อภิสิทธิ์ที่พวกนี้มีอยู่มากในมือโดยที่ราษฎรเต็มขั้นเป็นผู้จ่ายผ่านความพิกลพิการของกฎเกณฑ์ทางสังคมในราคาแพงลิบลิ่วนั้น
มันก็คือพื้นฐานของกฎหมาย "เถื่อน" ที่ทำให้คนที่ทำธุรกิจเถื่อน
ๆ ในเมืองหาดใหญ่เปล่งรัศมีอย่างน่าครั่นคร้าม พวกนี้อาจกระตุ้นความรุ่งเรืองมาสู่หาดใหญ่
แต่เงาของปีศาจร้ายของพวกนี้นั้นใครจะรับประกันถึงความไม่มีอันตรายต่อสังคม!!!
ลำพังแค่ฐานะเมืองชายแดนที่การคมนาคมทุกสายทุกทางพุ่งไปถึง ไม่น่าจะเป็นบทสรุปที่เชื่อถือได้สนิทใจนักว่า
"หาดใหญ่ที่มีสภาพเป็นเมืองหลักทางธุรกิจแห่งหนึ่งเป็นเพราะตัวของมันเอง"
ครึ่งศตวรรษของการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกินคาดคิดเช่นนี้เป็นเรื่องน่าฉงนสนใจไม่น้อยว่า
"เบื้องหลังเบื้องลึกของอัตราเร่งความก้าวหน้าแท้จริงนั้นคืออะไรกัน"!??
ความแปลกแยกของหาดใหญ่ที่แตกต่างไปจากสังคมอื่น ๆ ประการหนึ่งคือว่า พัฒนาการของประวัติศาสตร์ธุรกิจแทนที่จะถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบแบบแผนตามขั้นตอนที่ความรุ่งเรืองต่าง
ๆ ควรถูกกำหนดโดยกลุ่มและชนชั้นดั่งเดิมที่เป็นผู้สร้างเมืองซึ่งสายของคนเหล่านี้ต่างมีอดีตเป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่ทั้งสิ้น
การณ์กลับสลับเปลี่ยนเป็นฐานะและความเป็นไปบนเส้นทางธุรกิจปัจจุบันล้วนอยู่ในเงื้อมเงาของ
"เศรษฐีใหม่" ที่อาศัยความกล้าได้กล้าเสียทุกรูปแบบ ผสมผสานไหวพริบและรูรั่วของกฎเกณฑ์ทางสังคมเพาะบ่มความร่ำรวยขึ้นมาในระยะเวลาไม่กี่ขวบปี
หรือว่านั่นจะเป็นกุญแจดอกสำคัญของความสำเร็จทั้งมวลในหาดใหญ่!!??
เมื่อสิ้นปีงบประมาณ 2528 รัฐบาลเคยมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีอย่างสุจริตในเขตเมืองหาดใหญ่สูงถึง
130 ล้านบาทเศษ นับเป็นอันดับ 1 (ไม่นับกรุงเทพฯ) ซึ่งนี่เป็นเพียงการประเมินรายได้จากธุรกิจที่ถูกกฎหมายเท่านั้น
ยังไม่รวมถึงการค้านอกระบบที่คาดว่าสูงกว่านี้หลายเท่าตัว และประเมินกันคร่าว
ๆ ว่า แต่ละปีมีเงินหมุนเวียนเพื่อการลงทุนในเมืองนี้ไม่น้อยกว่า 50,000
ล้านบาทเศษ
ใครกำหนด?
หาดใหญ่จากเมืองรกร้างว่างเปล่าถึงเวทีประลองยุทธ์ที่ชุ่มโชก หากจะแบ่งสถานภาพทางสังคมของกลุ่มคนที่มีบทบาทต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกคว่ำคะมำหงาย
คงมีด้วยกัน 3 กลุ่มคือ
หนึ่ง-กลุ่มทายาท 4 ตระกูลผู้บุกเบิกเมืองหาดใหญ่คือ
ตระกูลจิระนคร (เจียกีซี)
ตระกูลสุคนธหงส์ (พระเสน่หามนตรี)
ตระกูลซี (ซีกิมหยง)
และตระกูลอรรถ (พระยาอรรถกระวีสุนทร) 4 สายนี้ เดิมทีมั่งคั่งด้วยทรัพย์สินศฤงคารเหลือคณานับโดยเฉพาะ
"ที่ดิน" ซึ่งรวมกันแล้วกินเกือบทั่วเมือง แต่สถานะในปัจจุบันกลับลดบทบาทลงไปมาก
พร้อม ๆ กับรอวันเวลาของการต่อสู้ครั้งสุดท้ายหรือไม่ก็เดินลงจากเวทีประวัติศาสตร์ไปอย่างเงียบสงบ!?
สอง-กลุ่มเศรษฐีกลางเก่า-ใหม่ ส่วนใหญ่พวกนี้จะเป็นลูกน้องเก่าของคนกลุ่มแรกที่สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาในระยะเวลาที่หาดใหญ่ขยายตัวอย่างสุดขีดเมื่อ
15-20 ปีก่อน หรือไม่ก็เป็นคนต่างถิ่นที่อพยพเข้ามาแสวงโชคอาทิเช่น
ตระกูลประธานราษฎร์นิกร-เดิมทีเป็นนายทุนเงินกู้รายใหญ่ของสงขลาที่ทำให้เกิดคำเปรียบเปรยว่า
"คนหาดใหญ่นั่งรถเก๋งไปกู้เงินคนสงขลา แต่คนสงขลานั่งรถไฟมาเก็บดอกเบี้ยคนหาดใหญ่"
สายนี้เข้ามาเป็นเอเยนต์ขายน้ำมันเอสโซ่รายแรก ทั้งยังมีกิจการรับซื้อแร่และยางพาราที่ไปได้ไม่ดีนักเนื่องจากถูกแรงบีบจากกลุ่มทุนต่างชาติอย่าง
"เต๊กบี้ห้าง" (พ่อค้าสิงคโปร์) ซึ่งเป็น 1 ในผู้นำ 5 เสือยางปักษ์ใต้
(เรื่องของเต๊กบี้ห้างที่กำลังทอแสงโชติช่วงอีกครั้งในขณะนี้ "ผู้จัดการ"
จะเขียนถึงอีกครั้ง)
ตระกูลโกวิทยา-สายนี้เป็นคนมาจากเมืองสายบุรี ปัตตานี เริ่มต้นจากเป็นตัวแทนขายรถยนต์
เชฟโรเลท ขายยางแอลฟัลต์ แล้วเปลี่ยนมาเป็นขายโตโยต้า ฮอนด้า จนล่าสุดขายอีซูซุอีกด้วย
ปัจจุบันมีกิจการที่รู้จักกันดีในนาม "พิธานพาณิชย์" กลุ่มนี้มีความเป็นเอกภาพและประสบความสำเร็จอย่างสูง
แทบจะเรียกได้ว่า "ผู้ยิ่งใหญ่ของปักษ์ใต้" เพราะมีกิจการคลุมไปเกือบทั่ว
14 จังหวัดภาคใต้
ตระกูลพงษ์พานิช-สายนี้มีความใกล้ชิดกันมากกับตระกูลอรรถกระวีสุนทรเพราะเป็นหุ้นส่วนกันในธนาคารนครหลวงไทย
ธุรกิจของกลุ่มนี้ไม่มีอะไรโดดเด่นมากนัก เพียงยังถือครองสภาพของการเป็นเจ้าของที่ดินและห้องเช่าไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
ตระกูลเลขะกุล-สร้างตัวขึ้นมาจากร้านโชห่วยเล็ก ๆ ประเภทเครื่องเขียน แล้วขยายตัวเองออกไปทำกิจการรถโดยสารประจำทาง
โรงพิมพ์ เอเยนต์ ปตท. รับซื้อยาง ในแง่ชื่อเสียงและความดังอาจไม่หวือหวา
ทว่าพูดถึงความรวยกันจริง ๆ แล้วกลุ่มนี้ไม่เป็นรองใครในภาคใต้?
