Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มกราคม 2531








 
นิตยสารผู้จัดการ มกราคม 2531
"อนาคตหลัง BLACK MONDAY 'ฝรั่ง'ชี้ชะตา"             
โดย สมชัย วงศาภาคย์
 


   
search resources

Stock Exchange




วิกฤติตลาดหุ้นวันจันทร์สีดำ (BLACK MONDAY) ส่งผลกระเทือนทั่วโลกอย่างไม่มีใครคาดคิดมาก่อน แน่นอนย่อมมีคนเจ็บปวด นักเลงหุ้นไทยเฝ้ารอการฟื้นตัวของตลาดจากการเข้ามาลงทุนใหม่ของต่างชาติเป็นนัยสำคัญมากกว่าสิ่งอื่นใด

วิกฤติความเชื่อมั่นในตลาดหุ้น WALL STREET นิวยอร์ก สหรัฐ ในวันจันทร์ที่ 19 ต.ค. 2530 ที่เรียกกันว่าวิกฤติวันจันทร์สีดำ ได้แพร่ขยายผลสะเทือนไปยังตลาดหุ้นทั่วโลกในลอนดอน แฟรงค์เฟิร์ต ปารีส โตเกียว ฮ่องกง และไทยในเวลาเพียงชั่ววันเท่านั้น

เป็นวิกฤติครั้งใหญ่สุดในประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นทั่วโลกที่มีผลเชื่อมถึงกันอย่างรวดเร็วชนิดไม่มีใครรู้ล่วงหน้ามาก่อน

และจนกระทั่งบัดนี้เกือบ 2 เดือนเต็มแล้ว วิกฤติความเชื่อมั่นยังดำรงอยู่ มีทั้งผู้สูญเสีย และผู้เกือบจะสูญเสีย (โดยบังเอิญ) เป็นผลที่ย้ำถึงกฎ ZERO SUM GAME ที่ว่าในตลาดหุ้นไม่ว่าจะอยู่ในภาวะเหตุการณ์ใด ๆ เมื่อมีคนได้ก็ต้องมีคนเสีย

มีการประมาณการกันว่า เฉพาะในตลาดหุ้นกลุ่ม G-5 (สหรัฐ ญี่ปุ่น เยอรมันตะวันตก อังกฤษ และฝรั่งเศส) มีมูลค่าสูญเสียสูงถึง 1.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบจากระดับราคาหุ้นวันที่ 6 ตุลาคม 2530!!!

จากกระแสข่าวกล่าวกันว่า งานนี้กลุ่มโบรคเกอร์และนักลงทุนกระเป๋าหนักหลายรายในตลาดหุ้นกระเป๋าฉีกไปตาม ๆ กัน โบรคเกอร์หลายรายในตลาดหุ้นนิวยอร์กระบายพอร์ตตัวเองออกไปไม่ทัน สถานการณ์ธุรกิจถึงกับทรุดถ้าเอ่ยชื่อทุกคนรู้จักกันดีทั้งนั้น เช่น KIDDER PEABODY SALOMON BROTHERS INC. E.F. HUTTON GOLDMAN SACHS

สำหรับตัวเลขการสูญเสียมูลค่าหุ้นของนักลงทุนกระเป๋าหนักที่ถือหุ้นของบริษัทตนเอง เท่าที่เปิดเผยออกมากล่าวกันว่าสูงถึง 9,930.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เช่น แซม วัตสัน เจ้าของวอลล์มาร์ตสโตร์ เดวิด แพคการ์ด เจ้าของฮิวเล็ต-แพคการ์ด อันลือชื่อด้านธุรกิจคอมพิวเตอร์ เอดการ์ แอนด์ ชาร์ล บรอนซ์มานน์ เจ้าของนิวส์ คอร์ปอเรชั่นที่ฟู่ฟ่า โจอัน คร็อก เจ้าแม่แมคโดนัลด์ที่แสนอร่อย วิลเลียม เกรท ที 3 หนูน้อยมหัศจรรย์เจ้าของซอฟท์แวร์เฮ้าส์ที่โด่งดัง "ไมโครซอฟท์"

การสูญเสียมูลค่าหุ้นเหล่านี้ จริง ๆ แล้วไม่ใช่เป็นตัวเลขการสูญเสียจริง ๆ แท้จริงแล้วเป็นการสูญเสียมูลค่าใบหุ้น หรือ PAPER LOSS ในบัญชีเท่านั้น แต่ถ้าเมื่อไรที่ขายหุ้นออกไปก็จะสูญเสียจริง ๆ

เรื่องนี้นักเลงหุ้นทราบกันดี!

