Search Resources
 
Login เข้าระบบ
สมัครสมาชิกฟรี
ลืมรหัสผ่าน
 
  homenewsmagazinecolumnistbooks & ideaphoto galleriesresources50 managermanager 100join us  
 
 


bulletToday's News
bullet Cover Story
bullet New & Trend

bullet Indochina Vision
bullet2 GMS in Law
bullet2 Mekhong Stream

bullet Special Report

bullet World Monitor
bullet2 on globalization

bullet Beyond Green
bullet2 Eco Life
bullet2 Think Urban
bullet2 Green Mirror
bullet2 Green Mind
bullet2 Green Side
bullet2 Green Enterprise

bullet Entrepreneurship
bullet2 SMEs
bullet2 An Oak by the window
bullet2 IT
bullet2 Marketing Click
bullet2 Money
bullet2 Entrepreneur
bullet2 C-through CG
bullet2 Environment
bullet2 Investment
bullet2 Marketing
bullet2 Corporate Innovation
bullet2 Strategising Development
bullet2 Trading Edge
bullet2 iTech 360°
bullet2 AEC Focus

bullet Manager Leisure
bullet2 Life
bullet2 Order by Jude

bullet The Last page


ตีพิมพ์ใน นิตยสารผู้จัดการ
ฉบับ มกราคม 2531








 
นิตยสารผู้จัดการ มกราคม 2531
"พลิกปูมเศรษฐีใหม่กับความเถื่อนBEHIND THE MAKING OF HAT YAI"             
โดย ไพโรจน์ จันทรนิมิ
 

   
related stories

"เศรษฐีเก่าหาดใหญ่ อนาคตที่ยังไม่มีคำตอบ?"

   
www resources

โฮมเพจ จังหวัดสงขลา

   
search resources

Hatyai
Social




อภิสิทธิ์ที่พวกนี้มีอยู่มากในมือโดยที่ราษฎรเต็มขั้นเป็นผู้จ่ายผ่านความพิกลพิการของกฎเกณฑ์ทางสังคมในราคาแพงลิบลิ่วนั้น มันก็คือพื้นฐานของกฎหมาย "เถื่อน" ที่ทำให้คนที่ทำธุรกิจเถื่อน ๆ ในเมืองหาดใหญ่เปล่งรัศมีอย่างน่าครั่นคร้าม พวกนี้อาจกระตุ้นความรุ่งเรืองมาสู่หาดใหญ่ แต่เงาของปีศาจร้ายของพวกนี้นั้นใครจะรับประกันถึงความไม่มีอันตรายต่อสังคม!!!

ลำพังแค่ฐานะเมืองชายแดนที่การคมนาคมทุกสายทุกทางพุ่งไปถึง ไม่น่าจะเป็นบทสรุปที่เชื่อถือได้สนิทใจนักว่า "หาดใหญ่ที่มีสภาพเป็นเมืองหลักทางธุรกิจแห่งหนึ่งเป็นเพราะตัวของมันเอง"

ครึ่งศตวรรษของการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกินคาดคิดเช่นนี้เป็นเรื่องน่าฉงนสนใจไม่น้อยว่า "เบื้องหลังเบื้องลึกของอัตราเร่งความก้าวหน้าแท้จริงนั้นคืออะไรกัน"!??

ความแปลกแยกของหาดใหญ่ที่แตกต่างไปจากสังคมอื่น ๆ ประการหนึ่งคือว่า พัฒนาการของประวัติศาสตร์ธุรกิจแทนที่จะถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบแบบแผนตามขั้นตอนที่ความรุ่งเรืองต่าง ๆ ควรถูกกำหนดโดยกลุ่มและชนชั้นดั่งเดิมที่เป็นผู้สร้างเมืองซึ่งสายของคนเหล่านี้ต่างมีอดีตเป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่ทั้งสิ้น การณ์กลับสลับเปลี่ยนเป็นฐานะและความเป็นไปบนเส้นทางธุรกิจปัจจุบันล้วนอยู่ในเงื้อมเงาของ "เศรษฐีใหม่" ที่อาศัยความกล้าได้กล้าเสียทุกรูปแบบ ผสมผสานไหวพริบและรูรั่วของกฎเกณฑ์ทางสังคมเพาะบ่มความร่ำรวยขึ้นมาในระยะเวลาไม่กี่ขวบปี

หรือว่านั่นจะเป็นกุญแจดอกสำคัญของความสำเร็จทั้งมวลในหาดใหญ่!!??

เมื่อสิ้นปีงบประมาณ 2528 รัฐบาลเคยมีรายได้จากการจัดเก็บภาษีอย่างสุจริตในเขตเมืองหาดใหญ่สูงถึง 130 ล้านบาทเศษ นับเป็นอันดับ 1 (ไม่นับกรุงเทพฯ) ซึ่งนี่เป็นเพียงการประเมินรายได้จากธุรกิจที่ถูกกฎหมายเท่านั้น ยังไม่รวมถึงการค้านอกระบบที่คาดว่าสูงกว่านี้หลายเท่าตัว และประเมินกันคร่าว ๆ ว่า แต่ละปีมีเงินหมุนเวียนเพื่อการลงทุนในเมืองนี้ไม่น้อยกว่า 50,000 ล้านบาทเศษ

ใครกำหนด?

หาดใหญ่จากเมืองรกร้างว่างเปล่าถึงเวทีประลองยุทธ์ที่ชุ่มโชก หากจะแบ่งสถานภาพทางสังคมของกลุ่มคนที่มีบทบาทต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกคว่ำคะมำหงาย คงมีด้วยกัน 3 กลุ่มคือ

หนึ่ง-กลุ่มทายาท 4 ตระกูลผู้บุกเบิกเมืองหาดใหญ่คือ

ตระกูลจิระนคร (เจียกีซี)

ตระกูลสุคนธหงส์ (พระเสน่หามนตรี)

ตระกูลซี (ซีกิมหยง)

และตระกูลอรรถ (พระยาอรรถกระวีสุนทร) 4 สายนี้ เดิมทีมั่งคั่งด้วยทรัพย์สินศฤงคารเหลือคณานับโดยเฉพาะ "ที่ดิน" ซึ่งรวมกันแล้วกินเกือบทั่วเมือง แต่สถานะในปัจจุบันกลับลดบทบาทลงไปมาก พร้อม ๆ กับรอวันเวลาของการต่อสู้ครั้งสุดท้ายหรือไม่ก็เดินลงจากเวทีประวัติศาสตร์ไปอย่างเงียบสงบ!?

สอง-กลุ่มเศรษฐีกลางเก่า-ใหม่ ส่วนใหญ่พวกนี้จะเป็นลูกน้องเก่าของคนกลุ่มแรกที่สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาในระยะเวลาที่หาดใหญ่ขยายตัวอย่างสุดขีดเมื่อ 15-20 ปีก่อน หรือไม่ก็เป็นคนต่างถิ่นที่อพยพเข้ามาแสวงโชคอาทิเช่น

ตระกูลประธานราษฎร์นิกร-เดิมทีเป็นนายทุนเงินกู้รายใหญ่ของสงขลาที่ทำให้เกิดคำเปรียบเปรยว่า "คนหาดใหญ่นั่งรถเก๋งไปกู้เงินคนสงขลา แต่คนสงขลานั่งรถไฟมาเก็บดอกเบี้ยคนหาดใหญ่" สายนี้เข้ามาเป็นเอเยนต์ขายน้ำมันเอสโซ่รายแรก ทั้งยังมีกิจการรับซื้อแร่และยางพาราที่ไปได้ไม่ดีนักเนื่องจากถูกแรงบีบจากกลุ่มทุนต่างชาติอย่าง "เต๊กบี้ห้าง" (พ่อค้าสิงคโปร์) ซึ่งเป็น 1 ในผู้นำ 5 เสือยางปักษ์ใต้ (เรื่องของเต๊กบี้ห้างที่กำลังทอแสงโชติช่วงอีกครั้งในขณะนี้ "ผู้จัดการ" จะเขียนถึงอีกครั้ง)

ตระกูลโกวิทยา-สายนี้เป็นคนมาจากเมืองสายบุรี ปัตตานี เริ่มต้นจากเป็นตัวแทนขายรถยนต์ เชฟโรเลท ขายยางแอลฟัลต์ แล้วเปลี่ยนมาเป็นขายโตโยต้า ฮอนด้า จนล่าสุดขายอีซูซุอีกด้วย ปัจจุบันมีกิจการที่รู้จักกันดีในนาม "พิธานพาณิชย์" กลุ่มนี้มีความเป็นเอกภาพและประสบความสำเร็จอย่างสูง แทบจะเรียกได้ว่า "ผู้ยิ่งใหญ่ของปักษ์ใต้" เพราะมีกิจการคลุมไปเกือบทั่ว 14 จังหวัดภาคใต้

ตระกูลพงษ์พานิช-สายนี้มีความใกล้ชิดกันมากกับตระกูลอรรถกระวีสุนทรเพราะเป็นหุ้นส่วนกันในธนาคารนครหลวงไทย ธุรกิจของกลุ่มนี้ไม่มีอะไรโดดเด่นมากนัก เพียงยังถือครองสภาพของการเป็นเจ้าของที่ดินและห้องเช่าไว้ได้อย่างเหนียวแน่น

ตระกูลเลขะกุล-สร้างตัวขึ้นมาจากร้านโชห่วยเล็ก ๆ ประเภทเครื่องเขียน แล้วขยายตัวเองออกไปทำกิจการรถโดยสารประจำทาง โรงพิมพ์ เอเยนต์ ปตท. รับซื้อยาง ในแง่ชื่อเสียงและความดังอาจไม่หวือหวา ทว่าพูดถึงความรวยกันจริง ๆ แล้วกลุ่มนี้ไม่เป็นรองใครในภาคใต้?