ตระกูลลาภาโรจน์กิจ-กลุ่มนี้จัดเป็นสัญลักษณ์ของการทำธุรกิจสมัยใหม่ มีบุญเลิศ
ลาภาโรจน์กิจ ซึ่งเป็นประธานหอการค้า จ. สงขลา คนปัจจุบันเป็นหัวเรือ บุญเลิศย้ายตัวเองพร้อมกับน้อง
ๆ มาจากนราธิวาสเมื่ออายุ 28 ปีด้วยเงินในมือ 3 ล้านบาท (ในปี 2510) 20 กว่าปีที่เขาเป็นตัวแทนขายรถซูซูกิในนาม
"บริษัทบ้านซูซูกิ" เขาโตและรวยชนิดพลิกกลับเลยทีเดียว "บ้านซูซูกิ"
ในวันนี้ยังขยายตัวไม่หยุดหย่อนและเขาก็ยังเป็นตัวแทนเครื่องไฟฟ้าซันโยทั่ว
14 จังหวัดภาคใต้อีกด้วย
นอกจากนี้แล้วในกลุ่มนี้ยังมีเศรษฐีเก่าในจังหวัดอื่น ๆ ที่เริ่มรุกคืบความแข็งกร้าวเข้ามาในหาดใหญ่แล้วในขณะนี้รวมอยู่ด้วย
เช่น กลุ่มบุญสูง และกลุ่มงานทวี จากภูเก็ต
จุติ บุญสูง ได้ซื้อที่ดินด้านคลองเตยต่อจากสุริยน ไรวา ผู้ก่อตั้งธนาคารเกษตร
(อ่านเพิ่มเติม เรื่องสุริยนได้ใน "ผู้จัดการ" ฉบับเดือนตุลาคม
2530) จำนวน 60 ไร่เมื่อ 30 ปีมาแล้ว และได้สร้างตึกแถว 4-5 คูหาริมถนนเพชรเกษมไว้ให้คนเช่า
จากนั้นก็ไม่ได้พัฒนาอะไรอีกเลย กระทั่งประมาณ 8 ปีที่ผ่านมานี้ ประยงค์
บุญสูง ทายาทคนหนึ่งของจุติ เริ่มมองเห็นศักยภาพของหาดใหญ่มากขึ้น จึงได้ลงทุนสร้างอาณาจักรบุญสูงขึ้นที่นี่ซึ่งมีทั้งโรงภาพยนต์
โรงแรมเจบี และศูนย์การค้า ด้วยงบที่ไม่น้อยกว่า 400 ล้านบาท บริเวณที่ตั้งอาณาจักรบุญสูง
เป็นที่คาดหมายว่าจะเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งใหม่ในระยะอันใกล้นี้
ส่วน "งานทวี" เดินทางสู่หาดใหญ่ด้วยแนวคิดของถวัลย์ วงศ์สุภาพ
ทายาท "ขบถ" (เขาเป็นทายาทคนเดียวที่ปฏิเสธนามสกุลงานทวี) ด้วยการตั้งบริษัทถึง
6 แห่ง คือ บริษัทพี่น้องงานทวี บริษัทยางไทยทวี บริษัทปาล์มไทยพัฒนา บริษัททักษิณคอลเกต
ซึ่งธุรกิจเหล่านี้อยู่ในพื้นที่ของศูนย์การค้าบุญสูง
จังหวะการรุกบดบี้ของสองกลุ่มต่างถิ่นที่สยายความยิ่งใหญ่ของตัวเองเข้าสู่หาดใหญ่
น่าที่จะเป็นดัชนีชี้ให้เห็นถึงเค้าโครงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างได้เป็นอย่างดี
แน่นอนล่ะว่าทุนต่างถิ่นที่จะเข้ามานั้นคงไม่หยุดเพียงแค่สองกลุ่มนี้ โดยเฉพาะปัจจุบันน่าจับตามองกลุ่มนักลงทุนชาวจีนในมาเลเซียที่โดนแรงบีบจากรัฐบาลมาเลเซียจนไม่เป็นอันทำมาหากิน
เดี๋ยวนี้คนเหล่านี้เริ่มเข้ามาในหาดใหญ่และภาคใต้กันมากขึ้นแล้ว หลายรายเข้าไปซื้อหุ้นกิจการบางแห่งไว้แล้วด้วย
กลุ่มคนพวกนี้น่ามองจริง ๆ!!!
สาม-กลุ่มเศรษฐีใหม่ที่นับวันยิ่งสะสมอิทธิพลและบารมีทางเศรษฐกิจมากขึ้น
ๆ กลุ่มคนพวกนี้ส่วนมากเป็นคนจีนมาจากมาเลเซีย นราธิวาส นครศรีธรรมราช พัทลุง
และสุราษฎร์ธานีที่ย้ายมาตั้งหลักแหล่งในหาดใหญ่ แรกทีเดียวพวกนี้ยังต้องพึ่งใบบุญของคนกลุ่มที่สองเป็นหลัก
แต่ในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา ด้วยปฏิภาณไหวพริบที่มองเห็นช่องโหว่ของกฎเกณฑ์สังคมบางอย่าง
ด้วย "เงิน" พวกนี้ได้โปรยหว่านเพื่อซื้อ "ใจ" ใครหลาย
ๆ คนที่คุมกฎให้เปิด "ไฟเขียว" ทางการค้าที่ราบรื่นยิ่งขึ้น ซึ่งก็ไม่นานนักพวกเขาก็อหังการ์และลอยนวลได้อย่างแนบเนียนไม่มีที่ติ!!!
ก่อนหน้าที่พวกนี้จะเข้ามา หาดใหญ่ยังมีสภาพเป็นเมืองที่เคลื่อนไหวองคาพยพไปตามฐานะของตนเองโดยแท้จริง
ไม่ถึงกับอึกทึกครึกโครมมากนักมีกิจการผิดกฎหมายเล็กน้อยเท่านั้น แต่หลังจากคนชุดนี้มาถึงธุรกิจผิดกฎหมายที่ซื้อ
"ใจ" ใครหลายคนได้แล้วนั้นกลับฟูฟ่องอย่างผิดหูผิดตา หาดใหญ่กลายเป็นชุมทางของความ
"เถื่อน" ในหลายรูปแบบ แน่ล่ะว่าเงินกว่า 50,000 ล้านบาทที่สะพัดในแต่ละปี
3 ใน 4 ล้วนเป็นผลพวงของธุรกิจเหล่านี้อย่างช่วยไม่ได้??
จริงอยู่ที่ว่าร่มธงของคนพวกนี้ที่จำบังธุรกิจผิดกฎหมายสร้างฐานะด้านหนึ่งจะเป็นการเอื้อพยุงให้สังคมหาดใหญ่รุ่งเรืองรวดเร็วยิ่งขึ้นก็ตามทีนั้น
ในอีกด้านหนึ่งย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการขยายตัวที่ยังคงเป็นไปอย่างเงียบ
ๆ แต่ใหญ่ขึ้นทุก ๆ วันของกลุ่มนี้ย่อมมีอันตรายอย่างมากต่อส่วนรวมเช่นกัน!!
"ผมยอมรับว่าหาดใหญ่โตขึ้นเพราะของเถื่อน ๆ 4 อย่างจริง ๆ คือ สินค้าเถื่อน
บ่อนเถื่อนยาเสพติดเถื่อน และค้าประเวณีเถื่อน มันเป็นความจริงที่ปฏิเสธกันไม่ได้
เงินจากธุรกิจเหล่านี้ปีหนึ่ง ๆ เป็นพันล้าน คนพวกนี้เห็นหน้ากันก็ร้องอ๋อได้เลยว่าเขาทำอะไร"
พ่อค้าคนหนึ่งคุยกับ "ผู้จัดการ"
เถื่อนหนึ่ง
ในปี 2528-29 สถิติคดีอาชญากรรมทำร้ายร่างกายเรื่อยไปจนถึงการปลิดชีพอย่างโหดร้ายทารุณในเขตเมืองหาดใหญ่เฉลี่ยแล้วถึงวันละคดี
จากการสอบสวนและติดตามเรื่องราวอย่างใกล้ชิดของเจ้าหน้าที่ที่เอางานอย่างจริง
ๆ จัง ๆ พบสาเหตุใหญ่มาจาก "ความแค้นในบ่อนการพนัน"
ไม่กี่ปีมานี้หน้าหนังสือพิมพ์ทั้งส่วนกลางและภาคใต้ลงข่าว "ฆ่าโหดเหี้ยมเจ้าของโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งในหาดใหญ่ที่เป็นเจ้าของบ่อนชื่อดังด้วย"
เนื้อหาของการฆ่าไม่มีอะไรมากไปกว่า "ทหารกลุ่มหนึ่งเข้าไปเล่นเสียในบ่อนพนันแห่งนี้แล้วจำนำปืน
11 มม. เอาไว้ เมื่อมาไถ่คืนเห็นว่าโดนโก่งราคาก็เลยโก่งไกปืนดับเจ้าของบ่อน"
เนื้อหาของคดีต่าง ๆ มีสาระอยู่แค่นี้จริง ๆ หากแต่เบื้องลึกของมันบ่งชี้ให้เห็นว่าหาดใหญ่นั้นก็เป็นชุมทางบ่อนการพนันขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศ
ซึ่งก็มีทั้ง "บ่อนหลัก" และ "บ่อนวิ่ง" จนนับจำนวนไม่ถ้วน
บ่อนเหล่านี้เปิดรับนักพนันทั้งในและนอกประเทศ "สี่ห้าปีก่อนมีมากจริง
ๆ พ่อค้าคนจีนจากมาเลเซีย สิงคโปร์ ที่เข้ามานั้นจุดประสงค์หลักนอกจากพักผ่อนแล้วก็มาเพื่อเล่นการพนัน"
คนที่ติดตามเรื่องนี้มาตลอดบอกให้ฟัง
บ่อนการพนันที่เป็น "บ่อนหลัก" ใหญ่ ๆ ในหาดใหญ่จะซุกตัวเองอยู่ตามโรงแรมและสถานเริงรมย์ต่าง
ๆ บางเอเยนซี่ทัวร์ยังรับเป็นนายหน้าแนะนำนักพนันด้วยเลยว่าบ่อนไหนเชื่อใจและวางใจได้
กล่าวกันว่ารายจ่ายที่แต่ละบ่อนจ่ายให้กับคนในเครื่องแบบบางคนบางกลุ่มว่ากันด้วยเลข
5 หลักขึ้นไปโดยมีมาตรฐานต่ำสุด 50,000 บาท อาจเป็นเพราะรายได้ที่งดงามเช่นนี้กระมังถึงกับทำให้การปราบปรามบ่อนการพนันจึงจำเป็นต้องใช้หน่วยปฏิบัติการพิเศษลงไปลุยเสียเอง
บ่อนการพนันที่เคยติดอันดับในเมืองหาดใหญ่ก็มี
หนึ่ง-"บ่อนทุ่งเสา" นายบ่อนคือกำนันวร ทวีรัตน์ (ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว)
บ่อนนี้คึกคักมากในอดีตเนื่องจากชื่อเสียงและบารมีของตัวกำนันวรเป็นหลักค้ำประกันที่ดี
แต่ภายหลังกำนันเสียชีวิตและมีข่าวว่าญาติคนหนึ่งเข้ามาดูแลแทน กิจการซบเซาลงไปบ้าง
แต่ก็พอประคองตัวรอดไปได้ เพราะยังมีนักเล่นที่มีสายสัมพันธ์กันดีเป็นลูกค้าประจำ
บ่อนนี้กล่าวกันว่าเสียเงินค่าคุ้มครองถึงเดือนละ 100,000 บาท!!!