ในตลาดหุ้นเมืองไทย ตัวเลขการสูญเสีย PAPER LOSS หลังวิกฤติการณ์วันจันทร์สีดำ กระแสข่าวจากหลายแหล่งยังไม่แน่ชัดในการประเมิน สำนักวิจัยแบงก์กรุงเทพ ประเมินคร่าว ๆ ให้ "ผู้จัดการ" ฟังว่าน่าจะตกประมาณ 20,000 ล้านบาท สำนักวิจัยแบงก์ไทยพาณิชย์ประเมินว่าน่าจะตกประมาณ 74,000 ล้านบาท ทั้งนี้นับจากระยะเวลาเพียง 2 สัปดาห์หลังเหตุการณ์วันจันทร์สีดำที่ดัชนีราคาตลาดหลักทรัพย์ปักหัวดิ่งลงประมาณ 40%

แหล่งข่าวในวงการนักลงทุนยืนยันความเป็นไปได้สูงว่า ในระยะสัปดาห์แรกของเหตุการณ์วันจันทร์สีดำ นักลงทุนจากต่างชาติได้เทขายหุ้นผ่านบริษัทโบรคเกอร์ไทยค้า ธนชาติ และกรุงเทพธนาทร มูลค่าระหว่าง 2,500-3,000 ล้านบาท โดยมีแรงซื้อจากนักลงทุนรายย่อย ที่คาดหวังว่าจะสามารถเก็งเอากำไรได้เมื่อราคาโน้มตัวสูงขึ้น

"เหตุผลสำคัญอยู่ที่ผู้ลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่เห็นว่าราคาหุ้นที่เทขายออกมาได้ตกต่ำลงมากที่สุดแล้ว" แหล่งข่าวกล่าว

ดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์วันจันทร์สีดำ (19 ต.ค. 2530) อยู่ที่ 459 จุด เพียง 2 วันจากนั้นดัชนีราคาหุ้นได้ตกลงมากถึง 68 จุดอยู่ที่ระดับ 391 จุด ซึ่งเป็นอัตราการตกต่ำของราคาหุ้นมากที่สุดในประวัติศาสตร์ถึง 15%

กระแสข่าวที่ยืนยันความเป็นไปได้สูงนี้สอดคล้องกับคำยืนยันของเจ้าหน้าที่ระดับสูงในธนาคารแห่งประเทศไทย-ดร. ศิริ การเจริญดี ผ.อ. สำนักผู้ว่าการแบงก์ชาติ ที่กล่าวกับ "ผู้จัดการ" ว่า หลังวิกฤติความเชื่อมั่นวันจันทร์สีดำมีผู้ลงทุนรายย่อยสูญเสียจริง ๆ จากการลงทุนประมาณ 3,000 ล้านบาท

จากการคำนวณของ "ผู้จัดการ" ระยะ 1 เดือนก่อนเหตุการณ์วันจันทร์สีดำและหลัง เทียบเคียงที่ระดับดัชนีราคาตลาดวันที่ 15 ต.ค. 2530 469.75 จุด และ 16 พ.ย. 2530 ที่ 304 จุด (ลดลง 165.75 จุด หรือคิดเป็น 35%) เน้นเฉพาะหุ้น BLUE-CHIPS ในตลาดจำนวน 39 หลักทรัพย์ ภายใต้สมมุติฐานจำนวนความเร็วการหมุนรอบของหุ้น (VELOCITY) 23 รอบ ความน่าจะเป็นในตัวเลขการสูญเสียมูลค่าหุ้น BLUE-CHIP ในตลาดน่าจะอยู่ในระดับ 11,000.9 ล้านบาท

คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของมูลค่าตลาดหุ้น (MARKET CAPITALIZATION)…!

มีการตั้งข้อสังเกตกันว่า วิกฤติวันจันทร์สีดำครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อแผนอนาคตการเพิ่มทุนของกลุ่มหุ้นธนาคารพาณิชย์จำนวนเท่าที่เปิดเผยในขณะนี้ประมาณ 2,250.5 ล้านบาท การเพิ่มทุนในส่วนนี้มุ่งขายให้แก่กลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมเป็นหลัก

ราคาตามแผนที่ขายสูงกว่าราคาตลาดปัจจุบันมาก (ราคาตลาด ณ วันที่ 8 ธ.ค. 2530) เช่นหุ้นธนาคารกรุงศรีฯ ต่ำกว่าราคาตลาด 70 บาท/หุ้น หรือคิดเป็น 19% หุ้นธนาคารทหารไทยต่ำกว่าราคาตลาด 14 บาท/หุ้น หรือคิดเป็น 5% หุ้น บรรษัทเงินทุนฯ ต่ำกว่าราคาตลาด 81 บาท/หุ้น หรือคิดเป็น 32% เป็นต้น