ตระกูลลาภาโรจน์กิจ-กลุ่มนี้จัดเป็นสัญลักษณ์ของการทำธุรกิจสมัยใหม่ มีบุญเลิศ ลาภาโรจน์กิจ ซึ่งเป็นประธานหอการค้า จ. สงขลา คนปัจจุบันเป็นหัวเรือ บุญเลิศย้ายตัวเองพร้อมกับน้อง ๆ มาจากนราธิวาสเมื่ออายุ 28 ปีด้วยเงินในมือ 3 ล้านบาท (ในปี 2510) 20 กว่าปีที่เขาเป็นตัวแทนขายรถซูซูกิในนาม "บริษัทบ้านซูซูกิ" เขาโตและรวยชนิดพลิกกลับเลยทีเดียว "บ้านซูซูกิ" ในวันนี้ยังขยายตัวไม่หยุดหย่อนและเขาก็ยังเป็นตัวแทนเครื่องไฟฟ้าซันโยทั่ว 14 จังหวัดภาคใต้อีกด้วย

นอกจากนี้แล้วในกลุ่มนี้ยังมีเศรษฐีเก่าในจังหวัดอื่น ๆ ที่เริ่มรุกคืบความแข็งกร้าวเข้ามาในหาดใหญ่แล้วในขณะนี้รวมอยู่ด้วย เช่น กลุ่มบุญสูง และกลุ่มงานทวี จากภูเก็ต

จุติ บุญสูง ได้ซื้อที่ดินด้านคลองเตยต่อจากสุริยน ไรวา ผู้ก่อตั้งธนาคารเกษตร (อ่านเพิ่มเติม เรื่องสุริยนได้ใน "ผู้จัดการ" ฉบับเดือนตุลาคม 2530) จำนวน 60 ไร่เมื่อ 30 ปีมาแล้ว และได้สร้างตึกแถว 4-5 คูหาริมถนนเพชรเกษมไว้ให้คนเช่า จากนั้นก็ไม่ได้พัฒนาอะไรอีกเลย กระทั่งประมาณ 8 ปีที่ผ่านมานี้ ประยงค์ บุญสูง ทายาทคนหนึ่งของจุติ เริ่มมองเห็นศักยภาพของหาดใหญ่มากขึ้น จึงได้ลงทุนสร้างอาณาจักรบุญสูงขึ้นที่นี่ซึ่งมีทั้งโรงภาพยนต์ โรงแรมเจบี และศูนย์การค้า ด้วยงบที่ไม่น้อยกว่า 400 ล้านบาท บริเวณที่ตั้งอาณาจักรบุญสูง เป็นที่คาดหมายว่าจะเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งใหม่ในระยะอันใกล้นี้

ส่วน "งานทวี" เดินทางสู่หาดใหญ่ด้วยแนวคิดของถวัลย์ วงศ์สุภาพ ทายาท "ขบถ" (เขาเป็นทายาทคนเดียวที่ปฏิเสธนามสกุลงานทวี) ด้วยการตั้งบริษัทถึง 6 แห่ง คือ บริษัทพี่น้องงานทวี บริษัทยางไทยทวี บริษัทปาล์มไทยพัฒนา บริษัททักษิณคอลเกต ซึ่งธุรกิจเหล่านี้อยู่ในพื้นที่ของศูนย์การค้าบุญสูง

จังหวะการรุกบดบี้ของสองกลุ่มต่างถิ่นที่สยายความยิ่งใหญ่ของตัวเองเข้าสู่หาดใหญ่ น่าที่จะเป็นดัชนีชี้ให้เห็นถึงเค้าโครงการเปลี่ยนแปลงบางอย่างได้เป็นอย่างดี แน่นอนล่ะว่าทุนต่างถิ่นที่จะเข้ามานั้นคงไม่หยุดเพียงแค่สองกลุ่มนี้ โดยเฉพาะปัจจุบันน่าจับตามองกลุ่มนักลงทุนชาวจีนในมาเลเซียที่โดนแรงบีบจากรัฐบาลมาเลเซียจนไม่เป็นอันทำมาหากิน เดี๋ยวนี้คนเหล่านี้เริ่มเข้ามาในหาดใหญ่และภาคใต้กันมากขึ้นแล้ว หลายรายเข้าไปซื้อหุ้นกิจการบางแห่งไว้แล้วด้วย กลุ่มคนพวกนี้น่ามองจริง ๆ!!!

สาม-กลุ่มเศรษฐีใหม่ที่นับวันยิ่งสะสมอิทธิพลและบารมีทางเศรษฐกิจมากขึ้น ๆ กลุ่มคนพวกนี้ส่วนมากเป็นคนจีนมาจากมาเลเซีย นราธิวาส นครศรีธรรมราช พัทลุง และสุราษฎร์ธานีที่ย้ายมาตั้งหลักแหล่งในหาดใหญ่ แรกทีเดียวพวกนี้ยังต้องพึ่งใบบุญของคนกลุ่มที่สองเป็นหลัก แต่ในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา ด้วยปฏิภาณไหวพริบที่มองเห็นช่องโหว่ของกฎเกณฑ์สังคมบางอย่าง ด้วย "เงิน" พวกนี้ได้โปรยหว่านเพื่อซื้อ "ใจ" ใครหลาย ๆ คนที่คุมกฎให้เปิด "ไฟเขียว" ทางการค้าที่ราบรื่นยิ่งขึ้น ซึ่งก็ไม่นานนักพวกเขาก็อหังการ์และลอยนวลได้อย่างแนบเนียนไม่มีที่ติ!!!

ก่อนหน้าที่พวกนี้จะเข้ามา หาดใหญ่ยังมีสภาพเป็นเมืองที่เคลื่อนไหวองคาพยพไปตามฐานะของตนเองโดยแท้จริง ไม่ถึงกับอึกทึกครึกโครมมากนักมีกิจการผิดกฎหมายเล็กน้อยเท่านั้น แต่หลังจากคนชุดนี้มาถึงธุรกิจผิดกฎหมายที่ซื้อ "ใจ" ใครหลายคนได้แล้วนั้นกลับฟูฟ่องอย่างผิดหูผิดตา หาดใหญ่กลายเป็นชุมทางของความ "เถื่อน" ในหลายรูปแบบ แน่ล่ะว่าเงินกว่า 50,000 ล้านบาทที่สะพัดในแต่ละปี 3 ใน 4 ล้วนเป็นผลพวงของธุรกิจเหล่านี้อย่างช่วยไม่ได้??

จริงอยู่ที่ว่าร่มธงของคนพวกนี้ที่จำบังธุรกิจผิดกฎหมายสร้างฐานะด้านหนึ่งจะเป็นการเอื้อพยุงให้สังคมหาดใหญ่รุ่งเรืองรวดเร็วยิ่งขึ้นก็ตามทีนั้น ในอีกด้านหนึ่งย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ว่าการขยายตัวที่ยังคงเป็นไปอย่างเงียบ ๆ แต่ใหญ่ขึ้นทุก ๆ วันของกลุ่มนี้ย่อมมีอันตรายอย่างมากต่อส่วนรวมเช่นกัน!!

"ผมยอมรับว่าหาดใหญ่โตขึ้นเพราะของเถื่อน ๆ 4 อย่างจริง ๆ คือ สินค้าเถื่อน บ่อนเถื่อนยาเสพติดเถื่อน และค้าประเวณีเถื่อน มันเป็นความจริงที่ปฏิเสธกันไม่ได้ เงินจากธุรกิจเหล่านี้ปีหนึ่ง ๆ เป็นพันล้าน คนพวกนี้เห็นหน้ากันก็ร้องอ๋อได้เลยว่าเขาทำอะไร" พ่อค้าคนหนึ่งคุยกับ "ผู้จัดการ"

เถื่อนหนึ่ง

ในปี 2528-29 สถิติคดีอาชญากรรมทำร้ายร่างกายเรื่อยไปจนถึงการปลิดชีพอย่างโหดร้ายทารุณในเขตเมืองหาดใหญ่เฉลี่ยแล้วถึงวันละคดี จากการสอบสวนและติดตามเรื่องราวอย่างใกล้ชิดของเจ้าหน้าที่ที่เอางานอย่างจริง ๆ จัง ๆ พบสาเหตุใหญ่มาจาก "ความแค้นในบ่อนการพนัน"

ไม่กี่ปีมานี้หน้าหนังสือพิมพ์ทั้งส่วนกลางและภาคใต้ลงข่าว "ฆ่าโหดเหี้ยมเจ้าของโรงแรมชื่อดังแห่งหนึ่งในหาดใหญ่ที่เป็นเจ้าของบ่อนชื่อดังด้วย" เนื้อหาของการฆ่าไม่มีอะไรมากไปกว่า "ทหารกลุ่มหนึ่งเข้าไปเล่นเสียในบ่อนพนันแห่งนี้แล้วจำนำปืน 11 มม. เอาไว้ เมื่อมาไถ่คืนเห็นว่าโดนโก่งราคาก็เลยโก่งไกปืนดับเจ้าของบ่อน"