กำนันวรนั้นมีคนสนิทที่รู้ใจกันดีคนหนึ่งคือเคร่ง สุวรรณวงศ์ นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองหาดใหญ่
คนปัจจุบัน คนสนิทของเคร่งบอกว่า "คุณเคร่งกับกำนันวรยิ่งกว่าปาท่องโก๋และหลายคนครหาว่าเคร่งเป็นมาเฟีย!"
แต่คำตอบของเคร่งที่บอกกับหลาย ๆ คนน่าจะเป็นสิ่งไขข้อข้องใจได้ดี เคร่งบอกว่า
"ถ้าผมเป็นมาเฟีย ผมคงไม่อยู่มาจนถึงวันนี้"!?
เคร่งเป็นเชื้อไขหาดใหญ่โดยกำเนิด ครอบครัวของเขาเป็นชาวสวนฐานะปานกลาง
เคร่งเป็นลูกคนที่ 3 พี่คนหนึ่งของเขาคือครั่ง สุวรรณวงศ์ ก็เป็นประธานสภาจังหวัดสงขลา
เขาเรียนจบแค่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จากโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย แล้วออกมาประกอบอาชีพส่วนตัวที่รู้กันดีว่าเป็น
"พ่อค้าวัว" จากนั้นจึงกระโจนสู่ธุรกิจบันเทิง โรงแรม คนสนิทของเขาบอกว่า
เคร่งมีหุ้นส่วนอยู่ในโรงแรมอินทรา และโรงแรมมายเฮาส์ เขาได้รับปริญญารัฐศาสตร์มหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์
จากธรรมศาสตร์ เมื่อปี 2523 ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลและเป็นเทศมนตรีครั้งแรกเมื่อปี
2500 กระทั่งเป็นนายกฯ เมื่อปี 2516-ปัจจุบัน
"ผมเชื่อว่าคุณเคร่งแกไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในบ่อนกำนันวรแน่ เขาอาจเป็นเพียงคนสนิทกันเท่านั้น"
คนที่รู้จักเคร่งดีบอกกับ "ผู้จัดการ"
สอง-บ่อนโรงแรมคิงส์ บ่อนนี้ในอดีตดังมาก มีนักพนันจากต่างประเทศเข้าไปเล่นกันเป็นประจำมีเผชิญ
ลีลาภรณ์ เป็นนายบ่อน แต่ตอนหลังเผชิญไปมีเรื่องกับทหารกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาเล่นเสียแล้วนำปืนไปจำนำ
เมื่อมาไถ่คืนไม่พอใจว่าโดนโก่งราคาจึงยิงเผชิญตายจากนั้นมาบ่อนนี้จึงเงียบเหงาลงไปมาก
"เมื่อก่อนนั้นเรามีบ่อนจริง แต่ตอนนี้ไม่ทำแล้ว" ชาญ ลีลาภรณ์
นายกสมาคมโรงแรมหาดใหญ่ น้องชายที่มาบริหารงานแทนบอกกับ "ผู้จัดการ"
ในเรื่องนี้อย่างเรียบ ๆ
ชาญเข้ามาสานงานในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เขาเกิดที่สงขลา สำเร็จการศึกษาจากคณะเศรษฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยบุคลิกเขาแตกต่างจากพี่ชายมาก เขาดูเป็นคนนิ่มในทีสนใจที่จะเอาตัวเองเข้าไปผูกพันกับงานสังคม
เคยเป็นนายกโรตารี่ เคยนำสมาชิกสมาคมโรงเรียนบอยคอตไม่ซื้อ "โค้ก"
มาขายจนถึงทุกวันนี้ เขายังเป็นเจ้าของปั๊มน้ำมันอีก 2 แห่ง บริษัทไทยนำและบุตร
โรงพิมพ์และบ่อตกปลา ปกติถ้ามีเวลาว่างพอมักจะพาครอบครัวไปเที่ยวปีนังหรือไม่ก็กัวลาลัมเปอร์
มาเลเซีย
บางกระแสข่าวบอกว่าเขามีรายได้หลังจากการเล่นหวยใต้ดินแต่ละงวดเป็นเงินหลายแสนบาท
ชาญยังมีน้องชายอีกคนหนึ่งคือโชติ ลีลาภรณ์ ที่ค่อนข้างจะเก็บตัวเงียบซึ่งว่ากันว่าโชติรับงานบางอย่างของเชิญมาสานต่อ
ชาญยังมีความสนิทสนมกับนักการเมืองระดับชาติหลายคนอาทิอุทัย พิมพ์ใจชน เขาบอกว่าเขาจะไม่ยอมเอาชื่อเสียงเข้าไปพัวพันเรื่องเหล่านี้เป็นอันขาด
เพราะจุดหมายที่กำหนดไว้ต้องการจะเล่นการเมือง
สาม-บ่อยตรงข้ามโรงแรมโฆษิต นายบ่อนมีชื่อย่อว่า "ด" อาชีพบังหน้าทำเกี่ยวกับแฟชั่นเสื้อผ้าและมีหุ้นอยู่ในบาร์แห่งหนึ่งที่บนชั้นสองของบาร์ห้ามนักท่องเที่ยวที่เป็นคนไทยขึ้นไปดู
"ผมพยายามพูดภาษาอังกฤษแล้วไอ้คนคุมบาร์มันยังไม่เชื่อ" แหล่งข่าวคนหนึ่งบอกกับ
"ผู้จัดการ"
บ่อนนี้จัดอยู่ในประเภทดาวรุ่ง เส้นสายกับทางเจ้าหน้าที่เป็นไปอย่างราบรื่น
โดยผ่านบรรดาพวกคุณนายเจ้าหน้าที่เหล่านั้นที่ชอบการแต่งตัวเป็นสะพานเข้าไปขอความคุ้มครองเจ้าของบ่อนแห่งนี้
เป็นนักธุรกิจที่เพิ่งเริ่มเกิดอย่างเต็มตัวเมื่อไม่นานมานี้ เป็นคนที่จ่ายไม่อั้นเหมือนกัน
ราคาค่าคุ้มครองบ่อนนี้ไม่มากนักกล่าวกันว่าแค่เดือนละ 50,000 บาท!!!
สี่-บ่อนของนาย "ช" ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่แห่งหนึ่งในหาดใหญ่
และเป็นเจ้าของตลาดที่ดินแห่งหนึ่งของเขาประมาณครึ่งไร่ที่ขายให้สถาบันการเงินแห่งหนึ่ง
มีราคาสูงถึง 10 ล้านบาท "ช" ยังเป็นเจ้าของตึกธุรกิจขนาดใหญ่ย่านสีลม-สุรวงศ์ในกรุงเทพฯ
อีกด้วย ซึ่งเป็นผลพลอยได้มาจากการค้าทั้งในและนอกรูปแบบที่หาดใหญ่เป็นสำคัญ
เดิมที "ชู" เป็นพ่อค้าจีนที่มาจากปัตตานี เข้ามาตั้งร้านโชห่วย
แล้วขยับทำกิจการเดินรถขนส่งน้ำมันหาดใหญ่-มาเลเซีย จนมีทุนรอนทำธุรกิจผูกขาดยางให้กับทางราชการ
แล้วไปเป็นเอเยนต์ขายน้ำมันเชลล์ ปกติแต่ละปีเขาต้องทำทานกับคนยากคนจนในหาดใหญ่
บ่อนพนันของเขาได้รับการยกย่องว่าใหญ่ที่สุดในภาคใต้ และเขาก็เป็นเจ้ามือที่ทำเงินจากการเล่นพนันครั้งหนึ่ง
ๆ ได้ไม่น้อยกว่า 10-20 ล้านบาท ที่กรุงเทพฯ นอกจากบ้านพักอันอัครฐานสมฐานะเศรษฐีแล้ว
แม้แต่ห้องทำงานของเขาบนตึกสูงยังต้องควบคุมด้วยกลไกนิรภัยที่สั่งเข้ามาเป็นพิเศษ
ขนาดเคยมีคนหลงไม่รู้ว่าจะเข้าห้องเขาได้อย่างไรมาแล้ว ต้องให้ยามมากดปุ่มสัญญาณที่ซ่อนเอาไว้จึงเข้าไปได้
บ่อนของ "ช" เรื่องค่าคุ้มครองเมื่อเทียบขนาดกับบ่อนอื่น ๆ แล้วของเขาจ่ายน้อยมาก
อาจเป็นเพราะบารมีคับเมืองที่เขามีอยู่ก็เป็นได้ และมีข่าวล่าสุดว่าเดี๋ยวนี้
"ช" ได้ทุ่มเงินกว้านซื้อที่ดินบริเวณสะพานแขวนไว้แล้วอย่างมากมาย
ชื่อของเขาถ้าบอกกันเต็ม ๆ เป็นต้องร้องอ๋อกันไปเลย!!!
