม่ติดนิสัยพึ่งพาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และผู้กำหนดนโยบายของอินเดียยังมีความดีความชอบ ที่สร้าง "ตัวทวีคูณการเติบโต" อย่างการสร้างถนนหนทางและเครือข่ายโทรคมนาคมที่ครอบคลุม ซึ่งสามารถเชื่อมชนบทที่ห่างไกลของอินเดียเข้ากับเมืองใหญ่ๆ อันทันสมัยได้ ICRA บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือของอินเดียในเครือของ Moody's ชี้ว่า องค์ประกอบพื้นฐานของความต้องการซื้อสินค้าในอินเดีย มาจากความต้องการซื้อจากฝั่งผู้บริโภค เพราะผู้บริโภคอินเดียยังคงมีรายได้ ทั้งยังเป็นรายได้ที่แทบจะไม่ได้รับผลกระทบจากปัญหาทางเศรษฐกิจโลก ซึ่งเกิดขึ้นภายนอกอินเดียอีกด้วย

การบอกว่าความล้มเหลวของอินเดียเป็นเรื่องดีฟังดูออกจะเกินไป แต่เป็นความจริงที่การเติบโตจากฐานของคนจนมักจะง่ายกว่า ดังนั้นการที่อินเดียยังไม่ได้เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ จึงกลับกลายเป็นประโยชน์เมื่อเศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ในช่วงขาลง ฐานประชากรขนาดใหญ่ที่ยังคงสามารถดำรงชีพและอยู่รอดได้ ทั้งๆ ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจต่ำ นับเป็นตัวขับดันทางเศรษฐกิจอันทรงพลังหากรู้จักที่จะระดมพลังนั้นมาใช้ ซึ่งอินเดียก็ทำมาแล้วและกำลังพิสูจน์ให้เห็นว่า อินเดียสามารถฟื้นตัวและต้านทานมรสุมที่พัดกระหน่ำจากเศรษฐกิจโลกได้ Crisil ในเครือของ Standard & Poor's ชี้ว่า นี่เป็นกระบวนการของความสามารถในการพึ่งพาตนเองได้ ในอินเดียสินค้าและบริการส่วนใหญ่ยังคงมีช่องว่างการเติบโตอีกมหาศาลและอินเดียยังมีจำนวนประชากร ระดับรากหญ้าจำนวนมากที่ยังคงมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งสามารถจะช่วยรักษาการเติบโตของอินเดียให้ยืนยาวได้

ถึงแม้ว่าการบริโภคของชนชั้นกลางในอินเดียกำลังลดลง ซึ่งเห็นได้จากการตกต่ำลงของยอดขายรถยนต์ การเดินทางโดยเครื่องบิน และการรับประทานอาหารในภัตตาคารตั้งแต่กลางปีที่แล้ว (2008) เป็นต้นมา แต่ความต้องการของผู้บริโภคภายในอินเดียก็ยังคงแข็งแกร่ง อันเนื่องมาจากผู้บริโภคระดับรากหญ้าที่มีรายได้เพิ่มมากขึ้นจนอยู่เหนือเส้นความยากจน แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นชนชั้นกลางเต็มตัวนี่เอง ส่วนใหญ่ของผู้บริโภคกลุ่มนี้คือเกษตรกร ซึ่งใช้เงินซื้อสิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวันอย่างสบู่ ยา รองเท้า และเสื้อผ้าที่ใส่ไปทำงาน หากกลับไปกางตำราเศรษฐศาสตร์ก็จะพบว่า คนยิ่งยากจนเท่าใด ความต้องการที่จะซื้อสินค้าก็จะยิ่งสูงมากเท่านั้น

ความแตกต่างระหว่างอินเดียกับจีน ยักษใหญ่เศรษฐกิจอีกชาติหนึ่งในเอเชีย เป็นสิ่งที่มองเห็นได้ชัดแจ้ง ความต้องการซื้อภายในอินเดียมีสัดส่วนถึง 3 ใน 4 ของเศรษฐกิจอินเดีย ในขณะที่ความต้องการซื้อภายในจีนมีสัดส่วนน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจจีน และนั่นก็คือสาเหตุที่เมื่อเทียบกับประเทศในเอเชียตะวันออกแล้ว อินเดียจึงเหมือนมีฉนวนช่วยป้องกันตัวเอง จากผลกระทบที่เกิดจากการค้าโลกชะลอตัว นี่เป็นความเห็นของ Shankar Acharya อดีตหัวหน้าที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของรัฐบาลอินเดีย สิ่งที่เป็นหลักสำคัญของเศรษฐกิจอินเดียอีกอย่างหนึ่ง คือการเติบโตของภาคเกษตร ซึ่งจะยังคงมีเสถียรภาพในปีนี้ ส่วนภาคบริการ ซึ่งขณะนี้มีสัดส่วนถึงประมาณ 55% ของ GDP ของอินเดีย Archarya ก็คาดการณ์ว่า จะสามารถฟื้นตัวได้มากขึ้นกว่าภาคการผลิตด้วยซ้ำไป