เนื้อหาของคดีต่าง ๆ มีสาระอยู่แค่นี้จริง ๆ หากแต่เบื้องลึกของมันบ่งชี้ให้เห็นว่าหาดใหญ่นั้นก็เป็นชุมทางบ่อนการพนันขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศ ซึ่งก็มีทั้ง "บ่อนหลัก" และ "บ่อนวิ่ง" จนนับจำนวนไม่ถ้วน บ่อนเหล่านี้เปิดรับนักพนันทั้งในและนอกประเทศ "สี่ห้าปีก่อนมีมากจริง ๆ พ่อค้าคนจีนจากมาเลเซีย สิงคโปร์ ที่เข้ามานั้นจุดประสงค์หลักนอกจากพักผ่อนแล้วก็มาเพื่อเล่นการพนัน" คนที่ติดตามเรื่องนี้มาตลอดบอกให้ฟัง

บ่อนการพนันที่เป็น "บ่อนหลัก" ใหญ่ ๆ ในหาดใหญ่จะซุกตัวเองอยู่ตามโรงแรมและสถานเริงรมย์ต่าง ๆ บางเอเยนซี่ทัวร์ยังรับเป็นนายหน้าแนะนำนักพนันด้วยเลยว่าบ่อนไหนเชื่อใจและวางใจได้ กล่าวกันว่ารายจ่ายที่แต่ละบ่อนจ่ายให้กับคนในเครื่องแบบบางคนบางกลุ่มว่ากันด้วยเลข 5 หลักขึ้นไปโดยมีมาตรฐานต่ำสุด 50,000 บาท อาจเป็นเพราะรายได้ที่งดงามเช่นนี้กระมังถึงกับทำให้การปราบปรามบ่อนการพนันจึงจำเป็นต้องใช้หน่วยปฏิบัติการพิเศษลงไปลุยเสียเอง

บ่อนการพนันที่เคยติดอันดับในเมืองหาดใหญ่ก็มี

หนึ่ง-"บ่อนทุ่งเสา" นายบ่อนคือกำนันวร ทวีรัตน์ (ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว) บ่อนนี้คึกคักมากในอดีตเนื่องจากชื่อเสียงและบารมีของตัวกำนันวรเป็นหลักค้ำประกันที่ดี แต่ภายหลังกำนันเสียชีวิตและมีข่าวว่าญาติคนหนึ่งเข้ามาดูแลแทน กิจการซบเซาลงไปบ้าง แต่ก็พอประคองตัวรอดไปได้ เพราะยังมีนักเล่นที่มีสายสัมพันธ์กันดีเป็นลูกค้าประจำ

บ่อนนี้กล่าวกันว่าเสียเงินค่าคุ้มครองถึงเดือนละ 100,000 บาท!!!

กำนันวรนั้นมีคนสนิทที่รู้ใจกันดีคนหนึ่งคือเคร่ง สุวรรณวงศ์ นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองหาดใหญ่ คนปัจจุบัน คนสนิทของเคร่งบอกว่า "คุณเคร่งกับกำนันวรยิ่งกว่าปาท่องโก๋และหลายคนครหาว่าเคร่งเป็นมาเฟีย!"

แต่คำตอบของเคร่งที่บอกกับหลาย ๆ คนน่าจะเป็นสิ่งไขข้อข้องใจได้ดี เคร่งบอกว่า "ถ้าผมเป็นมาเฟีย ผมคงไม่อยู่มาจนถึงวันนี้"!?

เคร่งเป็นเชื้อไขหาดใหญ่โดยกำเนิด ครอบครัวของเขาเป็นชาวสวนฐานะปานกลาง เคร่งเป็นลูกคนที่ 3 พี่คนหนึ่งของเขาคือครั่ง สุวรรณวงศ์ ก็เป็นประธานสภาจังหวัดสงขลา เขาเรียนจบแค่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จากโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย แล้วออกมาประกอบอาชีพส่วนตัวที่รู้กันดีว่าเป็น "พ่อค้าวัว" จากนั้นจึงกระโจนสู่ธุรกิจบันเทิง โรงแรม คนสนิทของเขาบอกว่า เคร่งมีหุ้นส่วนอยู่ในโรงแรมอินทรา และโรงแรมมายเฮาส์ เขาได้รับปริญญารัฐศาสตร์มหาบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จากธรรมศาสตร์ เมื่อปี 2523 ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลและเป็นเทศมนตรีครั้งแรกเมื่อปี 2500 กระทั่งเป็นนายกฯ เมื่อปี 2516-ปัจจุบัน

"ผมเชื่อว่าคุณเคร่งแกไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในบ่อนกำนันวรแน่ เขาอาจเป็นเพียงคนสนิทกันเท่านั้น" คนที่รู้จักเคร่งดีบอกกับ "ผู้จัดการ"

สอง-บ่อนโรงแรมคิงส์ บ่อนนี้ในอดีตดังมาก มีนักพนันจากต่างประเทศเข้าไปเล่นกันเป็นประจำมีเผชิญ ลีลาภรณ์ เป็นนายบ่อน แต่ตอนหลังเผชิญไปมีเรื่องกับทหารกลุ่มหนึ่งที่เข้ามาเล่นเสียแล้วนำปืนไปจำนำ เมื่อมาไถ่คืนไม่พอใจว่าโดนโก่งราคาจึงยิงเผชิญตายจากนั้นมาบ่อนนี้จึงเงียบเหงาลงไปมาก

"เมื่อก่อนนั้นเรามีบ่อนจริง แต่ตอนนี้ไม่ทำแล้ว" ชาญ ลีลาภรณ์ นายกสมาคมโรงแรมหาดใหญ่ น้องชายที่มาบริหารงานแทนบอกกับ "ผู้จัดการ" ในเรื่องนี้อย่างเรียบ ๆ

ชาญเข้ามาสานงานในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เขาเกิดที่สงขลา สำเร็จการศึกษาจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยบุคลิกเขาแตกต่างจากพี่ชายมาก เขาดูเป็นคนนิ่มในทีสนใจที่จะเอาตัวเองเข้าไปผูกพันกับงานสังคม เคยเป็นนายกโรตารี่ เคยนำสมาชิกสมาคมโรงเรียนบอยคอตไม่ซื้อ "โค้ก" มาขายจนถึงทุกวันนี้ เขายังเป็นเจ้าของปั๊มน้ำมันอีก 2 แห่ง บริษัทไทยนำและบุตร โรงพิมพ์และบ่อตกปลา ปกติถ้ามีเวลาว่างพอมักจะพาครอบครัวไปเที่ยวปีนังหรือไม่ก็กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย

บางกระแสข่าวบอกว่าเขามีรายได้หลังจากการเล่นหวยใต้ดินแต่ละงวดเป็นเงินหลายแสนบาท ชาญยังมีน้องชายอีกคนหนึ่งคือโชติ ลีลาภรณ์ ที่ค่อนข้างจะเก็บตัวเงียบซึ่งว่ากันว่าโชติรับงานบางอย่างของเชิญมาสานต่อ ชาญยังมีความสนิทสนมกับนักการเมืองระดับชาติหลายคนอาทิอุทัย พิมพ์ใจชน เขาบอกว่าเขาจะไม่ยอมเอาชื่อเสียงเข้าไปพัวพันเรื่องเหล่านี้เป็นอันขาด เพราะจุดหมายที่กำหนดไว้ต้องการจะเล่นการเมือง

สาม-บ่อยตรงข้ามโรงแรมโฆษิต นายบ่อนมีชื่อย่อว่า "ด" อาชีพบังหน้าทำเกี่ยวกับแฟชั่นเสื้อผ้าและมีหุ้นอยู่ในบาร์แห่งหนึ่งที่บนชั้นสองของบาร์ห้ามนักท่องเที่ยวที่เป็นคนไทยขึ้นไปดู "ผมพยายามพูดภาษาอังกฤษแล้วไอ้คนคุมบาร์มันยังไม่เชื่อ" แหล่งข่าวคนหนึ่งบอกกับ "ผู้จัดการ"

บ่อนนี้จัดอยู่ในประเภทดาวรุ่ง เส้นสายกับทางเจ้าหน้าที่เป็นไปอย่างราบรื่น โดยผ่านบรรดาพวกคุณนายเจ้าหน้าที่เหล่านั้นที่ชอบการแต่งตัวเป็นสะพานเข้าไปขอความคุ้มครองเจ้าของบ่อนแห่งนี้ เป็นนักธุรกิจที่เพิ่งเริ่มเกิดอย่างเต็มตัวเมื่อไม่นานมานี้ เป็นคนที่จ่ายไม่อั้นเหมือนกัน

ราคาค่าคุ้มครองบ่อนนี้ไม่มากนักกล่าวกันว่าแค่เดือนละ 50,000 บาท!!!