นอกจาก "บ่อนหลัก" ใหญ่ ๆ เหล่านี้แล้ว ทั้งในอดีตและปัจจุบัน
หาดใหญ่ยังมีบ่อนขนาดเล็กและบ่อนวิ่งที่ตั้งอยู่รอบนอกเมืองอีกมากมาย บ่อนวิ่งที่สำคัญก็มักอยู่ตามโรงแรมใหญ่
ๆ ซึ่งพวกนี้ไหวตัวกันอย่างรวดเร็วจนเจ้าหน้าที่เองตามแทบไม่ทัน!?
ไม่นับบ่อนอิทธิพลในกรุงเทพฯ แล้วนั้น เจ้าหน้าที่คนหนึ่งยังยอมรับว่า
เห็นจะมีก็แต่ในหาดใหญ่นี่ล่ะที่พอจะสู้ได้ และถ้าเทียบกำลังเงินที่เล่นกันแล้วอาจมากกว่าด้วยซ้ำไป
เพราะนักพนันที่นี่ส่วนมากเป็นพ่อค้าและนักธุรกิจชื่อดังทั้งไทยและต่างประเทศขึ้น-ลงไปเล่นกันเป็นจำนวนมาก
โดยเฉพาะช่วงวันเสาร์-อาทิตย์
เถื่อนสอง
ขบวนการ "ซิซิเลี่ยน คอนเนคชั่น" และ "แก๊งมาร์เซย์"
รู้จักกันดีในฐานะมาเฟียนักค้ายาเสพติดระดับโลกที่ ดีอีเอ. (ดรั๊กเอนฟอร์ซเมนท์
เอเยนซี่ หรือองค์การปราบปรามยาเสพติดอเมริกา) เคยคำนวณว่าแก๊งนี้มีรายได้จากการขายยาในอเมริกาและยุโรปประมาณปีละ
400 พันล้านบาท
นิตยสาร "อิล มอนโด" ในอิตาลีเคยระบุว่า บริษัทมาลา อินดัสตรี
และบริษัทคามอรา ของมาเฟียใหญ่ในเนเปิ้ลมีรายได้จากการแอบขายยาเสพติดถึงปีละ
6,740 พันล้านบาท หรือเทียบเท่ากับ 4% ของรายได้ประชาชาติอิตาลี!!!
ถัดเข้ามาอีกนิดไม่ว่าจะเป็นโรงผลิตยาขนาดใหญ่ของ "ซิซิเลี่ยน คอนเนคชั่น"
ที่ตั้งอยู่ในเมืองปาแลร์โม หรือโรงงานของมาลาและคามอรา ในอิตาลี สายลำเลียงวัตถุดิบแห่งใหญ่เพื่อป้อนเข้าสู่โรงงานเหล่านี้เชื่อกันว่า
ส่วนหนึ่งไปจากสามเหลี่ยมทองคำในเมืองไทย สถานที่ที่ปลูกฝิ่นดีที่สุดในโลก!!!
ในบ้านเราก็ตามทีเถอะ หากสำรวจกันอย่างละเอียดถี่ถ้วนจะพบว่า บรรดาเศรษฐีมีเงินทั้งหลายหรือคนในเครื่องแบบที่ร่ำรวยอย่างผิดสังเกตนั้น
ส่วนใหญ่ล้วนแต่ผูกพันกับขบวนการค้ายาแทบทั้งสิ้น และนี่เป็นคำตอบที่ดีว่า
"เราคงต้องเล่นมอญซ่อนผ้าตามจับตามปราบกันต่อไปไม่มีวันสิ้นสุด หรือไม่ก็รอให้งบประมาณก้อนสุดท้ายงวดลงไปแล้วปล่อยให้ปิศาจร้ายนี้เข้าครอบงำอย่างแท้จริง"
"ผู้จัดการ" ทราบว่าแม้บ้านหินแตกซึ่งเคยเป็นที่ตั้งกองกำลังขุนส่าหรือจางซีฟู
ยอดนักค้ายาชื่อก้องที่เคยมีค่าหัวหลายล้านบาทจะถูกทหารไทยตีแตกไปแล้วในปี
2525 นั้นหาใช่จะสลายขบวนการผลิตยาเพื่อป้อนสู่ตลาดโลกของเขาไปได้ไม่ ได้มีการย้ายแหล่งผลิตเข้าไปอยู่ในรัฐฉานของพม่า
ซึ่งบางส่วนก็อยู่ชิดพรมแดนไทยตรงบ้านเล่าล่อใจ-ดอยแซง-ดองผางมี-ดอยม่านทอง
เขต จ. เชียงรายและแม่ฮ่องสอน
เส้นทางลำเลียงยาเสพติดสายสำคัญสายหนึ่งของขุนส่าก็คือเมืองมัณฑะเลย์-ตองอู-มะละแหม่ง-ร่างกุ้ง-ระนอง
(ไทย) ซึ่งสายนี้เมื่อมาถึงระนองถ้าไม่ หนึ่ง-ออกทะเลไปเลย สอง-เข้ากรุงเทพฯ
หรือไม่ก็ สาม-ทะลักลงสู่หาดใหญ่เพื่อใช้ที่นี่เป็น "นางนกต่อ"
ระบายสินค้าออกไปยังมาเลเซีย-สิงคโปร์ ที่สะดวกกว่าก่อนจะไปสู่อเมริกา อิตาลี
ฯลฯ
หาดใหญ่มิใช่แหล่งผลิตก็จริง แต่ที่นี่กลับเป็น "หัวใจ" สำคัญของการค้าผิดกฎหมายเช่นยาเสพติด
ปีหนึ่ง ๆ เงินจากการค้ายาที่ไหลเข้า-ออก หาดใหญ่ ย่อมไม่น้อยกว่าพัน ๆ ล้านบาท
คดียาเสพติดที่จับได้ในเขตเมืองหาดใหญ่สูงรองเป็นอันดับ 2 จากคดีลักทรัพย์
จุดที่จับได้มากที่สุดก็คือที่โรงแรมมายเฮาส์ และโรงแรมเพรสซิเดนท์ "พวกที่จับได้เป็นประเภทมืออ่อนเสียมากกว่า
ตัวหัวหน้าแก๊งแม้เราจะรู้เลา ๆ แต่ก็เข้าไม่ค่อยถึง เพราะหลักฐานมีไม่เพียงพอกับคนพวกนี้มีอิทธิพลเหนือเจ้าหน้าที่ระดับสูงบางคนด้วย"
เจ้าหน้าที่ที่ขับเคี่ยวกับงานนี้คนหนึ่งกล่าวกับ "ผู้จัดการ"
เจ้าหน้าที่ ปปส. (สำนักงานปราบปรามยาเสพติด) ท่านหนึ่งให้เหตุผลที่ทำให้หาดใหญ่กลายเป็นหัวใจของขบวนการค้ายาเสพติดเพราะ
"ที่นี่เป็นเมืองใหญ่ คนพลุกพล่าน การขนส่งยาหรือการเข้ามาของคนแปลกถิ่นไม่เป็นที่สังเกต
ดังนั้นจุดนี้จึงเหมาะสมที่สุดจะเป็นจุดพักสินค้าเพื่อรอการขนออกนอกประเทศ
การติดต่อธุรกิจนี้แนบเนียนมากทีเดียว"
รายได้จากการขายยาเสพติด ถ้าขายภายในเมืองไทย ผู้ขายจะได้กำไรเพียงแค่
20% แต่ถ้ามีการส่งออกราคาจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่า ๆ ตัว ซึ่งก็แล้วแต่ความยากง่ายของการขนส่ง
และระยะทางที่จะไปถึง จากจุดหาดใหญ่นี่สินค้าจะส่งต่อไปยังปลายทางง่ายที่สุด
แม้กระทั่งทางทะเลก็ยังเล็ดลอดออกไปได้???