"ผู้จัดการรายสัปดาห์" ฉบับที่ 85 (52) ประจำวันที่ 30 พ.ย.- 6 ธ.ค. 2530 ได้วิเคราะห์ในเชิงเป็นข้อสังเกตไว้ว่ามีความเป็นไปได้มากถึงที่มาของความพยายามก่อตั้งกองทุนร่วมพัฒนามูลค่า 1,000 ล้านบาทที่ส่วนใหญ่ระดมมาจากโบรคเกอร์ 30 บริษัท บริษัทละ 30 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหาผลกระทบด้านราคาในแผนการเพิ่มทุนของหุ้นกลุ่มแบงก์พาณิชย์

การเพิ่มทุนเพื่อเสริมฐานะเงินกองทุนของกลุ่มแบงก์พาณิชย์เป็นสิ่งจำเป็นที่รู้กัน เนื่องเพราะในระยะ 2 ปีที่ผ่านมากลุ่มแบงก์พาณิชย์ประสบปัญหาหนี้สูญ และสินทรัพย์เสื่อมคุณภาพมาก การเพิ่มทุนเป็นทางออกที่สำคัญซึ่งจะต้องทำโดยรีบด่วนภายใต้สภาวะตลาดหุ้นกำลังเติบโต

แต่วิกฤติวันจันทร์สีดำ ทำให้แผนการเพิ่มทุนกลุ่มธนาคาร ต้องมีอุปสรรคมากขึ้น เมื่อราคาหุ้นที่เสนอขายต่ำกว่าราคาตลาดปัจจุบันมาก

ในส่วนหุ้นเพิ่มทุนที่เข้าตลาดไปก่อนแล้ว เฉพาะอย่างยิ่งในช่วงตลาดกำลัง "บูม" จากการตรวจสอบพบว่ามีจำนวน 12 หลักทรัพย์ ราคาที่เสนอขายแก่ประชาชนทั่วไป บริษัทผู้จัดการจำหน่ายตั้งราคาไว้ในระดับราคาตลาดมูลค่ารวมประมาณ 3,676 ล้านบาท

เพียงไม่นานนัก เมื่อเกิดวิกฤติวันจันทร์สีดำ ผลปรากฏว่าราคาหุ้นที่เพิ่มทุนเข้าไปมีแนวโน้มพุ่งดิ่งลงเกือบทั้งหมด!

จากการเทียบเคียงกับราคา ณ วันที่ 8 ธันวาคม 2530 ซึ่งหลังเหตุการณ์วันจันทร์สีดำ ดัชนีราคาตลาดอยู่ ณ ระดับ 256 จุด!

นักลงทุนที่เข้าซื้อไว้ในพอร์ตช่วงหุ้นเข้าตลาดหุ้นใหม่ ๆ ว่ากันว่า คนที่ได้ก็คือ พวกที่เข้าซื้อช่วงดัชนีราคาตลาดอยู่ระดับไม่เกิน 425 จุด ซึ่งตรงกับวันที่ 28 กันยายน 2530 พอดี (424.85 จุด) และถือหุ้นไว้ในระยะสั้น ๆ เพื่อเก็งกำไร

พวกที่เสียก็คือ พวกที่เข้าช้อนซื้อหุ้น ณ ระดับดัชนีราคาสูงกว่า 425 จุดและถือไว้เก็งกำไรโดยคาดหวังว่าดัชนีราคาตลาดจะขึ้นสูงไปทะลุ 500 จุด ณ วันสิ้นตุลาคม 2530 แล้วกะขายเพื่อเอากำไร

แต่เมื่อเหตุการณ์วันจันทร์สีดำเกิดขึ้นทั่วโลก ราคาดัชนีตลาดปักหัวดิ่งลงถึง 68 จุดเพียง 2 วัน หลังเหตุการณ์วันจันทร์สีดำ

ผลก็คือ ขาดทุนกระเป๋าฉีก ทั้งบริษัทเทรดเดอร์ และนักลงทุนรายย่อยที่เข้าซื้อ…ว่ากันว่าบริษัทเทรดเดอร์ระดับ TOP-TEN กระเป๋าฉีกกันทั่วหน้า มากน้อยตามปริมาณหุ้นในพอร์ต

"ตอนนี้บริษัทเทรดเดอร์ทั้งหลายต้องเอาเงินสำรองมาอุดสภาพคล่องเพื่อชดเชยขาดทุนกันอุตลุด" …แหล่งข่าวกล่าว