สี่-บ่อนของนาย "ช" ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่แห่งหนึ่งในหาดใหญ่ และเป็นเจ้าของตลาดที่ดินแห่งหนึ่งของเขาประมาณครึ่งไร่ที่ขายให้สถาบันการเงินแห่งหนึ่ง มีราคาสูงถึง 10 ล้านบาท "ช" ยังเป็นเจ้าของตึกธุรกิจขนาดใหญ่ย่านสีลม-สุรวงศ์ในกรุงเทพฯ อีกด้วย ซึ่งเป็นผลพลอยได้มาจากการค้าทั้งในและนอกรูปแบบที่หาดใหญ่เป็นสำคัญ

เดิมที "ชู" เป็นพ่อค้าจีนที่มาจากปัตตานี เข้ามาตั้งร้านโชห่วย แล้วขยับทำกิจการเดินรถขนส่งน้ำมันหาดใหญ่-มาเลเซีย จนมีทุนรอนทำธุรกิจผูกขาดยางให้กับทางราชการ แล้วไปเป็นเอเยนต์ขายน้ำมันเชลล์ ปกติแต่ละปีเขาต้องทำทานกับคนยากคนจนในหาดใหญ่

บ่อนพนันของเขาได้รับการยกย่องว่าใหญ่ที่สุดในภาคใต้ และเขาก็เป็นเจ้ามือที่ทำเงินจากการเล่นพนันครั้งหนึ่ง ๆ ได้ไม่น้อยกว่า 10-20 ล้านบาท ที่กรุงเทพฯ นอกจากบ้านพักอันอัครฐานสมฐานะเศรษฐีแล้ว แม้แต่ห้องทำงานของเขาบนตึกสูงยังต้องควบคุมด้วยกลไกนิรภัยที่สั่งเข้ามาเป็นพิเศษ ขนาดเคยมีคนหลงไม่รู้ว่าจะเข้าห้องเขาได้อย่างไรมาแล้ว ต้องให้ยามมากดปุ่มสัญญาณที่ซ่อนเอาไว้จึงเข้าไปได้

บ่อนของ "ช" เรื่องค่าคุ้มครองเมื่อเทียบขนาดกับบ่อนอื่น ๆ แล้วของเขาจ่ายน้อยมาก อาจเป็นเพราะบารมีคับเมืองที่เขามีอยู่ก็เป็นได้ และมีข่าวล่าสุดว่าเดี๋ยวนี้ "ช" ได้ทุ่มเงินกว้านซื้อที่ดินบริเวณสะพานแขวนไว้แล้วอย่างมากมาย ชื่อของเขาถ้าบอกกันเต็ม ๆ เป็นต้องร้องอ๋อกันไปเลย!!!

นอกจาก "บ่อนหลัก" ใหญ่ ๆ เหล่านี้แล้ว ทั้งในอดีตและปัจจุบัน หาดใหญ่ยังมีบ่อนขนาดเล็กและบ่อนวิ่งที่ตั้งอยู่รอบนอกเมืองอีกมากมาย บ่อนวิ่งที่สำคัญก็มักอยู่ตามโรงแรมใหญ่ ๆ ซึ่งพวกนี้ไหวตัวกันอย่างรวดเร็วจนเจ้าหน้าที่เองตามแทบไม่ทัน!?

ไม่นับบ่อนอิทธิพลในกรุงเทพฯ แล้วนั้น เจ้าหน้าที่คนหนึ่งยังยอมรับว่า เห็นจะมีก็แต่ในหาดใหญ่นี่ล่ะที่พอจะสู้ได้ และถ้าเทียบกำลังเงินที่เล่นกันแล้วอาจมากกว่าด้วยซ้ำไป เพราะนักพนันที่นี่ส่วนมากเป็นพ่อค้าและนักธุรกิจชื่อดังทั้งไทยและต่างประเทศขึ้น-ลงไปเล่นกันเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะช่วงวันเสาร์-อาทิตย์

เถื่อนสอง

ขบวนการ "ซิซิเลี่ยน คอนเนคชั่น" และ "แก๊งมาร์เซย์" รู้จักกันดีในฐานะมาเฟียนักค้ายาเสพติดระดับโลกที่ ดีอีเอ. (ดรั๊กเอนฟอร์ซเมนท์ เอเยนซี่ หรือองค์การปราบปรามยาเสพติดอเมริกา) เคยคำนวณว่าแก๊งนี้มีรายได้จากการขายยาในอเมริกาและยุโรปประมาณปีละ 400 พันล้านบาท

นิตยสาร "อิล มอนโด" ในอิตาลีเคยระบุว่า บริษัทมาลา อินดัสตรี และบริษัทคามอรา ของมาเฟียใหญ่ในเนเปิ้ลมีรายได้จากการแอบขายยาเสพติดถึงปีละ 6,740 พันล้านบาท หรือเทียบเท่ากับ 4% ของรายได้ประชาชาติอิตาลี!!!

ถัดเข้ามาอีกนิดไม่ว่าจะเป็นโรงผลิตยาขนาดใหญ่ของ "ซิซิเลี่ยน คอนเนคชั่น" ที่ตั้งอยู่ในเมืองปาแลร์โม หรือโรงงานของมาลาและคามอรา ในอิตาลี สายลำเลียงวัตถุดิบแห่งใหญ่เพื่อป้อนเข้าสู่โรงงานเหล่านี้เชื่อกันว่า ส่วนหนึ่งไปจากสามเหลี่ยมทองคำในเมืองไทย สถานที่ที่ปลูกฝิ่นดีที่สุดในโลก!!!

ในบ้านเราก็ตามทีเถอะ หากสำรวจกันอย่างละเอียดถี่ถ้วนจะพบว่า บรรดาเศรษฐีมีเงินทั้งหลายหรือคนในเครื่องแบบที่ร่ำรวยอย่างผิดสังเกตนั้น ส่วนใหญ่ล้วนแต่ผูกพันกับขบวนการค้ายาแทบทั้งสิ้น และนี่เป็นคำตอบที่ดีว่า "เราคงต้องเล่นมอญซ่อนผ้าตามจับตามปราบกันต่อไปไม่มีวันสิ้นสุด หรือไม่ก็รอให้งบประมาณก้อนสุดท้ายงวดลงไปแล้วปล่อยให้ปิศาจร้ายนี้เข้าครอบงำอย่างแท้จริง"

"ผู้จัดการ" ทราบว่าแม้บ้านหินแตกซึ่งเคยเป็นที่ตั้งกองกำลังขุนส่าหรือจางซีฟู ยอดนักค้ายาชื่อก้องที่เคยมีค่าหัวหลายล้านบาทจะถูกทหารไทยตีแตกไปแล้วในปี 2525 นั้นหาใช่จะสลายขบวนการผลิตยาเพื่อป้อนสู่ตลาดโลกของเขาไปได้ไม่ ได้มีการย้ายแหล่งผลิตเข้าไปอยู่ในรัฐฉานของพม่า ซึ่งบางส่วนก็อยู่ชิดพรมแดนไทยตรงบ้านเล่าล่อใจ-ดอยแซง-ดองผางมี-ดอยม่านทอง เขต จ. เชียงรายและแม่ฮ่องสอน

เส้นทางลำเลียงยาเสพติดสายสำคัญสายหนึ่งของขุนส่าก็คือเมืองมัณฑะเลย์-ตองอู-มะละแหม่ง-ร่างกุ้ง-ระนอง (ไทย) ซึ่งสายนี้เมื่อมาถึงระนองถ้าไม่ หนึ่ง-ออกทะเลไปเลย สอง-เข้ากรุงเทพฯ หรือไม่ก็ สาม-ทะลักลงสู่หาดใหญ่เพื่อใช้ที่นี่เป็น "นางนกต่อ" ระบายสินค้าออกไปยังมาเลเซีย-สิงคโปร์ ที่สะดวกกว่าก่อนจะไปสู่อเมริกา อิตาลี ฯลฯ

หาดใหญ่มิใช่แหล่งผลิตก็จริง แต่ที่นี่กลับเป็น "หัวใจ" สำคัญของการค้าผิดกฎหมายเช่นยาเสพติด ปีหนึ่ง ๆ เงินจากการค้ายาที่ไหลเข้า-ออก หาดใหญ่ ย่อมไม่น้อยกว่าพัน ๆ ล้านบาท คดียาเสพติดที่จับได้ในเขตเมืองหาดใหญ่สูงรองเป็นอันดับ 2 จากคดีลักทรัพย์ จุดที่จับได้มากที่สุดก็คือที่โรงแรมมายเฮาส์ และโรงแรมเพรสซิเดนท์ "พวกที่จับได้เป็นประเภทมืออ่อนเสียมากกว่า ตัวหัวหน้าแก๊งแม้เราจะรู้เลา ๆ แต่ก็เข้าไม่ค่อยถึง เพราะหลักฐานมีไม่เพียงพอกับคนพวกนี้มีอิทธิพลเหนือเจ้าหน้าที่ระดับสูงบางคนด้วย" เจ้าหน้าที่ที่ขับเคี่ยวกับงานนี้คนหนึ่งกล่าวกับ "ผู้จัดการ"

เจ้าหน้าที่ ปปส. (สำนักงานปราบปรามยาเสพติด) ท่านหนึ่งให้เหตุผลที่ทำให้หาดใหญ่กลายเป็นหัวใจของขบวนการค้ายาเสพติดเพราะ "ที่นี่เป็นเมืองใหญ่ คนพลุกพล่าน การขนส่งยาหรือการเข้ามาของคนแปลกถิ่นไม่เป็นที่สังเกต ดังนั้นจุดนี้จึงเหมาะสมที่สุดจะเป็นจุดพักสินค้าเพื่อรอการขนออกนอกประเทศ การติดต่อธุรกิจนี้แนบเนียนมากทีเดียว"

รายได้จากการขายยาเสพติด ถ้าขายภายในเมืองไทย ผู้ขายจะได้กำไรเพียงแค่ 20% แต่ถ้ามีการส่งออกราคาจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่า ๆ ตัว ซึ่งก็แล้วแต่ความยากง่ายของการขนส่ง และระยะทางที่จะไปถึง จากจุดหาดใหญ่นี่สินค้าจะส่งต่อไปยังปลายทางง่ายที่สุด แม้กระทั่งทางทะเลก็ยังเล็ดลอดออกไปได้???