"เจ้าหน้าที่ตำรวจเคยจับฝิ่น 15 กิโลกรัมได้ในรถเปอโยต์สีขาว ทะเบียน
6446 สงขลา ซึ่งเป็นของนักธุรกิจเจ้าของรถทัวร์แห่งหนึ่ง แต่ไม่นานรถเก๋งคันดังกล่าวกลับถูกขายต่อออกไป
ผมไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างคนพวกนี้กับข้าราชการในจังหวัด" เจ้าหน้าที่คนหนึ่งกล่าว
แม้แต่การตายของรัตนา ก้องกิตติ อดีตนายกสมาคมท่องเที่ยวสงขลา เจ้าของโรงแรมมิราม่า
และยังเป็นนายทุนเงินกู้ที่มีข่าวว่าผูกพันกับพ่อค้า-แม่ค้าขายของหนีภาษีด้วยนั้น
เจ้าหน้าที่ที่ตามเรื่องนี้มาตลอดยังบอกว่า "แท้ที่จริงเกี่ยวพันถึงนักธุรกิจเจ้าของรถยนต์เปอโยต์คันดังกล่าวด้วย"
คนในตระกูลก้องกิตติก็รู้ดีว่า การตายของรัตนานั้นจริง ๆ แล้ว มันเป็นเรื่องอะไร
เพียงการขัดผลประโยชน์ธรรมดาคงไม่รุนแรงถึงขั้นนี้ เหี้ยมถึงขนาดที่ว่าน้องชายของรัตนาร่ำไห้กับป๋าเปรมเพื่อเรียกร้องขอความคุ้มครอง
"เจ๊รัตตายเพราะรู้เรื่องที่แกไปรู้เข้า คนพวกนี้กลัวมากเพราะรู้ว่าเจ๊กับตำรวจสนิทกันมากเพียงไร"
พ่อค้าคนหนึ่งบอกกับ "ผู้จัดการ"
ลักษณะการขนส่งยาเสพติดกระทำกันหลายวิธีเช่น ผ่าถังน้ำมันรถเอายาเข้าไปซ่อน
หรือไม่ก็อัดลงอิฐบล็อคแล้วไปทุบออกปลายทาง ซึ่ง 2 วิธีนี้ยากแก่การตรวจสอบ
"อย่างบางครั้งเขาซุกมาในรถเบนซ์ ไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดเราก็ไม่กล้าเข้าไปเคาะดูเพราะรถมันราคาแพง"
เจ้าหน้าที่ ปปส. คุยให้ฟัง
สำหรับกลุ่มค้ายาเสพติด (นกต่อตัวระบาย) ในหาดใหญ่นอกจากนักธุรกิจเจ้าของทัวร์รายนั้นแล้ว
ยังมีอีกหลายคนที่ดำเนินธุรกิจประเภทนี้จนมั่งคั่งติดอันดับเศรษฐีใหม่ในเวลาอันรวดเร็ว
เช่น
หนึ่ง-"เสี่ย ย." หรือเจ้าของรหัสวอล์คกี้-ทอล์คกี้ "มังกร"
เสี่ย ย. คนนี้เป็นคนหาดใหญ่มาแต่กำเนิด อาชีพทางบ้านที่เจ้าตัวยังดำเนินต่อจนถึงปัจจุบันก็คือการทำประมงส่งสินค้าทะเลไปขายในมาเลเซีย
เขาเรียนไม่สูงนักแต่อาศัยความเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดี รู้จักฉกฉวยเอาใจเจ้านายจึงทำให้เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่พ่อค้าคนจีนกล่าวกันว่า
เขาเคยสนิทสนมกันมากกับอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดท่านหนึ่ง "พอผู้ว่าฯ
เข้ามาแกก็พยายามเข้าไปตีสนิท แต่ผู้ว่าฯ ไม่เล่นด้วยตอนนี้เลยไม่ค่อยเห็นออกงานราชการเท่าไร
ผิดกับสมัยก่อนแทบเป็นเงาตามตัวผู้ว่าฯ เลย" แหล่งข่าวท่านหนึ่งกล่าว
เสี่ย ย. ผู้นี้กล่าวกันว่ามีสายยาเสพติดอยู่ทางภาคเหนือ โดยนำยาบรรทุกใส่รถบัสหรือไม่ก็
รถส่วนตัวเพื่อนำมาเก็บไว้ที่ร้านของตนเอง (ร้านอาหารขนาดใหญ่) ก่อนที่จะส่งต่อไปยังมาเลเซียโดยอาศัยลำเลียงออกทางท่าเรือจังหวัดสตูล
"เดี๋ยวนี้เงียบไปหน่อย การขนส่งไม่ง่ายเหมือนแต่ก่อนเพราะขาดคนหนุนหลังที่เคยซี้กัน"
แต่ถึงอย่างไรก็ตามร้านอาหารของเขาที่มีเมียคุมบัญชีอย่างใกล้ชิดก็ยังฟู่ฟ่าต้อนรับนักธุรกิจทั้งไทยและต่างประเทศเป็นปกติ
หลังอาหารมื้ออร่อยของนักธุรกิจบางคน เขาจะพูดกันถึงเรื่องยาเสพติดบ้างไหม!?
สอง-อา ก. เจ้าของกิจการเดินรถบรรทุกรายนี้จะขนยาเสพติดรวมมากับสินค้าต่าง
ๆ เขาต้องจ่ายค่าคุ้มครองสูงถึงเดือนละ 200,000 บาท!!!
เถื่อนสาม
เพราะความเป็นศูนย์กลางใหญ่ของสินค้าหนีภาษีไม่ว่าจะเป็นของกิน เครื่องไฟฟ้า
ทำให้ทุก ๆ คนรู้จักหาดใหญ่กันเป็นอย่างดี ชื่อของตลาดสันติสุข ตลาดซีกิมหยง
ซึ่งเป็นศูนย์รวมสินค้าเป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวทุกคนจำเป็นต้องไม่หลงลืม
การซื้อ-ขายสินค้าหนีภาษีเฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่ง ๆ ไม่ต่ำกว่า 5-600 ล้านบาท
พรมแดนไทย-มาเลเซียเป็นจุดผ่านของสินค้าเถื่อนที่ดีที่สุดแล้วถูกนำมารวมศูนย์กันอยู่ที่หาดใหญ่ก่อนกระจายไปทั่วประเทศด้วยรูปแบบและวิธีการต่าง
ๆ ที่จอมแสบทั้งหลายงัดกันขึ้นมา "ชน" กับเจ้าหน้าที่ศุลกากรอย่างไม่กลัวเกรง
"สมัยก่อนนั้นมีกองทัพมดที่ชนกันบนหลังคารถไฟ เดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็นขบวนคอนวอยรถปิกอัพที่มีรถมอเตอร์ไซค์คุ้มกันนำหน้า
เรียกให้จอดมันก็ไม่ยอมจอดหลายครั้งที่เราต้องพุ่งเข้าปะทะตัวต่อตัวเพื่อสกัดกั้น
แต่ก็เอาไม่ค่อยอยู่ พวกขนของเหล่านี้มันเดนตายจริง ๆ" เจ้าหน้าที่ศุลกากรท่านหนึ่งบอกกับ
"ผู้จัดการ"
(โปรดดูสถิติการจับกุมจะเห็นว่าปีหนึ่ง ๆ ที่จับได้หลายร้อยล้านบาท)
สมรภูมินี้ข้ายึดครอง
ตามแนวตะเข็บไทย-มาเลเซียมีถึง 48 จุด จุดที่สินค้าเถื่อนพร้อมที่จะทะลักหลั่งไหลอย่างง่ายดาย
จุดที่สำคัญเรียกกันว่าพื้นที่ 4,000 ไร่ในเขตปาดังเบซาร์ จากจุดนี้ประมาณ
15 กม. จะเข้าสู่อำเภอสะเดา ซึ่งมีเส้นทางลัดเลาะไปตามสวนยางหลายสิบสาย บางสายก็อาจตัดผ่านถึงสนามบินหาดใหญ่เลยโดยไม่ผ่านด่านศุลกากร
เส้นทางเหล่านี้พวกแก๊งของเถื่อนจะชำนิชำนาญเป็นพิเศษ
พื้นที่ 4,000 ไร่ เป็นยุทธภูมิที่เหมาะสมต่อการขนถ่ายสินค้าเพราะ หนึ่ง-อยู่ในเขตป่าทึบ
สอง-ยังถูกจัดเป็นพื้นที่สีชมพู สาม-ความหย่อนยานของเจ้าหน้าที่มาเเลเซียที่ไม่เข้มงวดกับนายทุนของเถื่อนของเขามากนัก
ซึ่งคงเป็นเพราะมาเลเซียต้องการที่จะผลักดันสินค้าออกนอกประเทศให้มากที่สุด
นายทุนมาเลเซียเหล่านี้แหละที่เป็น "โคตร" มาเฟียร่วมกับพ่อค้าใหญ่บางคนในกรุงเทพฯ!!