แม้จะเกิดวิกฤติการเงินโลก แต่ภาค IT ของอินเดียกลับยังสามารถเติบโตได้มากถึง 20% ในปี 2008 (ข้อมูลจากสมาคมบริษัทซอฟต์แวร์และบริการคอมพิวเตอร์แห่งชาติของอินเดีย) และบริษัท IT ของอินเดียก็ได้สร้างงานใหม่แล้วถึง 100,000 ตำแหน่งสำหรับปี 2009 Saumitra Chaudhuri นักเศรษฐศาสตร์ จาก ICRC ในเครือ Moody's ชี้ว่า ในขณะที่จีนเน้นตลาดส่งออก อย่างสูง แต่อินเดียกลับเน้นตลาดภายในประเทศอย่างสูง ส่วนการส่งออกของอินเดียนั้นเป็นเพียงผลพลอยได้ นี่ก็คือเหตุผลที่ทำให้อินเดียสามารถกำหนดชะตาชีวิตของตัวเองได้มากกว่าจีน

ใครๆ มักเชื่อกันว่า การที่อินเดียล้มเหลวในการเป็นมหาอำนาจทางการส่งออกแบบเดียวกับจีนนั้น เป็นเพราะอินเดียเป็นประชาธิปไตย ทำให้ไม่สามารถออกคำสั่งให้สร้างโครงสร้างพื้นฐานอย่างรวดเร็วหรือออกกฎหมายแรงงานที่ยืดหยุ่นได้ ซึ่งทั้งสองอย่างนั้นจำเป็นต่อการผลิตที่สามารถแข่งขันได้ แต่การเชื่อเช่นนั้นอาจเป็นการมองข้ามตัวทวีคูณการเติบโตที่อินเดียมีอยู่ ซึ่งล้วนเชื่อมโยงกับโครงสร้างพื้นฐานของอินเดีย เหมือนกับที่เกิดขึ้นในจีนในช่วงทศวรรษ 1980

ตัวอย่างหนึ่งก็คือ โครงการขยายระบบทางหลวงแห่งชาติอย่างขะมักเขม้นของอินเดีย เริ่มขึ้นในปี 2003 นั้น จนถึงขณะนี้ สามารถสร้างทางหลวงเพิ่มขึ้นได้ประมาณ 100 กิโลเมตรต่อวัน ทุกๆ บาทวิถีใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นสามารถเชื่อมชาวบ้านในชนบทเข้ากับตลาดได้มากขึ้น ทำให้ชาวบ้านสามารถขายสินค้าเกษตรที่พวกเขาปลูกหรือผลิตเองได้มากขึ้น และยังสามารถเดินทางไปได้ไกลขึ้น เพื่อไปหางานทำ รัฐบาลอินเดียทุ่มงบประมาณก่อสร้าง ระบบทางหลวงอย่างมหาศาลถึง 5% ของ GDP ในปี 2000 และ ในที่สุดแล้วโครงการสร้างถนนในเขตชนบทของอินเดียจะสามารถ เชื่อมโยงชาวบ้านในหมู่บ้านที่มีประชากรขนาด 500 คนทั้งหมด ด้วยถนนที่ทนทานได้ทุกสภาพอากาศ เมื่อครั้งที่อินเดียเพิ่งจะเริ่มโครงการสร้างถนนในชนบทนั้น มีไม่ถึงครึ่งของหมู่บ้านเล็กๆ ของอินเดียเที่มีถนนหนทางใช้ไม่ว่าจะเป็นถนนแบบใด ในโครงการ ระดับชาติซึ่งจะแบ่งเป็น 6 ขั้นตอนของการทางหลวงแห่งชาติของอินเดีย อินเดียมีแผนจะสร้างทางหลวงเพิ่มขึ้นหรือยกระดับทางหลวงที่มีอยู่แล้วอีกเกือบ 30,000 กิโลเมตร หรือเท่ากับขยายทางหลวงเพิ่มขึ้นอีก 1 ใน 3 ของระบบทางหลวงที่มีอยู่เดิม