"เจ้าหน้าที่ตำรวจเคยจับฝิ่น 15 กิโลกรัมได้ในรถเปอโยต์สีขาว ทะเบียน 6446 สงขลา ซึ่งเป็นของนักธุรกิจเจ้าของรถทัวร์แห่งหนึ่ง แต่ไม่นานรถเก๋งคันดังกล่าวกลับถูกขายต่อออกไป ผมไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างคนพวกนี้กับข้าราชการในจังหวัด" เจ้าหน้าที่คนหนึ่งกล่าว

แม้แต่การตายของรัตนา ก้องกิตติ อดีตนายกสมาคมท่องเที่ยวสงขลา เจ้าของโรงแรมมิราม่า และยังเป็นนายทุนเงินกู้ที่มีข่าวว่าผูกพันกับพ่อค้า-แม่ค้าขายของหนีภาษีด้วยนั้น เจ้าหน้าที่ที่ตามเรื่องนี้มาตลอดยังบอกว่า "แท้ที่จริงเกี่ยวพันถึงนักธุรกิจเจ้าของรถยนต์เปอโยต์คันดังกล่าวด้วย"

คนในตระกูลก้องกิตติก็รู้ดีว่า การตายของรัตนานั้นจริง ๆ แล้ว มันเป็นเรื่องอะไร เพียงการขัดผลประโยชน์ธรรมดาคงไม่รุนแรงถึงขั้นนี้ เหี้ยมถึงขนาดที่ว่าน้องชายของรัตนาร่ำไห้กับป๋าเปรมเพื่อเรียกร้องขอความคุ้มครอง "เจ๊รัตตายเพราะรู้เรื่องที่แกไปรู้เข้า คนพวกนี้กลัวมากเพราะรู้ว่าเจ๊กับตำรวจสนิทกันมากเพียงไร" พ่อค้าคนหนึ่งบอกกับ "ผู้จัดการ"

ลักษณะการขนส่งยาเสพติดกระทำกันหลายวิธีเช่น ผ่าถังน้ำมันรถเอายาเข้าไปซ่อน หรือไม่ก็อัดลงอิฐบล็อคแล้วไปทุบออกปลายทาง ซึ่ง 2 วิธีนี้ยากแก่การตรวจสอบ "อย่างบางครั้งเขาซุกมาในรถเบนซ์ ไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดเราก็ไม่กล้าเข้าไปเคาะดูเพราะรถมันราคาแพง" เจ้าหน้าที่ ปปส. คุยให้ฟัง

สำหรับกลุ่มค้ายาเสพติด (นกต่อตัวระบาย) ในหาดใหญ่นอกจากนักธุรกิจเจ้าของทัวร์รายนั้นแล้ว ยังมีอีกหลายคนที่ดำเนินธุรกิจประเภทนี้จนมั่งคั่งติดอันดับเศรษฐีใหม่ในเวลาอันรวดเร็ว เช่น

หนึ่ง-"เสี่ย ย." หรือเจ้าของรหัสวอล์คกี้-ทอล์คกี้ "มังกร" เสี่ย ย. คนนี้เป็นคนหาดใหญ่มาแต่กำเนิด อาชีพทางบ้านที่เจ้าตัวยังดำเนินต่อจนถึงปัจจุบันก็คือการทำประมงส่งสินค้าทะเลไปขายในมาเลเซีย เขาเรียนไม่สูงนักแต่อาศัยความเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ดี รู้จักฉกฉวยเอาใจเจ้านายจึงทำให้เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่พ่อค้าคนจีนกล่าวกันว่า เขาเคยสนิทสนมกันมากกับอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดท่านหนึ่ง "พอผู้ว่าฯ เข้ามาแกก็พยายามเข้าไปตีสนิท แต่ผู้ว่าฯ ไม่เล่นด้วยตอนนี้เลยไม่ค่อยเห็นออกงานราชการเท่าไร ผิดกับสมัยก่อนแทบเป็นเงาตามตัวผู้ว่าฯ เลย" แหล่งข่าวท่านหนึ่งกล่าว

เสี่ย ย. ผู้นี้กล่าวกันว่ามีสายยาเสพติดอยู่ทางภาคเหนือ โดยนำยาบรรทุกใส่รถบัสหรือไม่ก็ รถส่วนตัวเพื่อนำมาเก็บไว้ที่ร้านของตนเอง (ร้านอาหารขนาดใหญ่) ก่อนที่จะส่งต่อไปยังมาเลเซียโดยอาศัยลำเลียงออกทางท่าเรือจังหวัดสตูล

"เดี๋ยวนี้เงียบไปหน่อย การขนส่งไม่ง่ายเหมือนแต่ก่อนเพราะขาดคนหนุนหลังที่เคยซี้กัน" แต่ถึงอย่างไรก็ตามร้านอาหารของเขาที่มีเมียคุมบัญชีอย่างใกล้ชิดก็ยังฟู่ฟ่าต้อนรับนักธุรกิจทั้งไทยและต่างประเทศเป็นปกติ

หลังอาหารมื้ออร่อยของนักธุรกิจบางคน เขาจะพูดกันถึงเรื่องยาเสพติดบ้างไหม!?

สอง-อา ก. เจ้าของกิจการเดินรถบรรทุกรายนี้จะขนยาเสพติดรวมมากับสินค้าต่าง ๆ เขาต้องจ่ายค่าคุ้มครองสูงถึงเดือนละ 200,000 บาท!!!

เถื่อนสาม

เพราะความเป็นศูนย์กลางใหญ่ของสินค้าหนีภาษีไม่ว่าจะเป็นของกิน เครื่องไฟฟ้า ทำให้ทุก ๆ คนรู้จักหาดใหญ่กันเป็นอย่างดี ชื่อของตลาดสันติสุข ตลาดซีกิมหยง ซึ่งเป็นศูนย์รวมสินค้าเป็นสิ่งที่นักท่องเที่ยวทุกคนจำเป็นต้องไม่หลงลืม การซื้อ-ขายสินค้าหนีภาษีเฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่ง ๆ ไม่ต่ำกว่า 5-600 ล้านบาท

พรมแดนไทย-มาเลเซียเป็นจุดผ่านของสินค้าเถื่อนที่ดีที่สุดแล้วถูกนำมารวมศูนย์กันอยู่ที่หาดใหญ่ก่อนกระจายไปทั่วประเทศด้วยรูปแบบและวิธีการต่าง ๆ ที่จอมแสบทั้งหลายงัดกันขึ้นมา "ชน" กับเจ้าหน้าที่ศุลกากรอย่างไม่กลัวเกรง

"สมัยก่อนนั้นมีกองทัพมดที่ชนกันบนหลังคารถไฟ เดี๋ยวนี้เปลี่ยนเป็นขบวนคอนวอยรถปิกอัพที่มีรถมอเตอร์ไซค์คุ้มกันนำหน้า เรียกให้จอดมันก็ไม่ยอมจอดหลายครั้งที่เราต้องพุ่งเข้าปะทะตัวต่อตัวเพื่อสกัดกั้น แต่ก็เอาไม่ค่อยอยู่ พวกขนของเหล่านี้มันเดนตายจริง ๆ" เจ้าหน้าที่ศุลกากรท่านหนึ่งบอกกับ "ผู้จัดการ"

(โปรดดูสถิติการจับกุมจะเห็นว่าปีหนึ่ง ๆ ที่จับได้หลายร้อยล้านบาท)

สมรภูมินี้ข้ายึดครอง

ตามแนวตะเข็บไทย-มาเลเซียมีถึง 48 จุด จุดที่สินค้าเถื่อนพร้อมที่จะทะลักหลั่งไหลอย่างง่ายดาย จุดที่สำคัญเรียกกันว่าพื้นที่ 4,000 ไร่ในเขตปาดังเบซาร์ จากจุดนี้ประมาณ 15 กม. จะเข้าสู่อำเภอสะเดา ซึ่งมีเส้นทางลัดเลาะไปตามสวนยางหลายสิบสาย บางสายก็อาจตัดผ่านถึงสนามบินหาดใหญ่เลยโดยไม่ผ่านด่านศุลกากร เส้นทางเหล่านี้พวกแก๊งของเถื่อนจะชำนิชำนาญเป็นพิเศษ

พื้นที่ 4,000 ไร่ เป็นยุทธภูมิที่เหมาะสมต่อการขนถ่ายสินค้าเพราะ หนึ่ง-อยู่ในเขตป่าทึบ สอง-ยังถูกจัดเป็นพื้นที่สีชมพู สาม-ความหย่อนยานของเจ้าหน้าที่มาเเลเซียที่ไม่เข้มงวดกับนายทุนของเถื่อนของเขามากนัก ซึ่งคงเป็นเพราะมาเลเซียต้องการที่จะผลักดันสินค้าออกนอกประเทศให้มากที่สุด

นายทุนมาเลเซียเหล่านี้แหละที่เป็น "โคตร" มาเฟียร่วมกับพ่อค้าใหญ่บางคนในกรุงเทพฯ!!