หลังจากที่แก๊งของเถื่อนรับสินค้าจากฝั่งมาเลเซียผ่านเข้าสู่พื้นที่ 4,000
ไร่หรือจุดรับ-ส่งอื่น ๆ ในฝั่งไทยแล้วจะมีรถมอเตอร์ไซค์ (วิบาก) ที่แต่งเครื่องแล้วอย่างดีหลายร้อยคันคอยรับถ่ายอีกครั้งหนึ่ง
พวกนี้ใช้เวลากันรวดเร็วเพียงไม่ถึง 5 นาทีก็เสร็จอย่างเครื่องไฟฟ้าเอาขึ้นหลังแว่บเดียว
จุดแตกหักของแก๊งของเถื่อนกับเจ้าหน้าที่ศุลกากรเริ่มอัดกันตรงนี้ เมื่อสิงห์มอเตอร์ไซค์ได้ของแล้วจะวิ่งตัดป่ายาง
ระหว่างจุดจะมี "ต้นทาง" คอยดูแลเจ้าหน้าที่ว่าตามมารบกวนหรือไม่
เสร็จแล้วจะนำมาใส่ต่อรถปิกอัพอีกทอดหนึ่ง (รถปิกอัพของเถื่อนสังเกตได้จากมีหลังคาหลังทุกคัน
และแต่ละคันจะแต่งใหม่ให้มีความเร็วสูงถึง 170 กม./ชม. ทั้งหมดมีประมาณ 100
คัน)
ค่าจ้างสำหรับพวกสิงห์มอเตอร์ไซค์และคนขับรถปิกอัพนั้นสูงมากคือ คนขับปิกอัพ
12,000 บาท/เดือน คนขี่มอเตอร์ไซค์วันละ 200 บาท/เดือน ทั้งหมดนี้รวมการประกันชีวิตที่นายทุนของเถื่อนดูแลให้เสร็จและไม่ต้องกังวลเรื่องถูกจับเพราะนายทุนจะจัดการ
"เคลียร์" ให้เอง "ส่วนใหญ่ก็เสียค่าน้ำร้อนน้ำชาไม่มากนัก
พวกนี้ถึงกำแหงได้ไม่หยุดหย่อน" เจ้าหน้าที่ท่านหนึ่งกล่าว
ใยแมงมุม
การทำงานของแก๊งของเถื่อนนับแต่ถ่ายสินค้าจากฝั่งมาเลเซียมาสู่สิงห์มอเตอร์ไซค์
นำมาให้รถปิกอัพเข้าหาดใหญ่นี้ จะมีสายสืบของแก๊งจับตาการเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่อย่างระแวดระวังตลอดเวลา
มีการว่าจ้างให้เฝ้าชนิดไม่ยอมให้คลาดสายตาขนาดผู้อำนวยการศุลกากรภูมิภาค
1 ยังถูกคุมแจ
การติดต่อของพวกนี้จะใช้วิทยุสื่อสารกับโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นหลักโดยมีศูนย์บัญชาการใหญ่ที่นายทุนของเถื่อนร่วมกันลงขันตั้งอยู่ที่ปาดังเบซาร์
กำหนดรหัสแจ้งข่าวกันว่าถ้าเจ้าหน้าที่ไม่เคลื่อนไหวก็จะบอกกันว่า "ทักษิณอยู่ครบ"
เพื่อให้ออกปฏิบัติการขนของเถื่อนกันได้ แต่ถ้าเมื่อใดที่เจ้าหน้าที่ไหวตัวพวกนี้ก็ทันควันแจ้งให้รู้ทันทีว่า
"อินทรีออกบิน"
เป็นที่น่าสังเกตมากว่าความเหิมเกริมของแก๊งของเถื่อนที่นับวันยิ่งปีกกล้าขาแข็งมากขึ้นไม่ได้เป็นเพราะ
"นรกไม่มีความหมายสำหรับชีวิตพวกมัน" เพียงอย่างเดียว แต่เติบใหญ่อย่างไม่กลัวเกรงเนื่องเพราะแรงหนุนจากคนในเครื่องแบบเป็นเสาค้ำอีกทางหนึ่ง
ครั้งหนึ่งในการไล่ล่าของเจ้าหน้าที่ศุลกากรร่วมกับทหารแล้วเรียกให้รถขนของเหล่านั้นหยุดตรวจ
ปรากฏว่าพวกนั้นกลับพุ่งเข้าใส่จนเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องสาดกระสุนปืนเข้ายับยั้งเป็นผลให้คนของแก๊งของเถื่อนบาดเจ็บ-เสียชีวิต
ถึงกับมีเรื่องกันอยู่ในศาลในขณะนี้
"เราเคยขอร้องให้ตำรวจร่วมกันก็ดูเขาเฉย ๆ ครั้นพอเราทำเองกฎหมายก็ไม่เอื้ออำนวย
พวกมันเล่นเราถึงตายได้ทั้งทางตรง-ทางอ้อม ทว่าพอเราชนบ้างก็ถูกตั้งข้อหาเจตนาทำร้ายร่างกาย
ทำลายทรัพย์สิน คดีที่ค้างก็ไม่รู้ผลจะเป็นอย่างไร" เจ้าหน้าที่ศุลกากรคนหนึ่งกล่าว
ความขัดแย้งลึก ๆ จองตำรวจกับศุลกากรนี้เองที่เสริมส่งแก๊งของเถื่อนให้เติบโต!!!
แต่ไม่ได้มีความพยายามที่จะคลี่คลายสถานการณ์ให้ดีขึ้นด้วยการใช้หน่วยกำลังพิเศษจากกองบัญชาการตำรวจภูธร
4 กับตำรวจตระเวณชายแดน ลงไปทำงานปราบปรามร่วมกับศุลกากรแทนตำรวจท้องที่ซึ่งบางคนไม่กล้าเล่นกับ
"นายทุน"!?
คนในเครื่องแบบอีกกลุ่มหนึ่งที่มีส่วนเกื้อหนุนต่อแก๊งของเถื่อนก็คือ "ไปรษณีย์"
เพราะสินค้าที่กระจายไปทั่วประเทศจะถูกส่งเป็นพัสดุไปรษณีย์วันละนับพัน ๆ
ชิ้น โดยที่คนของแก๊งของเถื่อนจะห่อพัสดุอย่างดีแล้วนำไปส่ง ณ ที่ทำการ ระบุเพียงชื่อผู้รับและที่ทำการปลายทางจากนั้นจะมีคนมาแสดงตัวรับของเอง
หรือไม่อาจเป็นบุรุษไปรษณีย์นำไปส่งให้เองด้วยค่าจ้างชิ้น/วันที่คิดเป็นพิเศษ
15-20 บาท
ช่องโหว่ที่แก๊งของเถื่อนสามารถอาศัยไปรษณีย์ให้ช่วยงานได้เป็นเพราะ ตามระเบียบงานสื่อสารการที่จะอายัดพัสดุได้นั้นจะกระทำได้เพียงที่ทำการต้นทางและปลายทาง
เมื่อบรรจุใส่ถุงเมล์แล้วจะตรวจอีกไม่ได้ ช่องนี้เองที่ "สินค้าเถื่อน"
จะเคลื่อนตัวออกไปได้อย่างสะดวก ที่ทำการไปรษณีย์ซึ่งเป็นประจำก็คือหาดใหญ่
สงขลา ปัตตานี ยะลา สตูล และนราธิวาส แม้แต่ไปรษณีย์ในเขต กทม. ก็ยังมี "หนอนบ่อนไส้"
ที่ร่วมมือกับแก๊งของเถื่อนคอยรับ-ส่งสินค้าให้กับพวกพ่อค้าที่จะมารับซื้ออย่างเต็มใจอีกด้วย!?
"ปราบกันไม่มีวันหมด" เจ้าหน้าที่ศุลกากรคนเดิมกล่าวอย่างอิดหนาระอาใจ
เบิกโฉม
บัญชีดำแก๊งของเถื่อนที่เป็นที่รู้จักกันดีในหาดใหญ่นั้นมี
หนึ่ง-"นาย ล." เป็นคนจีนอายุประมาณ 25-30 ปี ถูกจัดให้อยู่ในอันดับ
1 ที่โตขึ้นมากในช่วงปีสองปีมานี้ ทั้งนี้เพราะ "ล." มีแรงสนับสนุนดีทั้งจากนายทุนมาเลเซียและพ่อค้าใหญ่ในกรุงเทพฯ