แต่ภาคโทรคมนาคมของอินเดียกลับยิ่งรุดหน้าไปเร็วกว่าโครงสร้างพื้นฐานเสียอีก ในปี 2008 ฐานสมาชิกเครือข่ายโทรคมนาคมแห่งชาติของอินเดียพุ่งทะลุระดับ 350 ล้านคน และตลาดโทรคมนาคมอินเดียในขณะนี้ก็เติบโตเร็วกว่าใครๆ แม้กระทั่ง จีน ราคาค่าโทรต่อครั้งลดลงเหลือไม่ถึง 50 เซ็นต์สหรัฐ ความง่ายดายและรวดเร็วในการติดต่อสื่อสารอาจมีผลอย่างสูงต่อรายได้ในตลาดแรงงานอินเดีย ซึ่งการหางานต้องแข่งกับเวลาว่าใครจะได้รับข้อมูลรวดเร็วกว่ากัน นอกจากภาค IT ของอินเดียจะสามารถสร้างงานใหม่ได้โดยตรงถึง 1.8 ล้านคนตลอด 10 ปีที่ผ่านมาแล้ว ยังสร้างงานทางอ้อมอีก 6.5 ล้านตำแหน่งให้แก่คนที่มีอาชีพเป็นคนขับรถ ยามและลูกจ้างที่มีการศึกษาเพียงระดับชั้นประถมหรือมัธยม รายได้ที่คนเหล่านี้ได้รับเพิ่มขึ้นจะถูกใช้จ่ายออกไปมากกว่าจะเก็บออมเอาไว้ ดังนั้นแม้ว่าการสร้างงานใหม่ในภาค IT อาจจะชะลอตัวลง เนื่องจากภาคธุรกิจนี้ชะลอตัว แต่ตลาดแรงงานขนาดใหญ่ของอินเดียจะยังช่วยก่อให้เกิดแรงเหวี่ยงต่อไปได้อีก

จริงอยู่ที่การเติบโตด้วยแรงขับดันจากคนระดับรากหญ้าในอินเดีย ไม่อาจจะทำให้เศรษฐกิจอินเดียวิ่งไปได้อย่างเต็มฝีเท้า แต่อย่างน้อยคนระดับล่างสุดของอินเดียนี้ก็แทบไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจขาลง เหมือนอย่างคนกลุ่มอื่นๆ ที่อยู่ในระดับสูงขึ้นไปในระดับชั้นของผู้บริโภค ตลาดหุ้นที่ตกต่ำไม่มีผลกระทบกับคนระดับล่างสุดของอินเดีย เพราะพวกเขาไม่เคยลงทุน ในตลาดหุ้น และพวกเขาก็ไม่ต้องถูกกล่าวโทษว่าทำให้ยอดขายรถยนต์ตกต่ำ เพราะพวกเขายากจนเกินกว่าที่จะซื้อรถ แม้กระทั่ง การตกต่ำของตลาดที่อยู่อาศัยในอินเดียก็ไม่เกี่ยวกับพวกเขา แม้จะมีคอนโดหรูหราราคาแพงล้นเกินในเมืองใหญ่อย่างกรุงนิวเดลีและมุมไบ แต่โดยรวมแล้วอินเดียยังคงขาดแคลนที่อยู่อาศัยในขั้นวิกฤติ เพราะปัญหาคือ บรรดาบริษัทก่อสร้างต่างเมิน ตลาดระดับล่างและมุ่งแต่จะรับใช้ตลาดคนที่มีรายได้สูง คณะกรรมการวางแผนแห่งชาติของอินเดียระบุว่า ในเขตเมืองของอินเดียมีความต้องการบ้านแบบธรรมดาเพิ่มขึ้นอีก 24.7 ล้านหลัง จึงจะเพียงพอกับความต้องการที่อยู่อาศัยของประชาชน เมื่อทางการกรุงนิวเดลีเปิดให้ประชาชนจับฉลากสิทธิ์ในการซื้อแฟลตซึ่งมีอยู่เพียง 5,000 ห้องในปีที่แล้ว ปรากฏว่ามีประชาชนแย่งกันจับฉลากมากถึง 500,000 คน