หลังจากที่แก๊งของเถื่อนรับสินค้าจากฝั่งมาเลเซียผ่านเข้าสู่พื้นที่ 4,000 ไร่หรือจุดรับ-ส่งอื่น ๆ ในฝั่งไทยแล้วจะมีรถมอเตอร์ไซค์ (วิบาก) ที่แต่งเครื่องแล้วอย่างดีหลายร้อยคันคอยรับถ่ายอีกครั้งหนึ่ง พวกนี้ใช้เวลากันรวดเร็วเพียงไม่ถึง 5 นาทีก็เสร็จอย่างเครื่องไฟฟ้าเอาขึ้นหลังแว่บเดียว

จุดแตกหักของแก๊งของเถื่อนกับเจ้าหน้าที่ศุลกากรเริ่มอัดกันตรงนี้ เมื่อสิงห์มอเตอร์ไซค์ได้ของแล้วจะวิ่งตัดป่ายาง ระหว่างจุดจะมี "ต้นทาง" คอยดูแลเจ้าหน้าที่ว่าตามมารบกวนหรือไม่ เสร็จแล้วจะนำมาใส่ต่อรถปิกอัพอีกทอดหนึ่ง (รถปิกอัพของเถื่อนสังเกตได้จากมีหลังคาหลังทุกคัน และแต่ละคันจะแต่งใหม่ให้มีความเร็วสูงถึง 170 กม./ชม. ทั้งหมดมีประมาณ 100 คัน)

ค่าจ้างสำหรับพวกสิงห์มอเตอร์ไซค์และคนขับรถปิกอัพนั้นสูงมากคือ คนขับปิกอัพ 12,000 บาท/เดือน คนขี่มอเตอร์ไซค์วันละ 200 บาท/เดือน ทั้งหมดนี้รวมการประกันชีวิตที่นายทุนของเถื่อนดูแลให้เสร็จและไม่ต้องกังวลเรื่องถูกจับเพราะนายทุนจะจัดการ "เคลียร์" ให้เอง "ส่วนใหญ่ก็เสียค่าน้ำร้อนน้ำชาไม่มากนัก พวกนี้ถึงกำแหงได้ไม่หยุดหย่อน" เจ้าหน้าที่ท่านหนึ่งกล่าว

ใยแมงมุม

การทำงานของแก๊งของเถื่อนนับแต่ถ่ายสินค้าจากฝั่งมาเลเซียมาสู่สิงห์มอเตอร์ไซค์ นำมาให้รถปิกอัพเข้าหาดใหญ่นี้ จะมีสายสืบของแก๊งจับตาการเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่อย่างระแวดระวังตลอดเวลา มีการว่าจ้างให้เฝ้าชนิดไม่ยอมให้คลาดสายตาขนาดผู้อำนวยการศุลกากรภูมิภาค 1 ยังถูกคุมแจ

การติดต่อของพวกนี้จะใช้วิทยุสื่อสารกับโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นหลักโดยมีศูนย์บัญชาการใหญ่ที่นายทุนของเถื่อนร่วมกันลงขันตั้งอยู่ที่ปาดังเบซาร์ กำหนดรหัสแจ้งข่าวกันว่าถ้าเจ้าหน้าที่ไม่เคลื่อนไหวก็จะบอกกันว่า "ทักษิณอยู่ครบ" เพื่อให้ออกปฏิบัติการขนของเถื่อนกันได้ แต่ถ้าเมื่อใดที่เจ้าหน้าที่ไหวตัวพวกนี้ก็ทันควันแจ้งให้รู้ทันทีว่า "อินทรีออกบิน"

เป็นที่น่าสังเกตมากว่าความเหิมเกริมของแก๊งของเถื่อนที่นับวันยิ่งปีกกล้าขาแข็งมากขึ้นไม่ได้เป็นเพราะ "นรกไม่มีความหมายสำหรับชีวิตพวกมัน" เพียงอย่างเดียว แต่เติบใหญ่อย่างไม่กลัวเกรงเนื่องเพราะแรงหนุนจากคนในเครื่องแบบเป็นเสาค้ำอีกทางหนึ่ง

ครั้งหนึ่งในการไล่ล่าของเจ้าหน้าที่ศุลกากรร่วมกับทหารแล้วเรียกให้รถขนของเหล่านั้นหยุดตรวจ ปรากฏว่าพวกนั้นกลับพุ่งเข้าใส่จนเจ้าหน้าที่จำเป็นต้องสาดกระสุนปืนเข้ายับยั้งเป็นผลให้คนของแก๊งของเถื่อนบาดเจ็บ-เสียชีวิต ถึงกับมีเรื่องกันอยู่ในศาลในขณะนี้

"เราเคยขอร้องให้ตำรวจร่วมกันก็ดูเขาเฉย ๆ ครั้นพอเราทำเองกฎหมายก็ไม่เอื้ออำนวย พวกมันเล่นเราถึงตายได้ทั้งทางตรง-ทางอ้อม ทว่าพอเราชนบ้างก็ถูกตั้งข้อหาเจตนาทำร้ายร่างกาย ทำลายทรัพย์สิน คดีที่ค้างก็ไม่รู้ผลจะเป็นอย่างไร" เจ้าหน้าที่ศุลกากรคนหนึ่งกล่าว

ความขัดแย้งลึก ๆ จองตำรวจกับศุลกากรนี้เองที่เสริมส่งแก๊งของเถื่อนให้เติบโต!!!

แต่ไม่ได้มีความพยายามที่จะคลี่คลายสถานการณ์ให้ดีขึ้นด้วยการใช้หน่วยกำลังพิเศษจากกองบัญชาการตำรวจภูธร 4 กับตำรวจตระเวณชายแดน ลงไปทำงานปราบปรามร่วมกับศุลกากรแทนตำรวจท้องที่ซึ่งบางคนไม่กล้าเล่นกับ "นายทุน"!?

คนในเครื่องแบบอีกกลุ่มหนึ่งที่มีส่วนเกื้อหนุนต่อแก๊งของเถื่อนก็คือ "ไปรษณีย์" เพราะสินค้าที่กระจายไปทั่วประเทศจะถูกส่งเป็นพัสดุไปรษณีย์วันละนับพัน ๆ ชิ้น โดยที่คนของแก๊งของเถื่อนจะห่อพัสดุอย่างดีแล้วนำไปส่ง ณ ที่ทำการ ระบุเพียงชื่อผู้รับและที่ทำการปลายทางจากนั้นจะมีคนมาแสดงตัวรับของเอง หรือไม่อาจเป็นบุรุษไปรษณีย์นำไปส่งให้เองด้วยค่าจ้างชิ้น/วันที่คิดเป็นพิเศษ 15-20 บาท

ช่องโหว่ที่แก๊งของเถื่อนสามารถอาศัยไปรษณีย์ให้ช่วยงานได้เป็นเพราะ ตามระเบียบงานสื่อสารการที่จะอายัดพัสดุได้นั้นจะกระทำได้เพียงที่ทำการต้นทางและปลายทาง เมื่อบรรจุใส่ถุงเมล์แล้วจะตรวจอีกไม่ได้ ช่องนี้เองที่ "สินค้าเถื่อน" จะเคลื่อนตัวออกไปได้อย่างสะดวก ที่ทำการไปรษณีย์ซึ่งเป็นประจำก็คือหาดใหญ่ สงขลา ปัตตานี ยะลา สตูล และนราธิวาส แม้แต่ไปรษณีย์ในเขต กทม. ก็ยังมี "หนอนบ่อนไส้" ที่ร่วมมือกับแก๊งของเถื่อนคอยรับ-ส่งสินค้าให้กับพวกพ่อค้าที่จะมารับซื้ออย่างเต็มใจอีกด้วย!?

"ปราบกันไม่มีวันหมด" เจ้าหน้าที่ศุลกากรคนเดิมกล่าวอย่างอิดหนาระอาใจ

เบิกโฉม

บัญชีดำแก๊งของเถื่อนที่เป็นที่รู้จักกันดีในหาดใหญ่นั้นมี

หนึ่ง-"นาย ล." เป็นคนจีนอายุประมาณ 25-30 ปี ถูกจัดให้อยู่ในอันดับ 1 ที่โตขึ้นมากในช่วงปีสองปีมานี้ ทั้งนี้เพราะ "ล." มีแรงสนับสนุนดีทั้งจากนายทุนมาเลเซียและพ่อค้าใหญ่ในกรุงเทพฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้เขาได้ซื้อรถปิกอัพเพิ่มขึ้นอีก 10 คัน อาชีพบังหน้าเป็นพ่อค้าข้าวสารที่อยู่ปาดังเบซาร์

สอง-"เจ๊ ม." รายนี้เป็น "เจ้าแม่" มานมนาน อายุไม่เกิน 50 ปีมีบ้านอยู่ปลายถนนแห่งหนึ่งเมืองหาดใหญ่ เจ๊ ม. ทำมาหากินด้วยการขนของเถื่อนโดยเฉพาะมีมือดี ๆ เป็นแขนขาหลายร้อยคน รวมถึงรถปิกอัพ มอเตอร์ไซค์อีกหลายสิบคัน มีความกลมเกลียวกับตำรวจท้องที่บางคนเป็นอย่างดีมักเป็นคนคอยวิ่งเต้นถ้าพวกขนของมีเรื่องราว

ความแสบของเจ๊ ม. นั้นถึงทรวงจริง ๆ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเคยเจอดีมาแล้วเมื่อเข้าไปจับกุมพอรู้ตัวว่าเสียท่าแน่ ๆ เจ๊ ม. ถึงกับลงทุนฉีกเสื้อกล่าวหาเจ้าหน้าที่พยายามที่จะกระทำอนาจาร "ผมเล่นกับแกไม่ไหวแน่ แก่ปานนั้นใครจะทำลง" เจ้าหน้าที่คนนี้กล่าว