เมื่อเร็ว ๆ นี้เขาได้ซื้อรถปิกอัพเพิ่มขึ้นอีก 10 คัน อาชีพบังหน้าเป็นพ่อค้าข้าวสารที่อยู่ปาดังเบซาร์
สอง-"เจ๊ ม." รายนี้เป็น "เจ้าแม่" มานมนาน อายุไม่เกิน
50 ปีมีบ้านอยู่ปลายถนนแห่งหนึ่งเมืองหาดใหญ่ เจ๊ ม. ทำมาหากินด้วยการขนของเถื่อนโดยเฉพาะมีมือดี
ๆ เป็นแขนขาหลายร้อยคน รวมถึงรถปิกอัพ มอเตอร์ไซค์อีกหลายสิบคัน มีความกลมเกลียวกับตำรวจท้องที่บางคนเป็นอย่างดีมักเป็นคนคอยวิ่งเต้นถ้าพวกขนของมีเรื่องราว
ความแสบของเจ๊ ม. นั้นถึงทรวงจริง ๆ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเคยเจอดีมาแล้วเมื่อเข้าไปจับกุมพอรู้ตัวว่าเสียท่าแน่
ๆ เจ๊ ม. ถึงกับลงทุนฉีกเสื้อกล่าวหาเจ้าหน้าที่พยายามที่จะกระทำอนาจาร "ผมเล่นกับแกไม่ไหวแน่
แก่ปานนั้นใครจะทำลง" เจ้าหน้าที่คนนี้กล่าว
เจ๊ ม. มีสามีที่เคยสวมเครื่องแบบมาก่อนจึงรู้ช่องทางหนีทีไล่ได้ดี ทุก
ๆ วัน ๆ ละ 2 ครั้งคือถ้าไม่เป็นช่วง 9.00 น. ก็ 17.00 น. จะมีคาราวานรถปิกอัพของเถื่อนมาจอดที่หน้าบ้านเจ๊
แล้วมีแก๊งวัยรุ่นขนของไปส่งยังตลาดสันติสุขอีกทอดหนึ่ง เจ๊ ม. เสียค่าคุ้มครองถึงเดือนละ
100,000 บาท ขณะที่มีรายได้ไม่ต่ำกว่าอาทิตย์ละ 30 ล้านบาท
สาม-"เจ๊ ก." ระดับ "เจ้าแม่" เก่าอีกคนทำงานนี้ไล่เลี่ยกับ
เจ๊ ม. อายุอานามก็พอ ๆ กัน เจ๊ ม. มีจุดเด่นตรงที่เป็นคนช่างฉอเลาะเอาใจ
นุ่มนวลสุภาพ ปากหวาน รายได้ของเจ๊ ก. ก็ไม่น้อยอาทิตย์หนึ่ง ๆ ประมาณ 30
ล้านบาทเช่นกัน แต่ระยะหลังทรุดลงไปเพราะแก๊งของเจ๊แกถูกจับบ่อยที่สุด
สี่-"สมคิด" กับ "ยิน" สองสาววัย 25 ปี คู่นี้เข้ามาจับงานด้านนี้ไม่นานนัก
แต่ก็สร้างความน่ายำเกรงได้รวดเร็ว โดยอาศัยความสาวเป็นสะพาน ทั้งคู่มีรังใหญ่อยู่ที่ปาดังเบซาร์
ใกล้ ๆ กับที่ทำการไปรษณีย์แก๊งนี้ไม่มีนักเลงคุม
ห้า-"ชะลอ" อายุประมาณ 30 ปีหัวหน้าแก๊งคนนี้บ้านอยู่ปาดังเบซาร์
ใกล้ ๆ กับที่ทำการไปรษณีย์เช่นกัน ที่บ้านสังเกตได้ง่ายเพราะมีโต๊ะบิลเลียดซึ่งใช้เป็นที่ชุมนุมของบรรดามืออาชีพรับจ้างขนของเถื่อนมาสุมหัวเล่นกันเพื่อรอคำสั่งให้ออกทำงาน
ชลอทำน้อยกว่าทุกคน ส่วนใหญ่จะเป็นคนจัดคิวเสียมากกว่า
หก "เจ๊ อ." อายุประมาณ 50 ปี อาศัยที่ลูกเขยเป็นตำรวจเป็นเกราะกำบัง
เจ๊ อ. เป็นแก๊งที่ร่ำรวยและโชว์ตัวให้เห็น แก๊งของเจ๊ อ. ไม่ค่อยออกทำงานบ่อยครั้งนัก
แต่ละครั้งของการทำงานจะเป็นสินค้าล็อตใหญ่ที่มีราคาแพงทั้งสิ้น
เจ็ด-"นางพัว" กับ "บังสอด" สองคนนี้เป็นไทย-อิสลาม
อายุประมาณ 50 ปี สมัยก่อนแก๊งนี้เคยรุ่งเรืองมาก รายได้เฉลี่ยแล้วหลายสิบล้านบาท/สัปดาห์
ตอนหลังทั้งคู่เริ่มวางมือให้พวกลูก ๆ หลาน ๆ เข้ามาดูแลแทน
แปด-"เจ๊ น." นักธุรกิจจีนวัย 40 กว่าปีที่ยังสวยสะคราญ เจ๊
น. มีรังใหญ่อยู่ที่สุไหง-โกลก มีเพื่อนคู่หูที่ยังครองความสวยไม่สร่างชื่อ
"เจ๊ จ." เจ๊ น. เป็นผู้หญิงประเภทใจผู้ชายสวยแต่เด็ดขาด อาชีพบังหน้าของเจ๊
น. เป็นเจ้าของร้านขายเครื่องสำอางและพ่อค้าน้ำมันรายใหญ่ของภาคใต้
แก๊งของเถื่อนเหล่านี้มีนายทุนใหญ่จากกรุงเทพฯ และในหาดใหญ่เป็นคนชักใยเบื้องหลัง
กล่าวกันว่านักธุรกิจหญิงคนหนึ่งในหาดใหญ่ชื่อ "เจ๊ ร." ซึ่งมั่งคั่งเป็นเจ้าของกิจการหลายแห่งได้นั้นก็เนื่องมาจากการปล่อยเงินให้กับแก๊งของเถื่อนเหล่านี้นี่เอง
ยิ่งเจ้าหน้าที่เพิ่มความระวังระไวปราบปรามหนักข้อมากขึ้นเท่าไร ของเถื่อนก็ยังคงระบาดหนักเป็นเงาตามตัว
หนำซ้ำวายร้ายเหล่านี้ยิ่งจะเพิ่มความสลับซับซ้อนในการขนส่งมากขึ้นด้วย สัญญาณการหักล้างที่ยังไม่รู้บทสรุปคงยังมีไปอีกยาวนาน!!?
เถื่อนสี่
"นวลน้องเป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่งของหาดใหญ่" เจริญรัตน์ สุขุม
หรือ "ป้อมเล็ก" ทายาทสายตรงของพระเสน่หามนตรียอมรับความเป็นจริงถึง
"เถื่อน" ที่สี่อย่างตรงไปตรงมา
หาดใหญ่เป็นขุมทางน้ำกามไปแล้วโดยปริยาย ด้วยเหตุผลใหญ่ 2 เรื่องคือหนึ่ง-ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของคนมาเลเซียที่ไม่สามารถระบายความใคร่ได้ในบ้านเมืองของตนเนื่องจากข้อบังคับทางศาสนาอิสลาม
สอง-เป็นแหล่งพำนักของหญิงสาวที่หาลำไพ่พิเศษก่อนที่จะถูกแก๊งค้าประเวณีส่งมอบตัวไปยังประเทศต่าง
ๆ ทั้งมาเลเซีย-สิงคโปร์-ญี่ปุ่น จนไปถึงเยอรมัน
ทุกวันพฤหัสเรื่อยมาจนถึงวันอาทิตย์จะมีนักท่องเที่ยวชาวจีนมาเลเซียและสิงคโปร์เข้ามาเที่ยวในหาดใหญ่เฉลี่ยวันละ
1,200 คน จนจำนวน 60 โรงแรม ห้องพักกว่า 6,000 ห้องบางครั้งไม่พอรองรับอัตราการใช้เงินของคนพวกนี้ตกประมาณ
1,940 บาท/วัน
ขณะเดียวกันสถิติการทำพาสปอร์ตหรือใบข้ามแดน (BORDER PASS) ก็สูงขึ้นทุก
ๆ วันในหาดใหญ่ โดยมีนายหน้าเป็นคนดำเนินการ และที่น่ามองคือว่าในจำนวน 1,000
คน กว่า 80% เป็นหญิงสาวที่มีภูมิลำเนาอยู่ทางภาคเหนือทั้งสิ้น-ดอกคำใต้เหล่านี้ไปเบ่งบานกันที่ไหน!?