ล่าสุด…จากการตรวจสอบเทียบเคียงราคาหุ้น ณ วันที่ 8 ธันวาคม 2530 จำนวนหุ้นเพิ่มทุน 12 หลักทรัพย์ มีเพียง 4 หลักทรัพย์เท่านั้น ที่ระดับราคาเสนอขายยังต่ำกว่าราคาตลาด (แต่มีแนวโน้มดิ่งลงทุกวันตามกระแสตลาด) นอกนั้นที่เหลือราคาสูงกว่าตลาดทั้งสิ้น

ปัญหาที่เกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์ราคาหุ้นดิ่งลง คนที่ขาดทุน PAPER LOSS ที่ถูก "จุดพลุ" ขึ้นมาเพื่อปลอบขวัญ ก็คือ …หุ้นไหนที่ยังคงมีอัตราผลตอบแทนดีกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร อย่าขาย เก็บไว้รอปันผล??

ฟังดูมีเหตุผลดีเหมือนกัน เพราะเหลืออีกไม่นานก็จะทราบเงินปันผลแล้ว!

หุ้นที่ปันผลดีคือ หุ้นกลุ่มแบงก์พาณิชย์และหุ้นอุตสาหกรรมบางตัว ซึ่งก็สอดคล้องกับทิศทางการลงทุนของกองทุนร่วมพัฒนานั่นแหละ! (ดูตารางผลตอบแทน)

"คนเล่นหุ้นตอนนี้ (หลังวิกฤติวันจันทร์สีดำ) ต้องช่วยตัวเองให้มากที่สุด โดยดูว่าระดับราคาหุ้นที่ผันผวนมีเหตุผลหรือเปล่า" โยธิน อารี บงล. กรุงเทพธนาทรให้ความเห็นคล้าย ๆ จะบอกว่าสถานการณ์ตลาดหุ้นลักษณะเช่นนี้เป็นการวัดฝีมือนักเล่นหุ้น/นักลงทุนว่าใครจะมีความสามารถแค่ไหน

ถ้าเก็บไว้ไม่ขายออกจากพอร์ต รับปันผลแต่ขาดทุนบัญชี (PAPER LOSS) รออนาคตตลาดอาจจะพลิกฟื้น

แต่ขณะนี้ดูเหมือนความเชื่อมั่นของนักลงทุนยังไม่หวนกลับมา ทั้ง ๆ ที่ทางการได้ใช้มาตรการกระตุ้นตลาดหลายประการ เช่น ลดเพดานมาร์จิ้นท์ (MARGIN) จาก 70% เหลือ 50% ปรับ SPREAD ราคาหุ้นจาก 5% เป็น 10% และขยายพอร์ตการลงทุนของกลุ่มบริษัทเงินทุน&หลักทรัพย์ และโบรคเกอร์จาก 60% เป็น 100% ของเงินกองทุน

"การขยายพอร์ตการลงทุนให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์และโบรคเกอร์ครั้งนี้น่าจะมีเงินทุนไหลเข้ามาในตลาดประมาณ 6,000-7,000 ล้านบาท" ดร. ศิริ การเจริญดี กล่าว

มีความเป็นไปได้สูงมากว่า นักลงทุนส่วนใหญ่มองมาตรการการกระตุ้นตลาดเหล่านี้เป็นผลทางจิตวิทยามากกว่าผลปฏิบัติที่จริงจัง

"สถานการณ์ตลาดหุ้นหลังวิกฤติวันจันทร์สีดำมันแย่มาก จะมีโบรคเกอร์กี่รายกันที่ปริมาณการลงทุนในพอร์ตเต็ม 60% ของเงินกองทุน ผมว่าอย่างเก่งส่วนใหญ่ก็มีแค่ 30% ของเงินกองทุนเท่านั้น ดังนั้นโอกาสที่จะขยายเป็น 100% ยากมาก" แหล่งข่าวกล่าว

มาตรการขยายพอร์ตเป็น 100% ของเงินกองทุนนี้มีเงื่อนไขว่า บริษัทโบรคเกอร์ต้องมีเงินลงทุนเต็มเพดาน 60% ของเงินกองทุนแล้วเท่านั้น จึงจะได้รับอนุญาตจากแบงก์ชาติให้ขยายเงินลงทุนได้ 100% ซึ่งมีเพียง 20 รายเท่านั้น

นักลงทุนส่วนใหญ่ตอนนี้จึงมุ่งใช้ท่าที "รอดู" การกลับเข้ามาทุ่มซื้อของนักลงทุนต่างชาติทั้งหน้าเก่าและใหม่ (จากญี่ปุ่น) มากกว่า ด้วยความเชื่อปัจจัยพื้นฐาน (FUNDAMENTAL FACTOR) ของหุ้นและตลาดยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us