เจ๊ ม. มีสามีที่เคยสวมเครื่องแบบมาก่อนจึงรู้ช่องทางหนีทีไล่ได้ดี ทุก ๆ วัน ๆ ละ 2 ครั้งคือถ้าไม่เป็นช่วง 9.00 น. ก็ 17.00 น. จะมีคาราวานรถปิกอัพของเถื่อนมาจอดที่หน้าบ้านเจ๊ แล้วมีแก๊งวัยรุ่นขนของไปส่งยังตลาดสันติสุขอีกทอดหนึ่ง เจ๊ ม. เสียค่าคุ้มครองถึงเดือนละ 100,000 บาท ขณะที่มีรายได้ไม่ต่ำกว่าอาทิตย์ละ 30 ล้านบาท

สาม-"เจ๊ ก." ระดับ "เจ้าแม่" เก่าอีกคนทำงานนี้ไล่เลี่ยกับ เจ๊ ม. อายุอานามก็พอ ๆ กัน เจ๊ ม. มีจุดเด่นตรงที่เป็นคนช่างฉอเลาะเอาใจ นุ่มนวลสุภาพ ปากหวาน รายได้ของเจ๊ ก. ก็ไม่น้อยอาทิตย์หนึ่ง ๆ ประมาณ 30 ล้านบาทเช่นกัน แต่ระยะหลังทรุดลงไปเพราะแก๊งของเจ๊แกถูกจับบ่อยที่สุด

สี่-"สมคิด" กับ "ยิน" สองสาววัย 25 ปี คู่นี้เข้ามาจับงานด้านนี้ไม่นานนัก แต่ก็สร้างความน่ายำเกรงได้รวดเร็ว โดยอาศัยความสาวเป็นสะพาน ทั้งคู่มีรังใหญ่อยู่ที่ปาดังเบซาร์ ใกล้ ๆ กับที่ทำการไปรษณีย์แก๊งนี้ไม่มีนักเลงคุม

ห้า-"ชะลอ" อายุประมาณ 30 ปีหัวหน้าแก๊งคนนี้บ้านอยู่ปาดังเบซาร์ ใกล้ ๆ กับที่ทำการไปรษณีย์เช่นกัน ที่บ้านสังเกตได้ง่ายเพราะมีโต๊ะบิลเลียดซึ่งใช้เป็นที่ชุมนุมของบรรดามืออาชีพรับจ้างขนของเถื่อนมาสุมหัวเล่นกันเพื่อรอคำสั่งให้ออกทำงาน ชลอทำน้อยกว่าทุกคน ส่วนใหญ่จะเป็นคนจัดคิวเสียมากกว่า

หก "เจ๊ อ." อายุประมาณ 50 ปี อาศัยที่ลูกเขยเป็นตำรวจเป็นเกราะกำบัง เจ๊ อ. เป็นแก๊งที่ร่ำรวยและโชว์ตัวให้เห็น แก๊งของเจ๊ อ. ไม่ค่อยออกทำงานบ่อยครั้งนัก แต่ละครั้งของการทำงานจะเป็นสินค้าล็อตใหญ่ที่มีราคาแพงทั้งสิ้น

เจ็ด-"นางพัว" กับ "บังสอด" สองคนนี้เป็นไทย-อิสลาม อายุประมาณ 50 ปี สมัยก่อนแก๊งนี้เคยรุ่งเรืองมาก รายได้เฉลี่ยแล้วหลายสิบล้านบาท/สัปดาห์ ตอนหลังทั้งคู่เริ่มวางมือให้พวกลูก ๆ หลาน ๆ เข้ามาดูแลแทน

แปด-"เจ๊ น." นักธุรกิจจีนวัย 40 กว่าปีที่ยังสวยสะคราญ เจ๊ น. มีรังใหญ่อยู่ที่สุไหง-โกลก มีเพื่อนคู่หูที่ยังครองความสวยไม่สร่างชื่อ "เจ๊ จ." เจ๊ น. เป็นผู้หญิงประเภทใจผู้ชายสวยแต่เด็ดขาด อาชีพบังหน้าของเจ๊ น. เป็นเจ้าของร้านขายเครื่องสำอางและพ่อค้าน้ำมันรายใหญ่ของภาคใต้

แก๊งของเถื่อนเหล่านี้มีนายทุนใหญ่จากกรุงเทพฯ และในหาดใหญ่เป็นคนชักใยเบื้องหลัง กล่าวกันว่านักธุรกิจหญิงคนหนึ่งในหาดใหญ่ชื่อ "เจ๊ ร." ซึ่งมั่งคั่งเป็นเจ้าของกิจการหลายแห่งได้นั้นก็เนื่องมาจากการปล่อยเงินให้กับแก๊งของเถื่อนเหล่านี้นี่เอง

ยิ่งเจ้าหน้าที่เพิ่มความระวังระไวปราบปรามหนักข้อมากขึ้นเท่าไร ของเถื่อนก็ยังคงระบาดหนักเป็นเงาตามตัว หนำซ้ำวายร้ายเหล่านี้ยิ่งจะเพิ่มความสลับซับซ้อนในการขนส่งมากขึ้นด้วย สัญญาณการหักล้างที่ยังไม่รู้บทสรุปคงยังมีไปอีกยาวนาน!!?

เถื่อนสี่

"นวลน้องเป็นสิ่งที่มีคุณค่ายิ่งของหาดใหญ่" เจริญรัตน์ สุขุม หรือ "ป้อมเล็ก" ทายาทสายตรงของพระเสน่หามนตรียอมรับความเป็นจริงถึง "เถื่อน" ที่สี่อย่างตรงไปตรงมา

หาดใหญ่เป็นขุมทางน้ำกามไปแล้วโดยปริยาย ด้วยเหตุผลใหญ่ 2 เรื่องคือหนึ่ง-ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของคนมาเลเซียที่ไม่สามารถระบายความใคร่ได้ในบ้านเมืองของตนเนื่องจากข้อบังคับทางศาสนาอิสลาม สอง-เป็นแหล่งพำนักของหญิงสาวที่หาลำไพ่พิเศษก่อนที่จะถูกแก๊งค้าประเวณีส่งมอบตัวไปยังประเทศต่าง ๆ ทั้งมาเลเซีย-สิงคโปร์-ญี่ปุ่น จนไปถึงเยอรมัน

ทุกวันพฤหัสเรื่อยมาจนถึงวันอาทิตย์จะมีนักท่องเที่ยวชาวจีนมาเลเซียและสิงคโปร์เข้ามาเที่ยวในหาดใหญ่เฉลี่ยวันละ 1,200 คน จนจำนวน 60 โรงแรม ห้องพักกว่า 6,000 ห้องบางครั้งไม่พอรองรับอัตราการใช้เงินของคนพวกนี้ตกประมาณ 1,940 บาท/วัน

ขณะเดียวกันสถิติการทำพาสปอร์ตหรือใบข้ามแดน (BORDER PASS) ก็สูงขึ้นทุก ๆ วันในหาดใหญ่ โดยมีนายหน้าเป็นคนดำเนินการ และที่น่ามองคือว่าในจำนวน 1,000 คน กว่า 80% เป็นหญิงสาวที่มีภูมิลำเนาอยู่ทางภาคเหนือทั้งสิ้น-ดอกคำใต้เหล่านี้ไปเบ่งบานกันที่ไหน!?

ซ่องใหญ่ ๆ ในหาดใหญ่มีหญิงสาวที่สมัครใจและถูกกว้านซื้อมาเป็นสินค้าถึง 300-400 คน พวกเธอเหล่านี้จะถูกเรียกเก็บค่าสถานที่ไว้ 40-60% (หักจากค่าตัว) ประมาณกันว่ามีนวลน้องที่ขายตัวในเมืองนี้ไม่ต่ำกว่า 10,000 คน บางคนที่เป็น "ดาว" รายได้จะตกถึงวันละ 1,000 บาท ทุกวันจันทร์ ณ ที่ทำการไปรษณีย์รัถการพวกเธอ 200-300 รายจะเข้าคิวส่งเงินกลับบ้าน

จำนวน 5 ที่ทำการไปรษณีย์คิดกันเบาะ ๆ ต้องส่งรายได้ของผู้หญิงขายบริการถึงเดือนละไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท จึงไม่แปลกใจที่ใครบางคนจะบอกว่า "น้ำกามและน้ำเงินที่หาดใหญ่มันฟูฟ่องเป็นประกายยิ่งนัก"

การขายบริการของนวลน้องถ้าเป็นการเปิดบริสุทธิ์จะมีสนนราคาระหว่าง 6,000-10,000 บาท และก่อนที่รายการเป็นไปตามธรรมชาติจะเกิดขึ้นฝ่ายชายจะเรียกความคึกคักกระฉับกระเฉงด้วยการดื่มดีงูและเลือดงูผสมเหล้า ดังนั้นพ่อค้าขายงูจึงยังคงเป็นเอกลักษณ์ของหาดใหญ่ที่รุดหน้าขึ้นด้วยการไปตั้งจุดขายตามหน้าโรงแรมและสถานบริการต่าง ๆ

แต่ถ้าเปิดบริสุทธิ์ในฝั่งมาเลเซียราคาค่าตัวของนวลน้องจะสูงขึ้นถึง 15,000-20,000 บาท ซึ่งพวกที่เคยผ่านจากมาเลเซียมาแล้ว สามเดือนจะกลับมาเมืองไทยสักครั้ง และพวกเธอก็จะไปชุมนุมกันตามคอฟฟี่ช็อปโรงแรมใหญ่เช่นห้องเขียวของโรงแรมสุคนธา