เช่นเดียวกับรัฐบาลอีกหลายประเทศ อินเดียได้ประกาศมาตรการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ และกระตุ้นความต้องการภายในประเทศ ทว่าเป้าหมายของอินเดีย หาใช่ชนชั้นกลางในเมืองเหมือนเป้าหมายของจีนหรือสหรัฐฯ ไม่ หากแต่เป็นคนยากจน ในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว รัฐสภาอินเดียอนุมัติเพิ่มการใช้จ่ายงบประมาณ 5 หมื่นล้านดอลลาร์หรือ 4.5% ของ GDP อินเดีย เพื่อขึ้นเงินเดือนให้แก่ข้าราชการ ยกเลิกหนี้ให้เกษตรกร ลงทุนในโครงการรับประกันการจ้างงานในชนบทและให้รัฐบาลลงทุนซื้อหุ้นกู้ของบริษัทปิโตรเลียม เพื่อที่จะช่วยให้บริษัทน้ำมันและปุ๋ยสามารถรักษาระดับราคาให้ต่ำไว้ได้ แม้จะมีความวิตกว่ามาตรการเหล่านี้อาจส่งผลกระทบในระยะยาว แต่ในระยะสั้นสามารถจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของผู้บริโภคได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำมาก ซึ่งจะส่งผลต่อไปเป็นการช่วยกระตุ้นการเติบโตของอินเดียได้ในอนาคตอันใกล้

อินเดียสามารถรอดพ้นจากตลาดบ้านตกต่ำแบบสหรัฐฯ ไปได้ และยังอยู่ในฐานะที่ดีกว่าสหรัฐฯ มากนัก ในการสามารถอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบการเงินที่กำลังโหยหาเงินสดอย่างมากในทุกวันนี้ ซึ่งเป็นเพราะธนาคารกลางอินเดียเข้มแข็งและไม่เคยใจอ่อนกับเสียงเรียกร้องระเบ็งเซ็งแซ่ให้ลดดอกเบี้ยของบรรดาอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งต้องการได้สินเชื่อมาอย่างง่ายๆ โดยอ้างว่า จะเป็นการกระตุ้นการเติบโตให้รวดเร็วขึ้น เมื่อธนาคารกลางประเทศต่างๆ พากันลดดอกเบี้ยหรือให้เงินช่วยเหลือแบบฟรีๆ ในปีที่แล้ว อินเดียตระหนักว่า ในฐานะที่เป็นประเทศประชาธิปไตย ที่ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงส่วนใหญ่เป็นคนยากจน อินเดียไม่อาจที่จะเติบโต 10% ต่อปี ถ้าหากว่านั่นจะหมายความว่า ราคาสินค้าจะพุ่งสูงลิบลิ่วโดยเฉพาะสินค้าจำเป็นพื้นฐานเช่นข้าวและแป้ง

ด้วยเหตุผลนั้นเอง ธนาคารกลางอินเดียจึงกลับควบคุมเงินอย่างเข้มงวดมากขึ้น เพื่อไม่ให้ไปเพิ่มความเฟ้อให้แก่ฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ (รวมไปถึงความเฟ้อของราคาสินค้าทุกอย่าง) ได้อีก โดยตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นถึงระดับ 12.5% เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งทำให้อินเดียถูกรุมสวดจากทั่วทุกสารทิศ ที่เดินสวนทางธนาคารกลางประเทศอื่นๆ ที่เน้นกระตุ้นการเติบโต ทางเศรษฐกิจมากกว่า แต่เพราะอินเดียทำเช่นนี้จึงทำให้ยังคงมีช่องว่างที่จะลดดอกเบี้ยลงได้ในอนาคต และยังสามารถลดการกันสำรองเงินสดของธนาคารลงได้ด้วย ทั้งยังสามารถกระตุ้นการเติบโตและป้องกันปัญหาเงินฝืดได้อีก

ภาคเอกชนอินเดียก็มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งเช่นเดียวกัน ธนาคารกลางอินเดียคอยจับตามองอย่างใกล้ชิดทั้งธนาคารของรัฐและของเอกชน เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาก่อหนี้แบบซับซ้อนสูง เกินไปจนเป็นอันตราย ด้วยการกำหนดอัตราการกันสำรองเงินสด ไว้สูงมาก และจำกัดการใช้วิธีแปลงหนี้เป็นสินทรัพย์รวมทั้งการใช้อนุพันธ์ของตราสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามการใช้กองทุนที่ไม่ได้บันทึกลงในงบดุลของธนาคารอย่างที่ธนาคารสหรัฐฯ ทำแล้วก็ใช้กองทุนนอกงบดุลเหล่านั้นซ่อนหนี้สินมหาศาลซึ่งเป็นการกระทำที่อันตรายอย่างยิ่ง ผลก็คือธนาคารอินเดียไม่ได้นั่งอยู่บนกองหนี้เสียกองโตเหมือนอย่างธนาคารสหรัฐฯ ทำให้ยังมีเสรีในการปล่อยสินเชื่อให้แก่ธุรกิจที่มีความจำเป็นต้องใช้สินเชื่อได้ ส่วนบรรดาธุรกิจอินเดียซึ่งเคยผ่านภาวะบีบคั้นขาดแคลนเงินสด มาแล้วในช่วงปลายทศวรรษ 1990 จนเจ็บจำ ก็ไม่ก่อหนี้มากเกิน ไปอีกแล้วเช่นกัน นักเศรษฐศาสตร์ Chaudhuri ชี้ว่า สิ่งที่นับเป็น ความแข็งแกร่งอย่างหนึ่งของอินเดียก็คือความแข็งแกร่งของภาคเอกชน ซึ่งล้วนมีงบดุลที่แข็งแกร่งมาก