ซ่องใหญ่ ๆ ในหาดใหญ่มีหญิงสาวที่สมัครใจและถูกกว้านซื้อมาเป็นสินค้าถึง
300-400 คน พวกเธอเหล่านี้จะถูกเรียกเก็บค่าสถานที่ไว้ 40-60% (หักจากค่าตัว)
ประมาณกันว่ามีนวลน้องที่ขายตัวในเมืองนี้ไม่ต่ำกว่า 10,000 คน บางคนที่เป็น
"ดาว" รายได้จะตกถึงวันละ 1,000 บาท ทุกวันจันทร์ ณ ที่ทำการไปรษณีย์รัถการพวกเธอ
200-300 รายจะเข้าคิวส่งเงินกลับบ้าน
จำนวน 5 ที่ทำการไปรษณีย์คิดกันเบาะ ๆ ต้องส่งรายได้ของผู้หญิงขายบริการถึงเดือนละไม่น้อยกว่า
50 ล้านบาท จึงไม่แปลกใจที่ใครบางคนจะบอกว่า "น้ำกามและน้ำเงินที่หาดใหญ่มันฟูฟ่องเป็นประกายยิ่งนัก"
การขายบริการของนวลน้องถ้าเป็นการเปิดบริสุทธิ์จะมีสนนราคาระหว่าง 6,000-10,000
บาท และก่อนที่รายการเป็นไปตามธรรมชาติจะเกิดขึ้นฝ่ายชายจะเรียกความคึกคักกระฉับกระเฉงด้วยการดื่มดีงูและเลือดงูผสมเหล้า
ดังนั้นพ่อค้าขายงูจึงยังคงเป็นเอกลักษณ์ของหาดใหญ่ที่รุดหน้าขึ้นด้วยการไปตั้งจุดขายตามหน้าโรงแรมและสถานบริการต่าง
ๆ
แต่ถ้าเปิดบริสุทธิ์ในฝั่งมาเลเซียราคาค่าตัวของนวลน้องจะสูงขึ้นถึง 15,000-20,000
บาท ซึ่งพวกที่เคยผ่านจากมาเลเซียมาแล้ว สามเดือนจะกลับมาเมืองไทยสักครั้ง
และพวกเธอก็จะไปชุมนุมกันตามคอฟฟี่ช็อปโรงแรมใหญ่เช่นห้องเขียวของโรงแรมสุคนธา
ปัจจุบันบรรดาเจ้าสำนักต่าง ๆ ในหาดใหญ่ได้มีการรวมตัวกันจัดตั้ง "ชมรมสหมิตร"
ขึ้นมาเพื่อลงขันเป็นค่าใช้จ่ายให้กับเจ้าหน้าที่ กับอีกด้านหนึ่งเป็นพัฒนาการของการตั้งแก๊งค้าประเวณีส่งผู้หญิงออกไปขายในต่างประเทศเช่นเดียวกับ
"แก๊งยากูซ่า" ของญี่ปุ่น ซึ่งจุดปล่อยผู้หญิงที่หาดใหญ่ไม่มีปัญหามากนัก
แก๊งค้าประเวณี "เถื่อน" เหล่านี้มีทั้งคนในเครื่องแบบระดับใหญ่และนักธุรกิจเจ้าของสถานบริการเป็น
"นายทุน" อยู่เบื้องหลัง พวกนี้จะทำกันเป็นขบวนการเริ่มตั้งแต่หาหญิงสาว
รับทำหนังสือเดินทางในอัตราค่าจ้างรายละ 15,000 บาท เท่าที่ "ผู้จัดการ"
ทราบขณะนี้มีแก๊งค้าประเวณีในหาดใหญ่ประมาณ 30 รายที่ดัง ๆ ก็เช่น
"นิด"-เป็นนายตำรวจเก่าอยู่ปาดังเบซาร์ นิดเป็นนายหน้าวิ่งเต้นทำหนังสือเดินทาง
ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองสงขลารู้จักดี เขาคิดค่าเดินเรื่องรายละ 1,500 บาท
แก๊งของนิดจะส่งผู้หญิงไปที่ญี่ปุ่นกับฮ่องกง โดยจะผ่านให้กับเจ้าของซ่องในมาเลเซีย
ย่านซิตี้ มิมี่ เป็นคนส่งอีกทอดหนึ่ง เส้นทางสู่กัวลาลัมเปอร์ที่ผ่านสายนิดนั้นจะโดยสารไปกับรถยนต์ส่วนตัว
ผู้หญิงที่เคยไปมาแล้วบอกว่างานในซ่องมาเลเซียทารุณเอามาก ๆ หลายคนทนไม่ไหวถึงกับผูกคอตาย
"หมู"-คนนี้ตั้งแก๊งใหญ่อยู่บริเวณหน้าสถานีรถไฟหาดใหญ่ หมูเข้านอกออกในกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่เป็นด่านตรวจคนเข้าเมืองได้ดี
ดังนั้นผู้หญิงที่ผ่านทางสายเขาจึงมักไม่มีปัญหาเรื่องใบเดินทาง แม้ว่าหนังสือเดินทางจะเป็นของปลอมก็ตาม
หมูจะเรียกเก็บค่าตัวผู้หญิงร่วมกับเจ้าของซ่องในมาเลเซีย และสิงคโปร์ 10
วัน/ครั้ง และทำตัวเป็นแบงก์รับฝากเงินของผู้หญิงเสียเองซึ่งเงินนี้ก็นำไปหมุนทำธุรกิจผิดกฎหมายในรูปแบบอื่นอีก
"เผือก"-อดีตเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองที่ปาดังเบซาร์ แต่หากินรวยเร็วสู้ส่งผู้หญิงไปขายตัวไม่ได้
แก๊งของเผือกมีคู่หูรู้ใจหลายคนเช่น "อ๊อด" "ทา" และ
"จง" ซึ่งจงจะเป็นคนคอยกล่อมผู้หญิง ลักษณะของเขาใส่แว่นผอม ๆ
"เก๊า"-คนนี้เป็นพ่อค้าจีนมาเลเซียที่พูดไทยได้ชัดปร๋อ เก๊ามาซื้อบ้านพักหลังใหญ่ไว้ในซอย
3 ไทยโฮเต็ล หาดใหญ่ แก๊งของเก๊าขึ้นชื่อในเรื่องส่งผู้หญิงไปสิงคโปร์และเยอรมัน
โดยคิดค่าส่งไปสิงคโปร์ 35,000 บาท/คน ขณะที่รายได้ของผู้หญิงสำหรับการนอนค้างกับแขกคืนหนึ่ง
100 เหรียญมาเลเซีย
สำหรับย่านที่ผู้หญิงไทยไปขายตัวกันมากในมาเลเซียนั้นอยู่ที่ ฉี่นี่หงษ์
ย่งเซ้ง กิมเฟย และกัมซังกก (ทั้งหมดอยู่ในกัวลาลัมเปอร์) และที่สิงคโปร์อยู่ที่
โปกี่ปันยัง มารินโฮเตล กตันยี และจงล้ง อินเตอร์ ผู้หญิงเหล่านี้ถ้าโชคเป็นของเธอไม่ถูกเจ้าของซ่องทรมาน
มีโอกาสไปขายตัวในญี่ปุ่นหรือเยอรมันก็มีโอกาสทำเงินได้มากขึ้น แต่ถ้าโชคร้ายถูกตำรวจมาเลเซียจับได้ก็ต้องรับกรรมอย่างหนัก
ซึ่งบางทีคนที่แจ้งตำรวจมาจับก็คือเจ้าของซ่องนั่นเอง
จุดส่งผู้หญิงไทยไปค้าตัวในต่างแดนของแก๊งค้าประเวณีเหล่านี้มีด้วยกัน
3 เส้นทางใหญ่คือ
หนึ่ง-ผ่านไปทางปาดังเบซาร์ ถ้าเป็นแก๊งใหญ่หน่อยก็จะไปโดยรถยนต์จนถึงกัวลาลัมเปอร์
แต่ถ้าเป็นแก๊งเล็ก ๆ ก็จะซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์เข้าไปในสวนยาง แล้วต้องเดินป่าอย่างน้อย
1 วัน 1 คืน จึงจะมีคนมาเลเซียมารับไป
สอง-ผ่านทางสุไหง-โกลก ถ้าเข้าทางสายนี้ส่วนมากต้องใช้หนังสือเดินทาง ซึ่งก็เป็นหนังสือเดินทางปลอมทั้งสิ้น
คนที่จะทำงานผ่านสายนี้ได้ต้องเป็นนายทุนเงินหนาที่สามารถซื้อตัวเจ้าหน้าที่ได้ไม่เช่นนั้นก็ยากที่จะปล่อยผู้หญิงเข้าไปในมาเลเซียได้
สาม-ออกทางทะเลไปสตูล จะไปลงเรือที่สตูลแล้วนั่งเรือไปประมาณ 1 ชม. จะถึงเกาะแห่งหนึ่งมีคนมาเลเซียมาคอยรับ
พวกที่ไปทางนี้บางทีเจอเรือตำรวจตรวจการมาเจอก็จะหลีกเลี่ยงกันว่า "มาเที่ยวเกาะ"
พวกมันทำกันอย่างนี้และปั่นเงินกันได้เดือนหนึ่ง ๆ อย่าว่าเป็นสิบ ๆ ล้านเลย
ขึ้นหลักร้อยล้านบาทก็ยังเป็นไปได้ ซึ่งทำให้นักธุรกิจเจ้าของสถานบริการบางแห่งในหาดใหญ่ถึงกับโดดลงมาสนับสนุนอย่างเต็มที่
นอกจากนี้เศรษฐีใหม่บางกลุ่มในหาดใหญ่ยังมีการทำธุรกิจผิดกฎหมายในรูปอื่น
ๆ อีกเช่น กิจการแลกเปลี่ยนเงินตราหรือโพยก๊วน ซึ่งแก๊งนี้โยงใยใหญ่มากถึงในมาเลเซียและสิงคโปร์
เพราะการทำโพยก๊วนนี้เองที่ทำให้อดีตคนขับรถเครื่องคนหนึ่ง พลิกตัวเองมาเป็นเจ้าของโรงแรมชั้นหนึ่งขนาดใหญ่ที่มีชื่อของตัวเองเป็นชื่อถนนได้ในเวลาไม่กี่ขวบปี
และเมื่อไม่นานนักผู้จัดการโรงแรมชั้นหนึ่งคนหนึ่งถูกเจ้าหน้าที่ศุลกากรจับได้ฐานมีเงินเถื่อนอยู่ในกระเป๋าถึง
60 ล้านบาท แต่เพราะมีเส้นสายดีจึงหลุดจากคดีมาได้ ผู้จัดการโรงแรมคนนี้กล่าวกันว่ามีศักดิ์ศรีเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเจ้าของตึกกระจกย่านพัฒน์พงศ์ด้วย
"พวกเราพลาดไปเองคิดว่าหลักฐานจะมัดเขาได้ แต่เมื่อเขาสู้บวกกับผู้ใหญ่ช่วยเหลือจึงหลุด"
เจ้าหน้าที่ศุลกากรคนหนึ่งบอก
การขยายตัวของแก๊งมาเฟียในหาดใหญ่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของสังคมอย่างสูง
ในวันนี้ผลประโยชน์ที่ยังไปกันได้อาจทำให้คนพวกนี้สมัครสมานรักใคร่กันอยู่
แต่เมื่อวันหนึ่งในข้างหน้าที่การค้าขยายใหญ่มากขึ้น กิเลสตัณหาที่อยากเป็น
"เจ้าพ่อ" "เจ้าแม่" เพียงหนึ่งเดียวเกิดขึ้น ใครบ้างที่จะให้หลักประกันได้บ้างว่า
เสียงปืนและคาวเลือดจะไม่ดังขึ้น!!!
ก่อนถึงวันนั้นใครเล่าจะหยุดคนพวกนี้!?