ปัจจุบันบรรดาเจ้าสำนักต่าง ๆ ในหาดใหญ่ได้มีการรวมตัวกันจัดตั้ง "ชมรมสหมิตร" ขึ้นมาเพื่อลงขันเป็นค่าใช้จ่ายให้กับเจ้าหน้าที่ กับอีกด้านหนึ่งเป็นพัฒนาการของการตั้งแก๊งค้าประเวณีส่งผู้หญิงออกไปขายในต่างประเทศเช่นเดียวกับ "แก๊งยากูซ่า" ของญี่ปุ่น ซึ่งจุดปล่อยผู้หญิงที่หาดใหญ่ไม่มีปัญหามากนัก

แก๊งค้าประเวณี "เถื่อน" เหล่านี้มีทั้งคนในเครื่องแบบระดับใหญ่และนักธุรกิจเจ้าของสถานบริการเป็น "นายทุน" อยู่เบื้องหลัง พวกนี้จะทำกันเป็นขบวนการเริ่มตั้งแต่หาหญิงสาว รับทำหนังสือเดินทางในอัตราค่าจ้างรายละ 15,000 บาท เท่าที่ "ผู้จัดการ" ทราบขณะนี้มีแก๊งค้าประเวณีในหาดใหญ่ประมาณ 30 รายที่ดัง ๆ ก็เช่น

"นิด"-เป็นนายตำรวจเก่าอยู่ปาดังเบซาร์ นิดเป็นนายหน้าวิ่งเต้นทำหนังสือเดินทาง ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองสงขลารู้จักดี เขาคิดค่าเดินเรื่องรายละ 1,500 บาท แก๊งของนิดจะส่งผู้หญิงไปที่ญี่ปุ่นกับฮ่องกง โดยจะผ่านให้กับเจ้าของซ่องในมาเลเซีย ย่านซิตี้ มิมี่ เป็นคนส่งอีกทอดหนึ่ง เส้นทางสู่กัวลาลัมเปอร์ที่ผ่านสายนิดนั้นจะโดยสารไปกับรถยนต์ส่วนตัว ผู้หญิงที่เคยไปมาแล้วบอกว่างานในซ่องมาเลเซียทารุณเอามาก ๆ หลายคนทนไม่ไหวถึงกับผูกคอตาย

"หมู"-คนนี้ตั้งแก๊งใหญ่อยู่บริเวณหน้าสถานีรถไฟหาดใหญ่ หมูเข้านอกออกในกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่เป็นด่านตรวจคนเข้าเมืองได้ดี ดังนั้นผู้หญิงที่ผ่านทางสายเขาจึงมักไม่มีปัญหาเรื่องใบเดินทาง แม้ว่าหนังสือเดินทางจะเป็นของปลอมก็ตาม หมูจะเรียกเก็บค่าตัวผู้หญิงร่วมกับเจ้าของซ่องในมาเลเซีย และสิงคโปร์ 10 วัน/ครั้ง และทำตัวเป็นแบงก์รับฝากเงินของผู้หญิงเสียเองซึ่งเงินนี้ก็นำไปหมุนทำธุรกิจผิดกฎหมายในรูปแบบอื่นอีก

"เผือก"-อดีตเป็นเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองที่ปาดังเบซาร์ แต่หากินรวยเร็วสู้ส่งผู้หญิงไปขายตัวไม่ได้ แก๊งของเผือกมีคู่หูรู้ใจหลายคนเช่น "อ๊อด" "ทา" และ "จง" ซึ่งจงจะเป็นคนคอยกล่อมผู้หญิง ลักษณะของเขาใส่แว่นผอม ๆ

"เก๊า"-คนนี้เป็นพ่อค้าจีนมาเลเซียที่พูดไทยได้ชัดปร๋อ เก๊ามาซื้อบ้านพักหลังใหญ่ไว้ในซอย 3 ไทยโฮเต็ล หาดใหญ่ แก๊งของเก๊าขึ้นชื่อในเรื่องส่งผู้หญิงไปสิงคโปร์และเยอรมัน โดยคิดค่าส่งไปสิงคโปร์ 35,000 บาท/คน ขณะที่รายได้ของผู้หญิงสำหรับการนอนค้างกับแขกคืนหนึ่ง 100 เหรียญมาเลเซีย

สำหรับย่านที่ผู้หญิงไทยไปขายตัวกันมากในมาเลเซียนั้นอยู่ที่ ฉี่นี่หงษ์ ย่งเซ้ง กิมเฟย และกัมซังกก (ทั้งหมดอยู่ในกัวลาลัมเปอร์) และที่สิงคโปร์อยู่ที่ โปกี่ปันยัง มารินโฮเตล กตันยี และจงล้ง อินเตอร์ ผู้หญิงเหล่านี้ถ้าโชคเป็นของเธอไม่ถูกเจ้าของซ่องทรมาน มีโอกาสไปขายตัวในญี่ปุ่นหรือเยอรมันก็มีโอกาสทำเงินได้มากขึ้น แต่ถ้าโชคร้ายถูกตำรวจมาเลเซียจับได้ก็ต้องรับกรรมอย่างหนัก ซึ่งบางทีคนที่แจ้งตำรวจมาจับก็คือเจ้าของซ่องนั่นเอง

จุดส่งผู้หญิงไทยไปค้าตัวในต่างแดนของแก๊งค้าประเวณีเหล่านี้มีด้วยกัน 3 เส้นทางใหญ่คือ

หนึ่ง-ผ่านไปทางปาดังเบซาร์ ถ้าเป็นแก๊งใหญ่หน่อยก็จะไปโดยรถยนต์จนถึงกัวลาลัมเปอร์ แต่ถ้าเป็นแก๊งเล็ก ๆ ก็จะซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์เข้าไปในสวนยาง แล้วต้องเดินป่าอย่างน้อย 1 วัน 1 คืน จึงจะมีคนมาเลเซียมารับไป

สอง-ผ่านทางสุไหง-โกลก ถ้าเข้าทางสายนี้ส่วนมากต้องใช้หนังสือเดินทาง ซึ่งก็เป็นหนังสือเดินทางปลอมทั้งสิ้น คนที่จะทำงานผ่านสายนี้ได้ต้องเป็นนายทุนเงินหนาที่สามารถซื้อตัวเจ้าหน้าที่ได้ไม่เช่นนั้นก็ยากที่จะปล่อยผู้หญิงเข้าไปในมาเลเซียได้

สาม-ออกทางทะเลไปสตูล จะไปลงเรือที่สตูลแล้วนั่งเรือไปประมาณ 1 ชม. จะถึงเกาะแห่งหนึ่งมีคนมาเลเซียมาคอยรับ พวกที่ไปทางนี้บางทีเจอเรือตำรวจตรวจการมาเจอก็จะหลีกเลี่ยงกันว่า "มาเที่ยวเกาะ"

พวกมันทำกันอย่างนี้และปั่นเงินกันได้เดือนหนึ่ง ๆ อย่าว่าเป็นสิบ ๆ ล้านเลย ขึ้นหลักร้อยล้านบาทก็ยังเป็นไปได้ ซึ่งทำให้นักธุรกิจเจ้าของสถานบริการบางแห่งในหาดใหญ่ถึงกับโดดลงมาสนับสนุนอย่างเต็มที่

นอกจากนี้เศรษฐีใหม่บางกลุ่มในหาดใหญ่ยังมีการทำธุรกิจผิดกฎหมายในรูปอื่น ๆ อีกเช่น กิจการแลกเปลี่ยนเงินตราหรือโพยก๊วน ซึ่งแก๊งนี้โยงใยใหญ่มากถึงในมาเลเซียและสิงคโปร์ เพราะการทำโพยก๊วนนี้เองที่ทำให้อดีตคนขับรถเครื่องคนหนึ่ง พลิกตัวเองมาเป็นเจ้าของโรงแรมชั้นหนึ่งขนาดใหญ่ที่มีชื่อของตัวเองเป็นชื่อถนนได้ในเวลาไม่กี่ขวบปี

และเมื่อไม่นานนักผู้จัดการโรงแรมชั้นหนึ่งคนหนึ่งถูกเจ้าหน้าที่ศุลกากรจับได้ฐานมีเงินเถื่อนอยู่ในกระเป๋าถึง 60 ล้านบาท แต่เพราะมีเส้นสายดีจึงหลุดจากคดีมาได้ ผู้จัดการโรงแรมคนนี้กล่าวกันว่ามีศักดิ์ศรีเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเจ้าของตึกกระจกย่านพัฒน์พงศ์ด้วย "พวกเราพลาดไปเองคิดว่าหลักฐานจะมัดเขาได้ แต่เมื่อเขาสู้บวกกับผู้ใหญ่ช่วยเหลือจึงหลุด" เจ้าหน้าที่ศุลกากรคนหนึ่งบอก

การขยายตัวของแก๊งมาเฟียในหาดใหญ่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของสังคมอย่างสูง ในวันนี้ผลประโยชน์ที่ยังไปกันได้อาจทำให้คนพวกนี้สมัครสมานรักใคร่กันอยู่ แต่เมื่อวันหนึ่งในข้างหน้าที่การค้าขยายใหญ่มากขึ้น กิเลสตัณหาที่อยากเป็น "เจ้าพ่อ" "เจ้าแม่" เพียงหนึ่งเดียวเกิดขึ้น ใครบ้างที่จะให้หลักประกันได้บ้างว่า

เสียงปืนและคาวเลือดจะไม่ดังขึ้น!!!

ก่อนถึงวันนั้นใครเล่าจะหยุดคนพวกนี้!?

   




 








upcoming issue

จากโต๊ะบรรณาธิการ
past issue
reader's guide


 



home | today's news | magazine | columnist | photo galleries | book & idea
resources | correspondent | advertise with us | contact us