สัญญาณอย่างหนึ่งที่บ่งชี้ความแข็งแกร่งของภาคเอกชนอินเดียคือ บริษัททั้งหลายในอินเดียกำลังใช้เงินและความมั่งคั่งทำงาน ในเดือนธันวาคม Wipro Technologies ของอินเดียเข้าซื้อ Citi Technology Services ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการ IT ในเครือ Citigroup ด้วยเงินสดๆ 127 ล้านดอลลาร์ ก่อนหน้านั้นในเดือนตุลาคม Tata Consultancy Services สามารถซื้อ Citigroup Global Services บริษัทให้บริการรับดำเนินการทางธุรกิจในเครือ Citi เช่นกัน ด้วยเงินสูงถึง 505 ล้านดอลลาร์ ทั้งสองเหตุการณ์นี้ ทำให้รายงานข่าวที่ว่าภาค IT ของอินเดียกำลังล่มสลาย ดูเหมือน จะเป็นการรายงานที่เกินจริงไป

สิ่งที่นับเป็นความเสี่ยงสูงสุดของเศรษฐกิจอินเดียในปีนี้ไม่ใช่วิกฤติเศรษฐกิจโลก แต่กลับเป็นการเมืองภายในอินเดีย พันธมิตรพรรคการเมือง United Progressive Alliance ของนายกรัฐมนตรี Manmohan Singh กำลังจะหมดวาระการปกครองประเทศในเดือนพฤษภาคมนี้ และกฎหมายเลือกตั้งของอินเดียห้ามนายกรัฐมนตรีตัดสินใจนโยบายสำคัญๆ อีกต่อไป นับตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันเลือกตั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้นายกรัฐมนตรีที่อยู่ในตำแหน่งสามารถระดมใช้นโยบายประชานิยมเพื่อหาคะแนนเสียงก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้งได้ แต่นั่นย่อมหมายความว่า 5 เดือนนับจากนี้อินเดียจะเป็นอัมพาตด้านนโยบาย ทั้งๆ ที่ในยามนี้อินเดียกำลังต้องการนโยบายที่สร้างสรรค์และรวดเร็วเพื่อป้องกันตัวเองให้พ้นจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในช่วงนี้อาจทำให้โครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานของอินเดียต้องล่าช้าออกไปอีก จากเดิมที่ล่าช้าไม่ทันตามกำหนดอยู่แล้ว ผลการเลือกตั้งในอินเดียยังมักจะเหนือความคาดหมายการ เลือกตั้งครั้งก่อน พันธมิตรพรรคการเมือง National Democratic Alliance ที่นำโดยพรรค Bharatiya Janata หรือ BJP กลับพ่ายแพ้การเลือกตั้งทั้งๆ ที่ในขณะนั้นอินเดียมีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว แต่ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงที่เป็นคนจนไม่ชอบนโยบาย India Shining ของพรรค BJP

แต่ถึงแม้หากพรรครัฐบาลจะสามารถชนะเลือกตั้งได้ แต่นายกรัฐมนตรี Singh ก็อาจจะต้องเจอความท้าทายที่หนักยิ่งกว่าในการพยายามเอาชนะใจคนจน พวกเขาไม่สนหรอกว่า รัฐบาลจะทำให้อินเดียโตเร็วแซงหน้าประเทศอื่นๆ ได้มากแค่ไหน เพราะสิ่งที่พวกเขาสนใจก็คือ ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาจะดีขึ้นกว่าเมื่อ 5 ปีก่อนหรือไม่เท่านั้น

เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์ แปลและเรียบเรียง
นิวสวีค 19 มกราคม   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us